ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 145-1 กู้โหรวจาง
ตามคำสั่งของฮูหยินซู เทียบขอให้เข้าวังไปขอพระราชทานอภัยรั้งรอไว้จนประตูวังเกือบปิดจึงเพิ่งออกมาจากประตูจวนราชครู บ่าวที่มาส่งเทียบค่อยๆ เดินมาจนถึงหน้าประตูวัง แล้วมองเห็นประตูวังปิดลงตรงหน้า จึงทำได้เพียงทอดถอนใจและหันหลังกลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ฮูหยินซูสั่งให้คนนำเทียบไปส่งในวังอีก ส่วนตัวเองก็นำบรรดาสตรีชั้นสูงในจวนเสิ่นไปดื่มสุรามงคลที่จวนซูอีกครั้ง…
สำหรับคนจากจวนตระกูลเสิ่นแล้ว งานเลี้ยงมงคลในวันนี้ไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด มีเพียงเสิ่นจั้งหนิงที่ไม่รู้จักเป็นกังวล และเอาแต่กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข ระหว่างนั้นนางยังไปดึงเด็กสาวสวมเสื้อผ้าหรูหราคนหนึ่งมาแนะนำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้จักด้วย “นี่คือพี่โหรวจางแห่งตระกูลกู้เจ้าค่ะ”
ในเมื่อเว่ยฉางอิ๋งกำลังพะวงกับเรื่องเข้าวังไปขอพระราชทานอภัย ทั้งยังกำลังวางแผนว่าจะทำอย่างไรเมื่อไปพบกับท่านอารองและท่านอาสะใภ้ เวลานี้จึงไม่มีแก่ใจไปสนใจผู้อื่นมากนัก แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เสิ่นจั้งหนิงเสียหน้า จึงทำได้แต่ฝืนใจตั้งสติมาสังเกตดูเด็กสาวผู้นี้หนหนึ่ง…
เด็กสาวผู้นี้อายุราวสิบห้าสิบหก ทำผมทรงก้นหอยคู่เช่นเดียวกับเสิ่นจั้งหนิง รัดด้วยแถบผ้า ประดับผมด้วยดอกไม้ทำจากอัญมณี สวมสร้อยวงกลมร้อยอุบะเครื่องประดับที่คุณหนูตระกูลใหญ่โตพึงมีมิได้ขาดเลยสักชิ้น ทว่าท่ามกลางอัญมณีนานาที่ห้อมล้อมตัวนางอยู่ กลับเห็นว่ามีความเฉียบคมคล่องแคล่วปรากฏออกมาจากตัวนางอย่างชัดเจน
นางมีใบหน้ารูปเมล็ดแตงที่งดงาม คิ้วเข้มดำเอียงชี้เข้าไปในตีนผม ดวงตาเมล็ดท้อที่ทั้งใหญ่และแวววาว จมูกโด่งปากผลอิงเถา มีพลังเต็มเปี่ยมผสานอยู่ท่ามกลางความงดงาม
เว่ยฉางอิ๋งเพียงแค่มองนางดังนี้ก็พลันรู้สึกโล่งใจ เด็กสาวที่งดงามเพียงนี้น่าชื่นชมยิ่งนัก กำลังจะเอ่ยปากชมนางไปเรื่อยเปื่อยสักหน่อย …ไม่คิดว่าเด็กสาวที่มีนามว่ากู้โหรวจางผู้นี้กลับยกมือขึ้นมา แล้วคำนับด้วยการเอาฝ่ามือประสานบนหมัด และเอ่ยเสียงฉะฉานว่า “ข้าน้อยกู้โหรวจาง คารวะพี่เว่ย!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปขึ้นมาทันใด นางนิ่งเหม่ออยู่สักพักจึงขืนยิ้มและกล่าวว่า “น้องกู้สบายดีหรือ มิทราบว่าเป็นน้องกู้จากตระกูลกู้ในสายใด” นางไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ! เพื่อนเล่นที่สนิทสนมกับเสิ่นจั้งหนิงน้องสามีผู้นี้ แม้มีฐานะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่โต แต่จะไม่ทำให้คนปวดหัวได้อย่างไร?
ดังเช่นซูอวี๋เฟย ซูอวี๋อินสองพี่นองที่ชอบแต่งหน้าประหลาด ยามแต่งหน้าขึ้นมาก็ทำเอาคนทั้งบ้านตกอกตกใจกันไปมด
“น้องเป็นบุตรสาวของตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง เป็นน้องของพี่ชายกู้หน่ายเจิงเจ้าค่ะ” นอกจากกู้โหรวจางจะก็ใช้การคารวะแบบผู้ชายและเรียกตนเองว่า ‘ข้าน้อย’ ในตอนแรกแล้ว ก็ดีที่ภายหลังนางก็กลับมาอยู่ในท่าทีปกติ และดีที่นางไม่ได้ทำเรื่องประหลาดๆ ใดอื่นอีก… เว่ยฉางอิ๋งฝืนยิ้มพลางว่า “อ๊ะ ที่แท้เป็นน้องสาวของพี่เขยพี่หญิงใหญ่ซู ยินดีที่รู้จักจริงๆ ข้าเพิ่งแต่งงานมาอยู่ที่เมืองหลวงไม่กี่วัน ก่อนหน้านี้ล้วนไม่เคยได้พบน้องมาก่อน ดีที่ครานี้น้องหญิงสี่พามาพบแล้ว”
กู้โหรวจางกลับเอ่ยอย่างสดใสว่า “ความจริงแล้ว ต่อให้พี่เว่ยมาที่เมืองหลวงก่อนหน้านี้สักสองปีก็จะไม่ได้พบกับข้าอยู่ดีเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง
เสิ่นจั้งหนิงอยู่ข้างๆ อธิบายแทนว่า “สองปีนี้พี่กู้อยู่ที่บ้านท่านตาท่านยายที่ยิวโจว เดือนก่อนเพิ่งกลับมาเจ้าค่ะ”
ส่วนเรื่องที่เหตุใดกู้โหรวจางจึงไปอยู่ที่บ้านท่านตาท่านยายมาสองปี เว่ยฉางอิ๋งกลับสามารถคาดเดาได้… ในเมื่อนางเป็นน้องสาวของกู้หน่ายเจิง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวจากอนุหรือภรรยาเอก ไม่กี่เดินก่อนกู้หน่ายเจิงก็เพิ่งจะออกทุกข์ให้มารดา คิดว่ากู้โหรวจางก็ต้องไว้ทุกข์ให้มารดาด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นดูจากอายุของ กู้โหรวจางแล้ว ครั้งมารดาของนางเสียไปนางก็ยังไม่ได้ปักปิ่นด้วยซ้ำ เด็กสาวที่โตเพียงเท่านี้ ตามหลักแล้วก็จะถูกอบรบมาพอประมาณแล้ว แต่ในช่วงเวลานี้ก็มีโอกาสมากทีเดียวที่จะเรียนรู้เรื่องไม่ดีได้ง่ายๆ …โดยมากแล้วคงเพราะเป็นกังวลเรื่องการอบรมบ่มนิสัยนาง จึงให้ไปอยู่ที่บ้านท่านตาท่านยาย
แน่นอนว่าตระกูลกู้แห่งเมืองหลวงเป็นตระกูลใหญ่ ไม่มีทางหาท่านป้าหรืออาสะใภ้สักคนมาเลี้ยงดูนางไม่ได้ บางทีอาจมีความเป็นไปได้ว่าบ้านท่านตาท่านยายของนางรักใคร่นางมากเป็นพิเศษ หลังจากบุตรสาวเสียไป ด้วยกลัวว่าป้าสะใภ้หรืออาสะใภ้จะไม่เอาใจใส่ดูแลนางเพียงพอ จึงรับนางไปเลี้ยงดูเป็นพิเศษ
เว่ยฉางอิ๋งคาดเดาอยู่ในใจ รวมกับเรื่องที่ตนคิดไว้ก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยชมกู้โหรวจางว่างดงาม กริยามารยาทเรียบร้อย อารมณ์ดี กู้โหรวจางฟังไปสองสามคำกลับหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ครั้งข้าอยู่ที่บ้านท่านตาท่านยาย ท่านยายล้วนบอกว่าข้าซุกซนจนทำให้นางปวดหัวอยู่บ่อยๆ กลัวว่าถ้าข้ามาที่เมืองหลวงแล้วจะขายหน้า ไม่คิดว่าในสายตาพี่เว่ย ข้าจะดีเพียงนี้”
“คนเช่นน้องกู้จะขายหน้าได้อย่างไร?” วันนี้เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งได้พบกู้โหรวจางเป็นหนแรก แล้วจะรู้ได้ที่ใดว่านิสัยจริงๆ ของนางเป็นเช่นใด? ก็เพียงพูดไปตามมารยาทเท่านั้น แต่คำพูดของกู้โหรวจางนี้ออกจะเห็นเป็นจริงเป็นจังเกินไป นางอดรู้สึกวางตัวไม่ถูกไม่ได้ คล้ายว่าถูกหัวเราะเยาะเอาเสียแล้ว
เสิ่นจั้งหนิงจึงเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยว่า “ครั้งพี่กู้อยู่ที่ยิวโจวได้ร่ำเรียนการขี่ม้ายิงธนูกับพวกพี่ชายบ้านท่านตาท่านยาย ได้ยินว่าพี่สะใภ้สามมีวรยุทธล้ำเลิศ จึงอยากมาขอคำชี้แนะจากพี่สะใภ้สามอย่างเป็นอย่างยิ่ง”
เว่ยฉางอิ๋งอดสะดุ้งตกใจไม่ได้ คุณหนูผู้ดีสมัยนี้นิยมการเป็นคนเรียบร้อยอ่อนโยน ต่อให้เป็นบุตรีของนายทัพเช่นเสิ่นจั้งหนิงหรือเช่นฮูหยินซู ก็ล้วนอบรมกันให้เรียบร้อยเชื่อฟัง การที่นางได้ร่ำเรียนวรยุทธล้วนเป็นเพราะแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่ง แม่สามีและสะใภ้ทั้งสองล้วนมีความเสียใจเรื่องทายาทแท้ๆ ของตน เมื่อได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตนจริงๆ จึงทำใจแข็งขัดใจไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าขัดกับธรรมเนียมก็ยังปล่อยตามใจนาง
นับแต่มาถึงเมืองหลวง บรรดาบุตรสาวของตระกูลเสิ่น หลิว ซูสามตระกูลที่ได้พบมา โดยมากแล้วก็จะเป็นคุณหนูผู้ดีเรียบร้อยมีสง่าที่ในมือถือพัดวงกลม อยู่ท่ามกลางผีเสื้อและดอกไม้ นี่ยังไม่ได้เอ่ยถึงชั้นตระกูลใหญ่ที่ทุกคนล้วนคล้ายว่าเดินออกมาจากตระกูลฝ่ายบุ๋น ต่างเก่งกาจเรื่องกวีนิพนธ์กันเพียงนี้ จะมีก็แต่เสิ่นจั้งหนิงที่ซุกซนชอบก่อเรื่องอยู่บ่อยครั้ง ทว่าก็เพียงมีท่าทีโลดโผนไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นไปรำดาบรำทวน
ไม่นึกว่าในตระกูลกู้แห่งเมืองหลวงก็มีคุณหนูผู้หนึ่งที่เรียนวรยุทธด้วย?”
หลังจากเว่ยฉางอิ๋งสะดุ้งตกใจแล้ว เมื่อนางหวนคิดถึงความอดทนที่ตนพยายามมุมานะมาสิบกว่าปี ยามมองไปที่กู้โหรวจางจึงอยากสะอื้นกันนางนัก กล่าวว่า “น้องกู้ เรียนวรยุทธเป็นเรื่องลำบากลำบน แต่เจ้ากลับยังพยายามฝึก นับว่ามิใช่เรื่องง่ายๆ เลย” มีความเป็นไปได้แปดหรือเก้าในสิบส่วนว่านางได้พบกับคนที่เป็นเช่นเดียวกันแล้ว!
“ก็มิใช่หรือเจ้าคะ?” กู้โหรวจางเอ่ยอย่างเปิดใจ “แรกเริ่มนั้นเห็นท่านตายิ่งธนูทะลวงใบหลิวที่ทาสีแดงเอาไว้และอยู่ห่างออกไปนับร้อยก้าว ข้ายังนึกว่าเป็นแค่วิชาเล็กน้อย รอจนถึงมือตนเอง จนวันนี้ยังง้างคันธนูอันนั้นของท่านตาไม่ออกเลย จึงรู้ว่าการร่ำเรียนวรยุทธไม่ง่ายดายเพียงใด!”
ยิงใบหลิวที่ห่างออกไปร้อยก้าว นี่มิใช่วิชาธนูที่คนธรรมดาจะมี แต่เล็กมากเว่ยฉางอิ๋งเคยได้ยินเจียงเจิงชมนางว่ามีพรสวรรค์เหนือคนทั่วไป ทว่าจะทำได้หรือไม่นางก็ยังไม่สามารถมั่นใจได้ในทุกครั้งไป เว่ยฉางอิ๋งจึงขอคำชี้แนะอย่างขึงขังว่า “ไม่ทราบว่าบ้านท่านตาท่านยายของน้องคือ…?”
“ตระกูลเผยแห่งยิวโจวเจ้าค่ะ” ไม่เกิดความคาดหมายของเว่ยฉางอิ๋ง ปรากฏว่าเป็นตระกูลเผย ตระกูลเลื่องชื่อแห่งยิวโจว กู้โหรวจางทอดถอนใจว่า “วรยุทธของข้าล้วนเป็นท่านตาสอนให้ ยามนี้พี่ใหญ่แต่งพี่สะใภ้แล้ว ท่านพ่อจึงมีคำสั่งให้ข้ากลับบ้าน และข้าก็พอจะโตแล้ว เกรงว่าพอข้ามาอยู่ที่เมืองหลวงก็คงต้องอยู่เรื่อยไป ข้าจึงคิดว่าวรยุทธที้ร่ำเรียนมาก็เพียงครึ่งๆ กลางๆ วันหน้าจะทำเช่นใดดี? แล้วพี่ชายใหญ่ของข้าก็เกียจคร้านนัก วรยุทธของเขาจึงธรรมดายิ่ง พี่ชายรองเก่งกาจกว่าพี่ชายใหญ่อยู่บ้าง แต่ก็บังเอิญนักที่เขาไปซีเหลียงเสียแล้ว วานนี้ได้พบกับน้องจั้งหนิงและได้พูดเรื่องนี้กับนาง นางจึงแนะนำท่านพี่ให้ข้า ข้าคิดว่านี่ต้องเป็นสวรรค์บันดาล ว่าหลังจากข้าจากยิวโจวมาก็ไม่ถึงกับต้องเสียอาจารย์ดีๆ ไปด้วยเจ้าค่ะ!”
——————————————–