ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 15 แท้งลูก
อย่างไรก็ดีทั้งสองฝ่ายล้วนไม่คุ้นเคยกันยิ่งนัก ด้วยมิได้เป็นอาหลานที่สนิทชิดเชื้อกันอย่างจริงแท้ ดังนั้นเมื่อพูดเรื่องของเว่ยเซิ่งเซียนแล้วก็คล้ายว่าไม่มีเรื่องจะสนทนากันอีก หลังจากทานอาหารเที่ยงในจวนและนั่งพักสักครู่แล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงอ้างว่าแม่เฒ่าเติ้งล้มป่วย แม่สามีไม่อยู่บ้าน ตนเองจึงไม่สะดวกจะกลับล้าช้า หลังจากบอกปัดคำเชิญชวนให้อยู่ต่อของท่านอาและอาสะใภ้แล้ว จึงกล่าวคำอำลาพร้อมกับเสิ่นจั้งเฟิงและจากไป
เมื่อกลับมาถึงจวนราชครูก็เห็นนางว่านยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน คล้ายว่ากำลังรอพวกตนอยู่ จึงเอ่ยถามนางว่ามีเรื่องใด
ปรากฏว่านางว่านรายงานว่า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินน้อยใหญ่ให้คนมาบอกว่าลวี่เฉียวในเรือนของคุณชายรอง…แท้งแล้วเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ?” สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนไปทันใด นี่มันผีซ้ำด้ำพลอยชัดๆ ตนเพิ่งจะเข้าบ้านมา ยายของสามีก็ล้มป่วย วันนี้ในบ้านก็ยังเกิดเรื่องแท้งบุตรอีก… นางรู้สึกแย่ขึ้นมาทันใด เมื่อตั้งสติแล้วจึงกล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้ข้าก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ท่านอาว่าควรทำเช่นไร?”
นางกลับไม่เคยได้ยินว่าในบ้านสองมีคนกำลังตั้งครรภ์อยู่!
นางว่านยิ้มเจื่อนพลางว่า “ฮูหยินน้อยรองก็ไม่อยู่เสียอีก ฮูหยินน้อยใหญ่เชิญหมอมาสั่งยาให้ลวี่เฉียวแล้ว และให้นางนอนพักอยู่บนตั่ง…เรื่องนี้ไม่เกี่ยวสิ่งใดกับบ้านเรา ฮูหยินน้อยใหญ่ก็เพียงให้คนมาบอกเท่านั้น ฮูหยินน้อย…ฮูหยินน้อยส่งสิ่งใดไปสักอย่างก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
ของกำนัลสักชิ้นกลับมิได้มีปัญหาใด สิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งกลัดกลุ้มนั้นคือตนเพิ่งจะแต่งเข้าบ้านเสิ่นไม่กี่วัน เหตุใดไม่ว่านอกบ้านในบ้านล้วนเกิดเรื่องเกิดราว? มองไปก็เห็นเสิ่นจั้งเฟิงเองก็กำลังขมวดคิ้ว สีหน้าหนักอึ้ง นางพลันตื่นตกใจและรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ขบริมฝีปากแล้วว่า “ทำตามท่านอาเถิด ข้ายังเด็ก ก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรมอบสิ่งใดให้ดี ต้องรบกวนท่านอาช่วยดูแลให้ด้วย”
นางว่านกล่าวถ่อมตนไปสองสามประโยค อาศัยจังหวะที่นางยกจอกเงินขึ้นมาด้วยจิตใจสับสนลอบส่งสายตาให้เสิ่นจั้งเฟิงหนหนึ่ง
เสิ่นจั้งเฟิงสะดุ้ง แล้วเห็นนางว่านมองภรรยาตนหนหนึ่ง จึงพอจะเข้าใจและพยักหน้าเบาๆ
รอจนนางว่านออกไปเตรียมของกำนัล เสิ่นจั้งเฟิงคิดสักพักจึงกล่าวกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “ลวี่เฉียวเป็นเพียงอนุในเรือนของพี่ชายรอง พี่ชายรองก็มิได้ชื่นชอบนางเป็นพิเศษ เพียงแต่…นางก็ตั้งครรภ์มาห้าเดือนแล้ว ยามครรภ์ได้สามเดือนก็ตรวจได้ว่าเป็นผู้ชาย ดังนั้นเมื่อครู่นี้ยามข้าได้ยินเรื่องจึงคิดว่าตอนนี้พี่ชายรองคงจะอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก จึงรู้สึกเป็นกังวล กลับมิได้มีความหมายใดอื่น”
บุตรสาวทั้งสามของบ้านสองแม้ว่าทุกคนต่างก็งดงาม บุตรสาวคนสุดท้องซูเหยียนยังเทพธิดาน้อยที่มีชื่อเสียงทั่วเมืองหลวง… แต่อย่างไรก็มิได้เป็นชาย มีบุตรสาวสามคนแต่ยังไม่มีบุตรชาย แม้เสิ่นเหลี่ยนสือจะไม่ออกปาก แต่ในใจจะไม่ร้อนรนได้หรือ? ปรากฏว่ายามนี้ภรรยาน้อยก็อุตส่าห์ตั้งครรภ์บุตรชายแล้ว แต่ก็มาแท้งเสีย…
เว่ยฉางอิ๋งฟังเขาอธิบายว่ามิได้ถือโทษโกรธตน หากแต่เป็นห่วงพี่ชายรอง คิ้วที่ขมวดอยู่จึงได้คลายลง แล้วว่า “เช่นนั้นเจ้าจะไปเรือนพี่รองดูสักหน่อยหรือไม่?”
“…ไม่ล่ะ ยามนี้พี่รองก็คงมิได้อยากพบข้า คงอยากจักอยู่เงียบๆ สักหน่อย” เสิ่นจั้งเฟิงครุ่นคิดสักพักแล้วกลับส่ายหัว พลางว่า “อีกประการพวกเราก็เพิ่งจะแต่งงานใหม่ หากทิ้งเจ้าเอาไว้ลำพังก็ไม่เป็นเรื่องไม่สมควร”
เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินประโยคนี้ แล้วหันหน้าหานางหวง “จัดห้องทางด้านหน้าแล้วหรือยัง?”
นางหวงเห็นว่ายามนางพูดนั้นมุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย รู้สึกขำอยู่ในใจ กล่าวว่า “ข้าน้อยจักไปถามดูเจ้าค่ะ” วันนี้นางติดตามเว่ยฉางอิ๋งกลับบ้านไปด้วย และเพิ่งจะกลับมาพร้อมกันแล้วจักรู้ได้อย่างไร?
จากนั้นก็รอนางว่านซึ่งไปเยี่ยมลวี่เฉียวที่บ้านสองกลับมา จึงได้รู้ว่าห้องข้างหน้านั้นจัดการาเรียบร้อยหมดแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งไปดูหนหนึ่ง รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องจึงชมเชยนางว่ายไปสองสามประโยค… เมื่อกลับมาที่ห้อง ก็ได้รู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงไปฝึกคัดตัวอักษรที่ห้องหนังสือเล็ก ใจอยากจะไปแต่ก็กลับรู้สึกลังเลขึ้นมา
นางหวงและนางเฮ่อส่งสายตาหากัน นางเฮ่อกระแอมไอหนหนึ่งกล่าวว่า “ดูคล้ายว่าจะลืมนำน้ำชาไปที่ห้องหนังสือเล็กเสียแล้วกระมัง? เมื่อครู่คุณชายบอกว่าอยากได้น้ำชาใช่หรือไม่?”
นางหวงกุมขมับ กล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ลืมไปเสียแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะพูด นางหวงก็เอาถาดไม้อูมู่ชียัดใส่มือนางแล้วว่า “ฮูหยินน้อยนำเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้พี่หวงบอกว่าเย็นวันนี้จะไปลงมือทำอาหารเอง ข้าน้อยต้องไปคอยช่วย พวกเราล้วนไม่ว่างเจ้าค่ะ”
ท่านอาทั้งสองไม่ว่างก็มิใช่ว่ายังมีสาวใช้หรอกหรือ? ฉินเกอเยี่ยนเกอเม้มปากแน่น ไม่กล้ายิ้มให้ชัดเจนนัก
เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ คิดสักพักหนึ่งจึงยอมลงให้ กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ก็ได้”
เพราะฝนยังตกอยู่ จึงปิดหน้าต่างในห้องหนังสือเล็กเอาไว้ เว่ยฉางอิ๋งยกน้ำชามาถึงหน้าประตู ฉินเกอก้าวเข้าไปเคาะประตู แล้วได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงสั่งความว่า “เข้ามาได้!”
เมื่อเปิดประตูมากลับเห็นว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ หากแต่เปิดหน้าต่างทางด้านหลังออก และนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ตั่งเตี้ยๆ ข้างหน้าต่าง ยามนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่ยังคงมีเสียงหยดน้ำจากต้นไผ่ข้างนอกหน้าต่างดังเข้ามา ต้นไผ่แห้งๆ ถูกน้ำฝนชะล้างเสียจนชุ่มชื่นส่งประกายดังหยกเขียว ชายหนุ่มที่นั่งเอนตัวอิงอยู่บนตั่งสวมชุดสีแดงเข้มใส่กว้านครอบผมทองคำ ใบหน้างดงามดังหยกมันแพะ หล่อเหลาจับตาจนบรรยายออกมาไม่ได้
เมื่อมองเห็นภรรยายกน้ำชามา เสิ่นจั้งเฟิงรีบวางหนังสือลงแล้วลุกขึ้นไปรับนาง “ดูเรือนด้านหน้าเสร็จแล้วหรือ?”
“เสร็จแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอาน้ำชาวางไว้บนโต๊ะแล้วมองไปบนโต๊ะหนังสือหนหนึ่ง “มิใช่บอกว่ากำลังคัดหนังสือหรือ?”
“เมื่อครู่นี้เขียนไปแล้วหลายแผ่น ได้ยินเสียงหยดน้ำจากต้นไผ่ข้างหลังห้องจึงรู้สึกว่าเปิดหน้าต่างแล้วมาอ่านหนังสือก็ดีเช่นกัน” เสิ่นจั้งเฟิงรินน้ำชาเองหนึ่งจอก ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวไป
เว่ยฉางอิ๋งมองไปรอบๆ หนหนึ่ง ในนี้ไม่มีน้ำชาอยู่จริงๆ จึงลอบโล่งอก จากนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าตนตื่นเต้นเกินไป… ต่อให้ในนี้มีน้ำชาแล้ว แล้วตนจะมาในห้องหนังสือเล็กแห่งนี้ไม่ได้เช่นนั้นหรือ?
ในขณะที่เกือบๆ ใจลอยอยู่นั้นพลันได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงบอกกับฉินเกอและเยี่ยนเกอว่า “พวกเจ้าลองไปดูที่ห้องครัวเล็ก แล้วนำของวางมาสักจาน”
ฉินเกอและเยี่ยนเกอเม้มปากหัวเราะ แล้วว่า “เจ้าค่ะ!”
เขาต้องการของว่างที่ใดกัน เห็นชัดๆ อยู่ว่าเขาไม่อยากให้พวกนางอยู่ตรงหน้า
เว่ยฉางอิ๋งรอจนสาวใช้ออกไปหมดแล้วจึงกล่าวว่า “ไยเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง แล้วไม่เรียกคนมาคอยปรนนิบัติ?”
เสิ่นจั้งเฟิงมองนางยิ้มๆ เว่ยฉางอิ๋งพลันหน้าแดงขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างขัดเคืองว่า “เจ้ายิ้มเรื่องใด?”
“เมื่อครู่นี้ข้ากำลังคิดว่า เมื่อใดนะเจ้าจะยกน้ำชามาให้” เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางไม่พอใจ จึงเดินอ้อมโต๊ะวางน้ำชาจะไปกอดนาง เว่ยฉางอิ๋งขยับตัวหลบไปแล้วว่า “ข้าจะไม่ยกเข้ามา ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่ออกไปเอง!”
เสิ่นจั้งเฟิงเดินตามไปก้าวหนึ่งและกอดนางเอาไว้ได้ในที่สุด เขายื่นนิ้วไปหยิกข้างแก้มนาง ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “วานนี้เจ้าส่งผ้าผืนนั้นให้ข้า ข้าจึงคิดว่าวันนี้ข้าอยู่ในนี้ไม่มีน้ำชา เจ้าก็จักต้องยกมาให้…ปรากฏว่า ก็เป็นเจ้ายกเข้ามาให้ด้วยตนเองจริงๆ” เข้าเอ่ยถามอย่างใกล้ชิดสนิทสนม “สองวันมานี้ ที่สุดเจ้าก็ไม่กลัวสามีเสียที? ฮึ?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพัก รู้สึกว่าไม่ว่าจะตอบเช่นใดก็ล้วนต้องถูกเข้าเย้าแหย่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่สู้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสียเลย “วันนี้ท่านอารองพูดเรื่องใดกับเจ้า?”
“ก็ไม่ได้พูดสิ่งใด” เสิ่นจั้งเฟิงตอบไปเรื่อยเปื่อยประโยคหนึ่งแล้วดึงหัวข้อสนทนากลับมา บอกว่า “ข้าได้ยินคนว่าเจ้ากล้าหาญนัก สองวันก่อนไยต้องคอยหลบข้าเล่า?”
ที่สุดเว่ยฉางอิ๋งก็หมดความอดทน ยื่นมือออกไปหยิกเขาหนหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างขัดเคืองว่า “ข้าไม่ได้กลัวเจ้า!”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางชี้มาที่แก้มของตน “จริงหรือ?”
“เชอะ! จักต้องจูบเจ้าเสียให้ได้จึงนับว่าไม่กลัวเจ้ารึ?” เว่ยฉางอิ๋งมองแผนการของเขาออกจึงเขินอายจนหน้าแดง แล้วผลักเขาออกไป บอกว่า “เหตุใดต้องคอยฟังเจ้าว่าเช่นใดกลัวเช่นใดไม่กลัว? ข้าซัดเจ้าสักรอบ เจ้าจักได้รู้ว่าใครกลัวใครกันแน่!”
“เหตุใดเจ้าชอบตีข้านัก?” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางเอาตัวไปแนบข้างลำตัวนาง กล่าวว่า “มิใช่ว่าตีก็คือจูบ ด่าก็คือรักหรือ? เจ้าชอบจูบสามีถึงเพียงนั้นเชียว?”
เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึก พุ่งมือออกไปพลางว่า “ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว เจ้านี่มัน…!” เสิ่นจั้งเฟิงจับข้อมือนางไว้ได้พอดี นางจึงพลิกผ่ามือขึ้นแล้วปัดมือของเสิ่นจั้งเฟิงออก
เสิ่นจั้งเฟิงร้องอ่ะออกมาหนหนึ่ง “จะลงมือกันจริงๆ รึ?”
“ห้ามทำมือไม้ซุกซนอีก ไม่อย่างนั้น…ข้าซัดเจ้าแน่!” เว่ยฉางอิ๋งปัดมือเขาออกแล้วซัดหมัดหลายหมัดใส่เขา พลางขึ้นเสียง
“สามีไม่ทำมือไม้ซุกซนกับเจ้า แล้วจะให้ไปทำมือไม้ซุกซนกับผู้ใดเล่า?” เสิ่นจั้งเฟิงลูบคางพลางกล่าวอย่างขำขัน “เจ้าไม่ให้สามีมือไม้ซุกซนเป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงก่ำขึ้นมา พึมพำว่า “สมควรสิ่งใดกันเล่า! หากเจ้ายังพูดจาส่งเดช ข้าจะชกเจ้าจริงๆ แล้ว!”
เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตา แต่กลับเอาชายเสื้อสอดเข้ามาใต้เข็มขัดหยก ม้วนแขนเสื้อขึ้น แล้วยิ้มอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนพลางกวักมือเรียก “มาสิ ให้สามีดูหน่อยว่าเจ้าร่ำเรียนสิ่งใดมาบ้างจึงได้มั่นใจถึงเพียงนี้ วันๆ เอาแต่คิดจะตีสามีให้เชื่อฟัง?”
“ร่ำเรียนสิ่งใดมา? ที่เรียนมาก็คือจะชกเจ้าอย่างไรเล่า!” เว่ยฉางอิ๋งเห็นเขาทำท่าให้ตนลงมือให้เต็มที่ ทั้งยังไม่มีความเกรงกลัวใดๆ เดิมทีก็รู้สึกหงุดหงิดจนโกรธอยู่แล้ว ครานี้ยิ่งไม่พอใจหนักเข้าไปอีก เท้าหนึ่งยันพื้นแล้วพุ่งตัวเข้าใส่ ซัดสันมือไปที่ข้างคอของเสิ่นจั้งเฟิง!
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ผ่ามือนี้ไม่เลว ยามฝึกคงลำบากไม่น้อยเลยสินะ?” ยังมิทันสิ้นความ เขาก็ใช้นิ้วหนึ่งนิ้วสกัดไปที่ประตูลมปราณของเว่ยฉางอิ๋ง ปากก็ไม่ลืมจะกระเซ้าไปว่า “ได้ยินว่าเจ้าฝึกวรยุทธ์ก็ด้วยกลัวว่าเมื่อแต่งเข้ามาแล้วจะคุยกับสามีไม่รู้เรื่อง เห็นได้ว่าเจ้ารักใคร่สามีปานใด ไยพอเข้าบ้านมาแล้ว สามีกลับรู้สึกว่าคำเล่าลือนี้คลาดเคลื่อนอย่างใหญ่หลวง…ที่เจ้าไปเรียนวรยุทธนี้มาก็ด้วยคิดจะตีสามีให้อยู่หมัดชัดๆ? ”
เว่ยฉางอิ๋งรู้ดีว่าด้วยร่างการของสตรีนั้น ย่อมไม่มีวันมีเรี่ยวแรงทัดเทียมบุรุษ จึงไม่กล้าปล่อยให้เขาพิจารณาข้อเท็จจริงใดๆ ได้ พลันรีบสะบัดมือออก เปลี่ยนจากฝ่ามือมาเป็นหมัด และพุ่งตรงไปยังใบหน้าของเสิ่นจั้งเฟิง แค่นเสียงกล่าวว่า “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว!”
“อ๊ะ เช่นนั้นก็มิใช่ว่าสามีถูกหลอกเสียแล้วหรือ?” เสิ่นจั้งเฟิงแสร้างทำท่าประหลาดใจ แล้วหลบตัวออกจากหมัดนี้ อาศัยจังหวะที่เว่ยฉางอิ๋งพุ่งตัวมาข้างหน้าตน เอื้อมมือไปลูบแก้มนางหนหนึ่ง แล้วกล่าวพลางหัวเราะตาหยี
เว่ยฉางอิ๋งโกรธเสียจนถอดกำไลที่ข้อมือออกมาโยนใส่เขา “ข้าต่างหากที่ถูกหลอก! ท่านย่าบอกเสมอมาว่าเจ้าเป็นสามีที่ดี เจ้า…ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นนี้! คราแรกยามข้าได้พบเจ้าบนระเบียงทางเดิน ยังหลงนึกว่าเจ้าเป็นสุภาพบุรุษแสนซื่อตรงเสียอีก!”
เสิ่นจั้งเฟิงตาเร็วมือไวรับกำไลหยกที่นางปามาใส่ได้ทันใด แต่กลับถูกนางอาศัยจังหวะนี้ถีบเขาไปหนหนึ่ง หนนี้ไม่หนักไม่เบา เขาเองก็ไม่ได้มีโทสะ หัวเราะพลางเอากำไลยัดเก็บใส่ไว้ในแขนเสื้อ แล้วว่า “อยู่ข้างนอกเหตุใดสามีจะไม่ซื่อตรงเล่า? แต่ความสำราญภายในห้องส่วนตัวนั้น ยังจะมาวางท่าเป็นผู้ดีอยู่แล้วจักสนุกได้อย่างไร?” ยังว่า “มีคนกล่าวไว้ว่าไม่ฟังคำผู้ใหญ่ ก็จักต้องขาดทุน เจ้าดูเอาเถิดแม้แต่ท่านย่ายังบอกว่าข้าเป็นสามีที่ดี เจ้ายังไม่รีบมาจูบสามีแสนดีของเจ้าอีก…”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ถูกเว่ยฉางอิ๋งไล่ตามมาทัน ว่าแล้วก็กำหมัดและพุ่งหมัดใส่แขนที่เขายกขึ้นมากันไว้ที่หน้าอกไม่ยั้ง แม้จะมิได้ออกแรงจริงจัง ทว่าเว่ยฉางอิ๋งฝึกวรยุทธ์มานานปี ว่ากันตามจริงยามชกเข้ามาก็รู้สึกเจ็บอยู่บ้างเช่นกัน เขาจึงยิ้มพร้อมกับกันไปพลางและรุกไปพลาง “เจ้าจะไม่จูบจริงๆ หรือ? ไม่จูบข้าก็จักเอาเรื่องที่วันนี้เจ้าปิดประตูห้องหนังสือและมาทุบตีสามีไปโพนทะนาให้ทุกคนได้รู้กันว่าเจ้าเป็นแม่เสือสาว ดูซิว่าวันหน้าเจ้าจะออกไปข้างนอกได้อย่างไร?”
_______________________________