ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 153-1 ลูกผู้พี่หญิงมา
เพราะน้ำเย็นอ่างนี้ของเว่ยเจิ้งอิน สองสามวันต่อมาเว่ยฉางอิ๋งล้วนมีท่าทีเซื่องซึม ทำให้พวกนางหวงและนางเฮ่อพากันเป็นกังวลอย่างมาก
หลังจากเว่ยเจิ้งอินแล้ว เว่ยเซิ่งเซียนและพระชายารุ่นอ๋อง แม้กระทั่งทางฝั่งของเว่ยเซิ่งอี๋ ก็ยังให้เว่ยฉางหว่านมาอวยพรที่บ้าน แล้วยังมีญาติฝั่งตระกูลซูอีก …ถึงแม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะพยายามปั้นหน้ายิ้มตบตาทุกคนที่มาอวยพร แต่เมื่อคนไปแล้วก็กลับมาเซื่องซึมไม่มีความสุขเช่นเดิม ไม่ว่านางหวงจะหาวิธีนานามาคลายความเศร้าให้นาง นางเฮ่อหาทางมากระเซ้านาง เว่ยฉางอิ๋งก็ยังคงดูหมดอาลัยตายอยากอยู่เช่นนั้น
เพราะตอนที่เว่ยเจิ้งอินบอกกล่าวคำพูดเหล่านั้นกับหลานสาวเป็นตอนที่พวกนางอยู่กันอาหลานเป็นส่วนตัว พวกของนางหวงจึงไม่รู้ว่าเหตุใดเว่ยฉางอิ๋งจึงได้กลัดกลุ้มเป็นทุกข์ พวกนางจึงมาปรึกษากันเองรอบหนึ่งและคิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้
หลังเที่ยงวันมีฝนตก เว่ยฉางอิ๋งนอนอยู่บนตั่งภายในห้อง ได้ยินเสียฝนสาดกระทบใบกล้วยจากนอกหน้าต่างดังซ่าๆ แล้วนางก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว ก็ไม่รู้ว่านอนหลับไปนานเท่าใด เมื่อตื่นขึ้นมาก็คล้ายมองเห็นเค้าโครงหน้าของคนสองสามคนจากนอกมุ้ง นางกวาดตาไปเรื่อยเปื่อยหนหนึ่ง นึกว่าพวกบ่าวไม่วางใจจึงได้คอยเฝ้าอยู่ข้างนอก จึงไม่ได้สนใจอันใดนัก แล้วร้องเรียกให้คนเข้ามาปรนนิบัตินาง
ไม่คิดว่าเมื่อมุ้งถูกยกขึ้น คนตรงหน้าที่เข้ามานั้น ทั้งทำผมแต่งหน้างดงาม แต่น่าเสียดายที่บนหน้าผากมีรอยแผลเป็นเส้นหนึ่งยาวเข้าไปในตีนผมทำลายความงามมีอยู่ดั้งเดิมไปเสีย พูดจายิ้มแย้มแจ่มใส… คนผู้นั้นก็คือซ่งไจ้สุ่ย!
เว่ยฉางอิ๋งทั้งตกใจทั้งยินดี ลุกขึ้นมาคลานแล้วว่า “ลูกผู้พี่ ท่านมาได้อย่างไร?”
“เจ้าต้องระวังตัวสักหน่อย ค่อยๆ ลุกหน่อย!” เดิมทีซ่งไจ้สุ่ยมีท่าทีสบายๆ แต่เพราะอาการลุกพรวดพราดขึ้นมาของลูกผู้น้อง นางจึงรีบเข้าไปประคองเอาไว้ เอ็ดไปว่า “มิใช่บอกว่าเจ้ากำลังตั้งอกตั้งใจดูแลครรภ์หรอกรึ? แล้วเหตุใดจึงยังเลินเล่อเช่นนี้?”
เว่ยฉางอิ๋งรีบนั่งลงดีๆ อย่างระมัดระวัง แล้วถามอีกครั้งว่า “ลูกผู้พี่ ท่านมาได้อย่างไร?”
ตามหลักแล้วเมื่อนางตั้งครรภ์ ลูกผู้พี่แท้ๆ ก็ควรจะมาเยี่ยมที่จวน ทว่าทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้เรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยเสียโฉม นับแต่นั้นมาคุณหนูใหญ่ซ่งผู้นี้ก็อ้างว่าร่างกายไม่ใคร่แข็งแรง ต้องการพักฟื้นและไม่ออกจากบ้านอีกเลย ซึ่งแต่ละบ้านก็เข้าใจถึงเรื่องที่นางต้องประสบมา ต่างรู้กันในทีและพากันไม่เอ่ยถึงนางอีก
วันนี้จู่ๆ ซ่งไจ้สุ่ยก็มาอยู่ตรงน้า ด้วยความตื่นเต้นดีใจเพราะเป็นเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งไม่คาดคิด จึงเอาแต่ถามสาเหตุไม่ยอมหยุด …ซ่งไจ้สุ่ยพลันชี้นิ้วไปแตะที่หน้าผากของนาง ยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งกล่าวว่า “ข้าอุตส่าห์รีบมาเยี่ยมเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รับน้ำใจข้า? เอาแต่ไล่ถามอยู่เช่นนี้ เพราะเกี่ยงที่ข้ามาหารึ?”
“เกี่ยงที่ลูกผู้พี่ท่านมาช้าเพียงนี้น่ะสิ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “แต่พูดกันจริงๆ ท่านพี่ เหตุใดท่านจึงมาด้วยตัวเอง? ข้ายังคิดว่าให้ร่างกายแข็งแรงแล้วค่อยไปหาท่านเชียว”
ซ่งไจ้สุ่ยบอกว่า “สองวันมานี้เจ้าเซื่องซึมไม่เป็นสุข ทำเอาบ่าวติดตามของเจ้าร้อนใจนักแล้ว? เห็นหรือไม่ ท่านอาเฮ่อมาหาข้าด้วยตนเอง บอกให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสักหน่อย มาปลอบคุณหนูใหญ่เช่นเจ้าให้ดีใจอย่างไรเล่า!”
เว่ยฉางอิ๋งประหลาดใจนัก กล่าวว่า “ข้ากลับไม่รู้เรื่องนี้เลย”
“ยามนี้ นอกจากดวงจิตดวงใจสุดที่รักในท้องเจ้าแล้ว เจ้ายังจะรู้เรื่องใดอีก?” ซ่งไจ้สุ่ยกระเซ้านางไปคำหนึ่ง แล้วกลับตอบอย่างจริงจังขึ้นมาว่า “เดิมทีแม้ท่านอาเฮ่อไม่พูด ข้าเองก็คิดว่าอีกสักวันสองวันจะมาหาเจ้าเช่นกัน เพียงแต่พี่สะใภ้ใหญ่สุขภาพไม่ดีเรื่อยมา พี่ชายรองก็เลิกกับภรรยา เรื่องต่างๆ ในบ้านล้วนต้องให้ข้าเป็นคนดูแล จึงปลีกตัวมาไม่ได้ชั่วขณะ”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนถอยออกไปหลังจากซ่งไจ้สุ่ยเข้ามาในมุ้ง เพื่อให้ลูกผู้พี่สนทนาได้ตามสบาย นางจึงกดเสียงลงต่ำบอกว่า “ท่านพี่ อย่างไรท่านก็ระวังพี่สะใภ้ฮั่วไว้สักหน่อยเป็นดี ในโถงวันนั้นข้ามองเห็นถนัดตานัก ตวนมู่อู๋เซ่อหาได้คิดจะผลักพี่สะใภ้ฮั่วให้ล้ม ข้าว่าพี่สะใภ้ผู้นี้ไม่ธรรมดา เวลานี้ด้วยนางต้องการพิสูจน์ว่าเรื่องของตวนมู่อู๋เซ่อไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด ในใจนางคิดการใดอยู่ผู้ใดจักรู้เล่า? ท่านพี่ดูแลบ้านเรือนก็ต้องระวังเอาไว้สักหน่อย อย่าได้กลายเป็นว่าพี่สะใภ้ผู้นี้คิดการร้ายใดขึ้นมาและมาทำร้ายท่าน”
ซ่งไจ้สุ่ยฟังคำนี้กลับมีสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มออกมา กล่าวว่า “โธ่เอ๊ย น้องหญิงคนดี เจ้ากลับมาเป็นห่วงลูกผู้พี่เช่นข้า แต่เจ้าก็ดูแคลนข้าเกินไปเสียแล้ว …เจ้าคิดดูสิ ลำดับตระกูลบ้านฝั่งแม่ของพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า ไม่ทัดเทียมตวนมู่อู๋เซ่อ ฉะนั้นเมื่อนางถูกตวนมู่อู๋เซ่อกลั่นแกล้งนานามาตลอดหลายปี จึงไม่มีปัญญาทำอันใดน้องสะใภ้ผู้นี้ แล้วเหตุใดรอจนข้ากลับเพียงไม่นาน จึงได้มีแรงฮึดมาไล่ตวนมู่อู๋เซ่อเอายามนี้?”
“เป็นท่านทำ?!” เว่ยฉางอิ๋งตะลึง เอ่ยพลางตาค้างปากสั่น!
ซ่งไจ้สุ่ยเองก็ไม่ปิดบังและกล่าวอย่างปลื้มปิติยินดี “ไม่ใช่ข้า แล้วจะเป็นเจ้าหรือไร?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เพราะเรื่องที่นางมาหาเรื่องท่านคราก่อน หรือว่า…?”
“เรื่องคราก่อนนั้น ผ่านแล้วก็ให้ผ่านเลย ข้าเป็นคนที่อยู่ว่างๆ ไม่มีเรื่องใดทำจึงไปค้นบัญชีเก่ามาสะสางรึ?” ซ่งไจ้สุ่ยย้อนถามคำหนึ่ง แล้วสีหน้าก็หนักขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “เป็นตวนมู่อู๋เซ่อรนหาที่ตายเอง!”
“นางทำสิ่งใดรึ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามไปอย่างประหลาดใจ ทว่า มองดูสีหน้าของซ่งไจ้สุ่ยก็รู้แล้วว่าตวนมู่อู๋เซ่อต้องก่อเรื่องที่ทำให้ซ่งไจ้สุ่ยโกรธจนถึงที่สุด …หาไม่แล้ว ซ่งไจ้สุ่ยก็จะไม่จัดการให้นางออกไปพ้นๆ บ้านเช่นนี้ อีกทั้งการถูกหย่าร้างและส่งตัวกลับบ้านก็มิใช่เรื่องที่ตวนมู่อู๋เซ่อจะต้องทนรับอยู่แต่ผู้เดียว กระทั่งทั้งตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วก็ยังต้องเสียหน้าไปด้วย …ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลตวนมู่ยังไม่อาจมาขอร้องตระกูลซ่งให้ยกโทษให้ได้ด้วย!
ฉะนั้น เรื่องนี้จึงทำให้สองตระกูลต้องมีความแค้นต่อกัน!
ซ่งไจ้สุ่ยเป็นคนที่เห็นแก่ส่วนร่วม หากมิใช่เรื่องที่หนักหนาสาหัสจริงๆ ซ่งไจ้สุ่ยต้องไม่ทำให้ต้องเป็นศัตรูกันทั้งตระกูลหรอก เห็นได้ว่าสิ่งที่ตวนมู่อู๋เซ่อทำจะต้องเกินเลยเป็นที่สุด เกินเลยจนกระทั่งแม้แต่คนที่มีถูกบ่มเพาะกริยามารยาทประหนึ่งให้มาเป็นฮองเฮาเช่นซ่งไจ้สุ่ยก็ยังไม่อาจทนรับได้
ปรากฏว่าซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “นางเกี่ยงว่าเห็นข้าอยู่บ้านแล้วขัดนัยน์ตานัก จึงอยากหมั้นหมายข้าให้กับน้องชายในสายห่างๆ ของนางคนหนึ่ง”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยความตกใจว่า “นางยังกล้าคิดออกมาได้! ยังไม่ต้องเอ่ยเรื่องว่าท่านลุงยังอยู่ ลูกผู้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ ทั้งลูกผู้พี่รองก็ยังอยู่ด้วยนะ เรื่องแต่งงานของท่านต้องให้นางมายุ่งย่ามอันใด? ประสาอะไรเมื่อนางไม่ชอบท่าน คนที่นางเลือกมาจะต้องไม่ใช่ของดีอันใดแน่!”
ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มเย็นพลางว่า “เพียงเท่านี้เจ้าก็รู้สึกสมน้ำหน้านางแล้วรึ? เช่นนั้นเจ้าก็ประเมินนางต่ำเกินไปแล้ว! ข้าจะบอกให้ หากเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ข้าก็จะไม่ถึงกับตอบโต้นางไปเช่นนี้! เจ้าว่านางไม่รู้หรือว่าทั้งท่านพ่อและพี่ชายทั้งสองล้วนยังอยู่ ทั้งยังมีพี่สะใภ้ใหญ่ข้าอยู่ เรื่องแต่งงานของข้าย่อมไม่มีทางเป็นนางมาจัดการ? ฉะนั้นนางจึงคิดวิธีขั้นเลิศแสนรัดกุมเอาไว้!”
“นางคิดวิธีชั้นเลิศอันใด?” เว่ยฉางอิ๋งถามอย่างสงสัย
“นางคิดใช้วิธีให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก เพื่อท่านพ่อและพวกท่านพี่จักได้ไม่มีหนทางอื่น” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยเรียบๆ ว่า “ดังนั้น นางจึงแอบให้น้องชายร่วมตระกูลของนางผู้นั้นเข้ามาในจวนเสนาบดีตรวจการทางประตูหลัง แล้วบอกทางเขามาที่เรือนข้า คิดว่าขอเพียงน้องชายร่วมตระกูลของนางมาใกล้ๆ ทางด้านซ้ายของเรือนข้า นางก็จะส่งคนเข้าไปขวางไว้ จากนั้นก็จะกัดไม่ปล่อยว่าข้าแอบคบหากับคนผู้นั้น หากมิใช่ว่า พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าไม่ลงรอยกับนางมาแต่ไร จึงได้ส่งหูตาเข้าไปอยู่ข้างกายนาง ครานี้ข้าก็ต้องกล้ำกลืนถูกลบหลู่และแต่งกับคนที่นางคิดจะให้ข้าแต่งด้วยไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่ยอมทนถูกกลั่นแกล้งและเอาผ้าขาวแขวนคอตายให้มันสิ้นเรื่องไปเสียเลย… เจ้าว่าข้ายังจะเก็บคนชนิดนี้ไว้ในบ้านซ่งอีกรึ? เห็นข้าเป็นคนตายจริงๆ หรือไร?”
———————————