ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 143-1 น้องชายเจ้าก็ไม่เลว
ในขณะนั้น เว่ยฉางอิ๋งกำลังถูกองค์หญิงอันจี๋ดึงตัวไปยังที่โล่งกว้างข้างทะเลสาบในสวนดอกไม้ ในรัศมีสิบกว่าก้าวนี้มีเพียงต้นหลิวอายุมากที่มีกิ่งก้านปกคลุมทึบไปหมดอยู่ต้นหนึ่ง นอกนั้นก็โล่งกว้างเห็นทุกอย่างได้ถนัดตา
ลมเย็นๆ พัดขึ้นมาจากทะเลสาบ พัดพาเอากลิ่นหอมโชยมา ผิวหน้าน้ำกว้างใหญ่แผ่ไพศาล ไอร้อนถูกขจัดไปจนหมดสิ้น บนหัวมีเสียงจักจั่นร้องอยู่เบาๆ เห็นได้ว่าพวกมันคงเพิ่งจะลอกคราบใหม่มา
ทั้งสองคนนั่งลงบนพื้นหญ้าใต้ต้นหลิว องค์หญิงอันจี๋หยิบพัดพับออกมาจากในแขนเสื้อ เอามาพัดโบกไปมาตามใจ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่นี่ไม่เลว มีร่มเงาเย็นสบาย ทั้งยังสามารถพูดคุยได้อย่างวางใจไม่ต้องกลัวจะมีคนมาแอบฟัง”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าวันนี้ตนเองถูกองค์หญิงชิงซินหาเรื่อง เมื่อครู่ก็ขอให้เว่ยฉางเจวียนออกมา ประมาณดูเวลาแล้ว เกรงว่าตอนนี้พระธิดาเฉิงเสียนคงจะออกจากบ้านไปแล้ว และงานเลี้ยงก็คงจะเริ่มแล้วด้วย หากยังคงชักช้าไม่ไป ก็กลัวว่าจะทำให้เป็นที่สนใจเอาได้ จึงพูดเข้าประเด็นในทันใดว่า “องค์หญิงต้องการตรัสสิ่งใดเพคะ? จึงต้องเป็นความลับเช่นนี้”
องค์หญิงอันจี๋มองออกว่านางหมายความว่าไม่อยากจะเสียเวลามาก จึงยิ้มจางๆ แล้วว่า “ถ้าครั้งนี้เป็นหลินชวนเชิญเจ้าออกมา แล้วต้องอยู่นานเกินไป ก็จะมีคนคอยถามว่าเหตุใดจึงกลับมาช้า แต่ถ้าเป็นข้าและชิงซิน ทุกคนก็จะมีแต่สงสารเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องทางงานเลี้ยงหรอก”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือจะสนทนากับตนอีกนานเช่นนั้นหรือ?
เว่ยฉางอิ๋งเกิดสงสัยขึ้นมาในใจ กล่าวว่า “เพคะ”
องค์หญิงอันจี๋กลับเอ่ยอีกว่า “ความจริงแล้วข้าก็ไม่ได้คิดจะคุยกับเจ้านานนัก”
เว่ยฉางอิ๋ง “…”
องค์หญิงอันจี๋โบกพัดไปมาสักพักหนึ่ง แล้วทอดถอนใจออกมาว่า “เดิมทีนึกว่ามองเห็นท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ของหลินชวนแล้วก็จะพลอยได้ประโยชน์ตามไปด้วยสักหน่อย ปรากฏว่าเว่ยฉางเจวียนไม่รู้ เจ้าเองไม่รู้ นี่มันพิลึกพิลั่นจริงๆ เหตุใดหลินชวนจึงได้ช่วยเจ้านะ?”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเจื่อนๆ นั่นเพราะคำถามนี้ ทำให้องค์หญิงอันจี๋ไม่ยอมปล่อยตนไปไม่ว่าจะเป็นตายอย่างไร ทั้งยังลากตนมาจนถึงที่นี่ …นางใคร่ครวญว่าที่องค์หญิงอันจี๋เอ่ยเช่นนี้นั้นต้องการจะสื่อความหมายใด จึงลองสอบถามไปว่า “ไม่ว่าจะว่าอย่างไร วันนี้องค์หญิงก็ช่วยข้าไว้อย่างมาก ข้าก็ควรต้องขอบพระทัยองค์หญิง?”
องค์หญิงพระองค์นี้แสดงท่าทีอยู่ตลอดเวลาว่านางไม่ใช่คนที่จะช่วยคนอื่นเปล่าๆ เวลานี้ช่วยคนแล้วกลับยังต้องมานั่งคิดว่าจะได้ผลประโยชน์ใด อย่างไรนางก็ไม่พอใจอยู่ดี ประสาอะไรกับที่ไม่ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเคยเห็นหรือได้ยินมาหรือได้เห็นกับตาตนเอง ว่าต่อให้ไม่มีใครกล้ามารังแกองค์หญิงอันจี๋อย่างออกหน้าออกตา แต่ก็บอกไม่ได้จริงๆ ว่านางมีชะตาชีวิตที่ดี ก็มิน่าเล่านางจึงคอยแสดงออกทั้งทางแจ้งทางลับว่าตนต้องการได้ผลประโยชน์จากพวกสตรีชั้นสูง
“เรื่องขอบคุณ เจ้าต้องขอบคุณข้าอยู่แล้ว” องค์หญิงอันจี๋ไม่ได้ถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย และพูดตรงๆ ไปอีกว่า “ข้าได้ยินว่าบ้านเจ้าร่ำรวยนัก และเจ้าก็เป็นคนที่พวกผู้ใหญ่รักใคร่เป็นนักหนา คิดว่าของในคลังส่วนตัวของเจ้าคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังเกินไป”
เว่ยฉางอิ๋งพลันเกิดอารมณ์ชั่ววูบขึ้นมาอย่างหนักว่าอยากเข้าไปดึงแก้มนางดูสักหน่อย ว่านางใช่ตวนมู่ซินเหมี่ยวแปลงโฉมมาหรือไม่….
องค์หญิงอันจี๋พูดต่อไปว่า “ทว่าของกำนัลขอบคุณนี้ยังไม่เร่งรีบ ยามนี้ข้ายังไม่ได้อภิเษก พระมารดาอยู่ในวังก็มีเพียงตำแหน่งท่านหญิงที่ว่างเปล่า ความจริงแล้วก็แค่คอยเฝ้าตำหนักโต่วจิ่นและคอยเฝ้าดูข้าใช้ชีวิตอยู่ก็เท่านั้น ในตำหนักทั้งหก ที่ใดไม่มีหูตาของเสด็จแม่? หากให้เสด็จแม่ทรงทราบว่าข้ามีของดีเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมา รอจนถึงวันข้าอภิเษก แล้วจะแกล้งทำเป็นขัดสนไปปอกลอกนางมาสักหน่อยได้อย่างไร?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกขึ้นมาอีกแล้วว่า องค์หญิงอันจี๋จะต้องไม่ใช่ตวนมู่ซินเหมี่ยวจำแลงแปลงกายมาแล้ว เพราะคนที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่ในศาสตร์การแพทย์เช่นตวนมู่ซินเหมี่ยว จะต้องไม่มีทางวางแผนสู้องค์หญิงอันจี๋ได้แน่ๆ
นางจึงบอกว่า “เช่นนั้น ต้องรอจนองค์หญิงอภิเษกแล้วหรือเพคะ?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องแต่งงาน องค์หญิงอันจี๋ก็ไม่ได้มีท่าทีกระดากอายเลยแม้แต่น้อย กล่าวว่า “นั่นแน่อยู่แล้ว ทว่า…เจ้าคิดว่าข้าควรอภิเษกกับผู้ใดดีเล่า?”
คำถามนี้ทำเอาเว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง คิดสักพักจึงบอกว่า “ฮ่องเต้ทรงเริ่มสรรหาตัวเลือกของราชบุตรเขยแล้วหรือเพคะ? หากเป็นดังนี้ คิดว่า…”
“เจ้าไม่ต้องเห็นข้าเป็นหลินชวน!” องค์หญิงอันจี๋เอ่ยอย่างเปิดเผยว่า “คนทั้งเมืองหลวงล้วนรู้กันดีว่าข้าและพระมารดาไม่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ เจ้าเองก็แต่งงานมาอยู่ที่เมืองหลวงหลายเดือนแล้ว จะไม่รู้หรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่านางพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ตนเองก็เอ่ยถามไปตรงๆ เช่นกันว่า “เช่นนั้น องค์หญิงเองทรงมีความคิดเรื่องนี้อยู่แล้วหรือไม่เพคะ?”
องค์หญิงอันจี๋ทอดถอนใจ กล่าวว่า “ข้ามีความคิด แล้วยังต้องเรียกเจ้ามาถามอีกทำสิ่งใด? เจ้าก็เคยได้ยินชื่อเสียงข้าจากบรรดาสตรีชั้นสูงแล้วนี่ เจ้านึกว่าจะมีผู้ใดมาแอบกระซิบบอกข้าว่าบุตรหลานบ้านใดดี บุตรหลานบ้านใดไม่ดี? หรือต่อให้มีคนมาบอกเช่นนี้ เจ้าว่าข้าจะกล้าเชื่อสุ่มสี่สุ่มห้าหรือ? พระมารดาของข้าก็มีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยนัก บ้านฝั่งท่านลุงก็ไม่มีคนได้ความสักคน หลินชวนนังคนชั่วนั่นแค้นเคืองที่ข้าตีนาง วันๆ เอาแต่หาทางให้ข้าแต่งออกไปอยู่ไกลๆ ให้ได้แต่งกับพวกไม่ดีได้เป็นดีที่สุด …แล้วข้าก็ดันไม่สามารถไปหาคนสอบถามเรื่องเช่นนี้ได้อย่างเปิดเผยอีก”
“ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวง จึงไม่ใคร่รู้จักบุตรหลานของแต่ละตระกูลนักเพคะ” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำพลันรู้สึกลำบากใจ กล่าวว่า “ไม่ปิดบังองค์หญิง บุตรสาวสองคนของท่านอาหญิงใหญ่ของข้า ซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียน เมื่อครู่นี้องค์หญิงอาจได้เห็นมาก่อน? ก็คือคนที่กำลังสนทนาอยู่กับเติ้งวานวานก่อนหน้านี้เพคะ เพราะท่านอาหญิงใหญ่ของข้าเพิ่งติดตามท่านอาเขยใหญ่กลับมารับตำแหน่งใกล้เหมืองหลวง จึงยังไม่คุ้นเคยกับแต่ละตระกูลในเมืองหลวง จึงฝากฝังเรื่องของลูกผู้น้องทั้งสองกับข้า แต่จนบัดนี้ข้าก็ยังไม่สามารถให้คำตอบกับท่านอาหญิงใหญ่ได้เลยเพคะ”
องค์หญิงอันจี๋ยิ้มเรียบๆ หนหนึ่ง กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่เพิ่งมาอยู่เมืองหลวง ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะต้องอภิเษกในเร็ววันนี่? ดีชั่วหากเสด็จพ่อยังไม่แต่งหลินชวนออกไปนอกประตูวัง ก็จะไม่มาสนใจเรื่องของข้าชั่วขณะ ปีสองปีนี้ให้เจ้าช่วยข้าสอบถามดูด้วย ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจข้าในวันนี้ เป็นเช่นใด? เสิ่นจั้งเฟิงเป็นคนมีความรับผิดชอบ ข้าได้ยินว่าหลังจากเจ้าแต่งเข้ามาก็อยู่กับเขาได้เป็นอย่างดี ข้าคิดว่าภรรยาที่เสิ่นจั้งเฟิงรักใคร่คงต้องเป็นคนที่มีความคิดและมีชั้นเชิง และคงไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักตอบแทนคุณคนกระมัง? อีกประการ วันหน้าก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสช่วยเหลือข้า”
นางจึงค่อยโล่งอกลงบ้าง “เมื่อเป็นดังนี้ เรื่องที่ข้าต้องล่วงเกินเสด็จพ่อและเสด็จแม่และยังมีชิงซิน เพื่อช่วยเจ้าในวันนี้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว” นี่นางยังคงคิดคำนวณว่าจะทวงเอาส่วนที่เสียเปรียบคืนมาได้อย่างไรอีก
เมื่อว่ากันตามความหมายของนาง เว่ยฉางอิ๋งจึงก็คิดอยู่ในใจว่า เช่นนั้น ของกำนัลขอบคุณก็ไม่ต้องให้เจ้าแล้วใช่หรือไม่?
กำลังคิดว่าควรจะถามคำนี้ไปดีหรือไม่ จู่ๆ องค์หญิงอันจี๋ก็เอ่ยว่า “ความจริงแล้วน้องชายร่วมท้องของเจ้า เว่ยฉางเฟิงก็ไม่เลว!”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วเผลอไปสังเกตองค์หญิงอันจี๋แต่หัวจรดเท้าโดยไม่ทันรู้ตัว พลางใคร่ครวญในใจอย่างรวดเร็ว… หากว่ากันเรื่องรูปโฉม องค์หญิงอันจี๋ก็ไม่ได้ย่ำแย่ ในตำหนักหลังของรัชสมัยปัจจุบัน ลำพังแค่ฮองเฮาก็มีมาแล้วสามพระองค์ แต่ท่านหญิงเจินอี้พระมารดาของนางก็ยังสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งท่านหญิงขั้นหนึ่ง ตำแหน่งของนางในตำหนักหลังก็เป็นรองเพียงฮองเฮาและสนมเอกกุ้ย ซู เสียน เต๋อ ทั้งสี่เท่านั้น สมัยนั้นก็เคยรุ่งเรืองอย่างยิ่งมาก่อนเช่นกัน
ท่านหญิงเจินอี้มีชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่ก็ยังได้รับยศ ‘เจินอี้[1]’ เช่นนี้ เห็นชัดว่านางต้องอาศัยหน้าตาที่งดงามไต่เต้ามา
[1] เจินอี้ แปลว่า ล้ำค่า เปี่ยมล้นด้วยความหมาย
———————————————