ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 16 วิกฤตในบ้านสอง
เว่ยฉางอิ๋งเลียนแบบเขาทั้งมิได้เกรงกลัวคำขู่ของเขา หัวเราะเยาะแล้วว่า “พอออกพ้นประตูนี้ไป ข้าย่อมสำรวมท่าทีเช่นกุลสตรีตระกูลใหญ่! ข้าเป็นบุตรสาวตระกูลเว่ย มีสตรีใดในตระกูลที่ออกไปข้างนอกแล้วไม่ได้รับคำเยินยอจากผู้คนว่าสุภาพเรียบร้อยเป็นกุลสตรีมีคุณธรรม? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงบุตรสาวในสายหลักของตระกูล! เรื่องที่เจ้าพูด ผู้คนจะเชื่อรึ? ข้ายังจะบอกว่าเจ้าจงใจให้ร้ายข้าเสียอีก!”
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะพลางว่า “สามีพูดจาหวานๆ กับเจ้ามากมายเจ้ากลับไม่รู้จักเรียนรู้ ไยกลับชอบเลียนแบบแต่คำพูดที่ไม่มีเหตุผลเล่า? เจ้านี่ไม่เชื่อฟังเสียเลยจริงๆ”
“เชอะ คนที่ต้องเชื่อฟังคือเจ้าต่างหาก!” เว่ยฉางอิ๋งตีเข้าไปอีกหนหนึ่ง แล้วกล่าวข่มขวัญว่า “หากเจ้ายังเล่นลิ้นพูดจาส่งเดชอีก ดูซิว่าข้าจะชกเจ้าอย่างไร!”
เสิ่นจั้งเฟิ่งหน้าตาขึงขังขึ้นมา กล่าวว่า “อิ๋งเอ๋อร์ก็ดูถูกสามีเกินไปแล้ว เจ้าเห็นว่าสามีเป็นกลัวจะถูกชกถึงเพียงนั้น!”
“เจ้า!” เว่ยฉางอิ๋งหมดคำพูด สักพักจากนั้นจึงทุบเขาไปอย่างแรงหนหนึ่ง “ชกเจ้ามากเข้า ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจักไม่กลัว!”
เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สามีบอกแล้วอย่างไร ตีก็คือจูบ ด่าก็คือรัก ที่ว่า…”
“ที่ว่า…เจ้ายังจะพูดอีก!” เว่ยฉางอิ๋งง้างกำปั้นขึ้น พร้อมกับสีหน้าข่มขู่
แล้วเสียงประตูก็ดังขึ้นพอดี ฉินเกอและเยี่ยนเกอกระแอมไออยู่ข้างนอกหนหนึ่งจึงได้รายงานผ่านประตูว่า “คุณชาย ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ฮูหยินน้อยใหญ่ส่งคนมาบอกว่าวันพรุ่งขอเชิญฮูหยินน้อยไปที่บ้านใหญ่สักหนเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งรีบผลักเสิ่นจั้งเฟิงออกแล้วจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เรียบรอย จึงบอกไปว่า “เข้ามาพูดให้ละเอียดซิ”
“เจ้าค่ะ!”
ฉินเกอและเยี่ยนเกอเข้ามามือเปล่า เห็นชัดว่าไม่ได้คิดว่าเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงสั่งให้ไปเอาของว่างก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงจัง พวกนางบอกว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่บอกว่าทางลวี่เฉียวนั้นคล้ายจะมีเรื่องเจ้าค่ะ วันพรุ่งอยากเชิญฮูหยินน้อยช่วยไปเป็นพยานด้วยกันเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็รู้สึกงงงันไปหมด กล่าวว่า “มีเรื่องใดกันหรือ?”
“คนที่ฮูหยินน้อยใหญ่ส่งมาไปมารวดเร็ว มิได้กล่าวชัดเจน ข้าน้อยก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งมองเสิ่นจั้งเฟิงหนนึ่ง แล้วสั่งความกับสาวใช้ไปก่อนว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ออกไปก่อนเถิด” รอจนภายในห้องหนังสือเล็กเหลือเพียงสามีภรรยาสองคน นางจึงถามว่า “ลวี่เฉียวผู้นี้?”
เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัวบอกว่า “เรื่องนี้ต้องถามท่านอาว่าน เรื่องในเรือนหลังบ้านพี่รองข้านั้นไม่ใคร่รู้ชัดนัก ลวี่เฉียวผู้นี้ยังเป็นเพราะนางตั้งครรภ์และภายหลังตรวจครรภ์ได้ว่าเป็นบุตรชาย ด้วยความดีใจพี่รองจึงลากข้าไปดื่มสุราด้วย ข้าจึงได้รู้จักนาง”
เสิ่นเหลี่ยนสือถึงขั้นลากน้องชายไปดื่มสุราด้วยกัน เพราะดีใจเรื่องที่ตรวจพบว่าเด็กในครรภ์ของลวี่เฉียวเป็นเด็กผู้ชาย เห็นได้ว่าเขาตั้งตารอบุตรชายจากอนุผู้นี้ยิ่ง ไม่คิดว่าการตั้งตารอหนนี้จะรอได้เพียงสองเดือนก็ต้องจบลงเสียแล้ว และไม่รู้ว่ายามนี้จะเศร้าโศกจนเป็นเช่นใดแล้ว?
เว่ยฉางอิ๋งมิได้เป็นห่วงเรื่องความรู้สึกของพี่รองของสามี สิ่งที่นางสงสัยคือลวี่เฉียวก็แท้งไปแล้ว แล้วจักมีเรื่องใดอีก จนทำให้นางหลิวผู้เป็นฮูหยินน้อยใหญ่ซึ่งคอยดูแลบ้านมาโดยตลอดไม่อาจตัดสินใจได้ ยังต้องลากเอาตนเองที่เพิ่งจะแต่งเข้าบ้านมาไปเป็นพยาน? เป็นพยานเรื่องใด?
ในเมื่อเสิ่งจั้งเฟิงแนะนำให้ไปสอบถามนางว่าน เว่ยฉางอิ๋งจึงออกมาจากห้องหนังสือเล็ก แล้วให้คนไปตามนางว่านมาสอบถามในโถงกลาง
พอนางเว่ยได้ยินคำก็มีท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าน้อยก็ไม่ใคร่รู้เรื่องของลวี่เฉียวละเอียดนัก หลังบ้านคุณชายรองมีอนุหลายนาง ลวี่เฉียวก็มิได้โดดเด่นนัก หากมิใช่เพราะครานี้ตั้งครรภ์ก็ไม่มีผู้ใดเคยสนใจนางมาก่อน ข้าน้อยจึงไม่รู้เรื่องของนางเลยจริงๆ ไม่กล้าคาดเดาส่งเดช ด้วยเกรงว่าจะชี้นำฮูหยินน้อยให้ เข้าใจผิดเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งพึมพำว่า “เป็นเช่นนี้หรือ? ไม่รู้จริงๆ ว่าวันพรุ่งพี่สะใภ้ใหญ่จะให้ข้าไปทำสิ่งใด”
นางว่านกำผ้าเช็ดหน้าเอาแต่ยิ้มและไม่พูดสิ่งใดอีก
ตกกลางคืน เว่ยฉางอิ๋งหาโอกาสไปสอบถามนางหวง นางหวงยิ้มพลางว่า “ฮูหยินน้อยลองคิดดูนะเจ้าคะ คุณชายรองมีธิดาสามคนแต่กลับไร้บุตรชายแม้สักคน ต่อให้ลวี่เฉียวเป็นเพียงภรรยาน้อย แล้วคุณชายรองจะไม่ชอบนางได้หรือ? คุณชายรองชื่นชอบนางเสียจนคนทั้งบ้านเสิ่นต่างรู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับการครรภ์ของลวี่เฉียวมากเพียงใด… แม้แต่คุณชายของเราก็มิใช่ว่ายังถึงกับหน้าเสียยามรู้เรื่องลวี่เฉียวแท้งบุตรหรอกหรือเจ้าคะ?”
“ความจริงแล้วครรภ์ในเดือนที่ห้าก็นับว่าคงที่ดีแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เกิดเรื่อง ช้ากว่าก็นี้ก็ไม่เกิดเรื่อง แต่จักต้องมาเกิดเรื่องเอาตอนที่ฮูหยินน้อยเพิ่งจะเข้าบ้าน และฮูหยินน้อยรองก็ตามฮูหยินไปบ้านตระกูลซู” นางหวงยิ้มเย็นๆ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยรองมีบุตรสาวสองคน แม้จะบอกว่าจนยามนี้ยังไม่มีบุตรชาย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องยอมให้บุตรของอนุได้หน้าได้ตาไปเสียก่อนนี่เจ้าคะ? อย่างไรเสียคุณชายรองและฮูหยินน้อยรองก็ล้วนยังหนุ่มยังสาว! ผู้ใดจะบอกได้ว่าฮูหยินน้อยรองจะไม่อาจมีบุตรชายของตนได้เล่า?”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างตื่นตกใจว่า “แต่บุตรของอนุก็ยังคือบุตรของอนุวันยันค่ำ!”
“ฮูหยินน้อยอย่าได้นำกฎเกณฑ์ของบ้านเรามาใช้กับตระกูลเสิ่นเชียวนะเจ้าคะ” นางหวงส่ายหน้าแล้วว่า “แม้จะบอกว่าส่วนแบ่งต่างๆ ของบุตรบ้านใหญ่กับบุตรของอนุของตระกูลเสิ่นนั้นแตกต่างกัน ทั้งยังมิได้มองว่ามีฐานะทัดเทียมกัน ทว่าตำแหน่งประมุขตระกูลซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดกลับมิได้กำหนดว่าต้องเป็นบุตรบ้านใหญ่หรือเป็นบุตรของอนุ หากแต่ดูเพียงความสามารถเท่านั้น อย่างไรถิ่นฐานของตระกูลเสิ่นก็อยู่ซีเหลียง วันดีคืนดีก็ต้องคอยรบรากับพวกตี๋ หากประมุขไร้ความสามารถ คนทั้งตระกูลก็จะต้องพลอยลำบากกันไปหมด! เช่นนั้นแล้วฐานะของบุตรบ้านใหญ่ในตระกูลเสิ่นจึงห่างไกลกับตระกูลเว่ยของพวกเรายิ่ง! ตระกูลเว่ยของพวกเรานั้น นอกจากบุตรจาบ้านใหญ่แล้วก็จะไม่สามารถรับตำแหน่งประมุขได้ อย่างเช่นทางจิงผิงกง หรือนายท่านใหญ่ของพวกเรา… ทว่าตระกูลเสิ่นกลับไม่เหมือนกัน!”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ หากมีบุตรของอนุขึ้นมาสักคน วันหน้าเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตนก็จะต้องมีเรื่องยุ่งยากเพิ่มมา” นางหวงกล่าวจริงจังหนักหนาว่า “ไม่เพียงเท่านี้! ฮูหยินน้อยโปรดคิดดู คุณชายรองมีธิดาสามคนแต่กลับไม่มีบุตรชายสักคน ไม่ว่ามารดาของบุตรชายคนโตจะเป็นผู้ใด อย่างไรเขาก็ย่อมต้องถูกฝากความหวังไว้เป็นนักเป็นหนา เมื่อบุตรของอนุผู้นี้คลอดออกมาเมื่อใด คุณชายรองจักไม่อบรมสอนสั่งบุตรชายด้วยตนเองได้หรือ? ซึ่งบุตรที่จะมีในวันหน้าก็ไม่อาจได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว อย่างไรเสียคุณชายรองก็ค่อยๆ สูงวัยขึ้น ประการแรกนั้นกำลังแรงกายก็ตามไม่ทัน ประการที่สองเรื่องที่คุณชายรองต้องดูแลในวันหน้านั้นก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน โดยนามแล้วบุตรของอนุอาจจะสู้บุตรบ้านใหญ่ไม่ได้ ทว่าฐานะในใจของคุณชายรองนั้น ก็กลับไม่จำเป็นว่าจะสู้บุตรบ้านใหญ่ไม่ได้เสมอไป!”
“ปัญหาเช่นนี้…” เสียงของนางหวงเบาลงทันที “หากเป็นเรือนของเรา ข้าน้อยก็จักต้องเตือนฮูหยินน้อยให้ตัดรากถอนโคนเสียเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งพลันสะท้านขึ้นมาในใจ “หรือจะบอกว่า… พี่สะใภ้รอง… นาง…”
นางหวงกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยรองเพิ่งจะออกไป จากนั้นลวี่เฉียวก็เกิดเรื่อง…นางมิได้อยู่ในจวน ก็สามารถผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปได้! กอปรกับยามนี้แม่เฒ่าเติ้งก็ล้มป่วยหนัก และยังต้องให้นางซึ่งเป็นบุตรสาวตระกูลตวนมู่ไปไหว้วานให้คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ไปเชิญท่านหมอเทวดาจี้มา ต่อให้ฮูหยินกลับมาแล้วก็จักต้องช่วยนางพูด! ทั้งนางตวนมู่ก็มิใช่คนโง่ โอกาสที่ดีเช่นนี้แล้วจักปล่อยไปได้อย่างไร?”
“หรือว่าเรื่องที่พี่สะใภ้ใหญ่ต้องการจะพูดกับข้าในวันพรุ่งก็คือทางลวี่เฉียวนั้นได้พบบางสิ่ง?” เว่ยฉางอิ๋งอดจะพึมพำออกมาไม่ได้
นางหวงกล่าวว่า “ในเมื่อนางตวนมู่กล้าลงมือเช่นนี้ ก็จะต้องค่อนข้างมั่นใจว่าจะหาหลักฐานมัดตัวนางไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นเช่นนี้ ฮูหยินน้อยใหญ่ก็ควรจะให้คนไปรายงานฮูหยินที่จวนตระกูลซูในทันที เหตุใดจึงมาเชิญฮูหยินน้อยไปเป็นพยานอย่างเปิดเผยเพื่อสิ่งใด? ทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทุกคนล่วงรู้ว่า… การแก่งแย่งชิงดีในเรือนหลังของตระกูลเสิ่นลุกลามไปจนถึงผู้สืบสกุลเพียงคนเดียวของบ้านสองซึ่งยังมิทันลืมตาดูโลก หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ทุกคนล้วนต้องเสียหน้า ฮูหยินน้อยใหญ่จักไม่ทำเช่นนี้”
“เช่นนั้น…” เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญแล้วว่า “ท่านอาคิดว่า พี่สะใภ้ให้ข้าไปเป็นพยาน ที่จริงแล้วเป็นเรื่องใดกันแน่?”
นางหวงยิ้มแล้วว่า “นางตวนมู่ไม่ได้ทิ้งหลักฐานเอาไว้ ทว่าก็ไม่อาจยับยั้งบางคนที่รู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ ข้าน้อยคิดว่าคงเพราะความหวังของลวี่เฉียวสูญสลายจึงรู้สึกไม่ยินยอม และต้องการกัดนางตวนมู่ไม่ยอมปล่อย ทว่าตัวนางกลับไม่อยู่ที่จวน ฮูหยินน้อยใหญ่อดรนทนไม่ไหวและไม่ต้องการจะไปวุ่นวายกับเรื่องของบ้านสองเกินไปนัก จึงตัดสินใจเชิญฮูหยินน้อยไป เพื่อจะได้ช่วยกันบอกไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้พอผ่านๆ ไปเสียกระมังเจ้าคะ!”
เว่ยฉางอิ่งคิดอยู่เป็นนาน แล้วถามไปอีกว่า “เช่นนั้นแล้วหลังจากข้าไป?”
“ฮูหยินน้อยก็ดูว่าฮูหยินน้อยใหญ่ทำเช่นใด นางว่านมิใช่บอกแล้วหรือ? ว่าฮูหยินน้อยเพิ่งจะเข้าบ้านมา เรื่องครานี้ล้วนไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ฮูหยินน้อยใหญ่เป็นพี่สะใภ้แล้วเชิญให้ฮูหยินน้อยไป ฮูหยินน้อยก็ไปเถิดเจ้าค่ะ! ส่วนเรื่องว่าจะจัดการเรื่องราวเช่นใด ในเมื่อมีฮูหยินน้อยใหญ่ที่เป็นผู้ดูแลบ้านมาโดยตลอดอยู่ด้วย เช่นนั้นฮูหยินน้อยไยต้องเป็นกังวลเล่า?”
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเว่ยฉางอิ๋งไปก็ส่วนไป แต่ทุกเรื่องล้วนไม่เป็นคนตัดสินใจ ดีชั่วอย่างไรก็อาศัยว่าตนเพิ่งจะเข้าบ้านมา ทั้งยังมิได้เป็นคนดูแลบ้าน ทุกเรื่องล้วนผลักภาระให้นางหลิวไปปวดหัวเอง
เว่ยฉางอิ๋งจดจำคำกำชับกำชาของนางหวงเอาไว้ แล้วจึงเอ่ยเรื่องของเว่ยเซิ่งเซียน “ท่านอาว่า ข้ารับปากเรื่องนี้จะเป็นไรหรือไม่?”
“ให้ฮูหยินรองติดค้างน้ำใจสักหนก็มิได้มีสิ่งใดเจ้าค่ะ”
นางหวงกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “คนตระกูลซ่งที่คิดอยากได้ผลประโยชน์จากการยกลูกชายให้เป็นบุตรบุญธรรมเหล่านั้น เกี่ยวพันกับพวกเราเรื่องใด? อีกประการหนึ่งแม้ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ใกล้ชิดกับบุตรธิดาของอนุ ทว่าก็มิได้ชื่นชอบจะเห็นบุตรสาวของอนุถูกรังแก… เช่นนี้มิเท่ากับตบหน้าบ้านเราหรือ? ดีชั่วอย่างไรประมุขตระกูลซ่งก็คือท่านลุงแท้ๆ ของฮูหยินน้อย นี่เป็นเรื่องที่เพียงเขียนจดหมายไปก็สิ้นเรื่องแล้วเจ้าค่ะ… เช่นนั้นวันพรุ่งก็ให้คนนำจดหมายไปส่งที่บ้านซ่งและมอบให้แก่คุณหนูไจ้สุ่ยเป็นใช้ได้เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่านางหวงมิได้คัดค้านเรื่องนี้เว่ยฉางอิ๋งจึงวางใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว วันนี้ข้าพบว่าพี่หญิงใหญ่เย็นชากับข้ายิ่ง สายตาที่มองท่านอาก็ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย… นี่เป็นเพราะเหตุใด?”
“ก็ไม่มีสิ่งใดเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “ก่อนนี้คุณหนูหว่านไม่ใคร่ชอบข้าน้อย เคยคิดจะไล่ข้าน้อยไป แต่ข้าน้อยเป็นคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้อยู่ที่เมืองหลวง แล้วจะกล้าขัดคำฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไรเล่า? คงเพราะเหตุนี้จึงทำให้คุณหนูหว่านโกรธเคือง ดังนั้นเมื่อยามนี้มาเห็นข้าน้อยจึงรู้สึกไม่พอใจ กลายเป็นว่าพลอยทำให้ฮูหยินน้อยลำบากไปด้วย”
นางเอ่ยถึงแต่เพียงน้อยนิด แต่เพียงคิดก็รู้ได้ว่าสิ่งที่ทำให้เว่ยฉางหว่านโกรธเคืองจนถึงยามนี้ กระทั้งโกรธมาถึงเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นไข่มุกแห่งตระกูลเว่ยที่บ้านสองไม่กล้าล่วงเกินนั้น จักต้องเป็นเพราะนางเคยตกที่นั่งลำบากมาไม่น้อยด้วยฝีมือของนางหวง!
เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะพบหน้าลูกผู้พี่ผู้นี้เพียงหน ทั้งยังเพราะได้รับอิทธิพลจากแม่เฒ่าซ่ง นางจึงรู้สึกระแวดระวังตัวกับคนในบ้านสองทั้งหมด ที่เอ่ยถามไปหนนี้ก็เพียงเพราะรู้สึกสงสัยเท่านั้น แต่กลับมิได้รู้สึกเห็นใจเว่ยฉางหว่าน จึงยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ก็ไม่มีสิ่งใด วันนี้ที่ข้ากลับบ้านก็รู้สึกอยู่แล้วว่าไม่มีเรื่องใดจะสนทนากับท่านอาสะใภ้รอง และน้องเจ็ดก็เป็นคนช่างเจรจาอยู่แล้ว หากพี่หญิงใหญ่ก็ช่างเจรจาเช่นกัน ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะขอตัวออกมาอย่างไร?”
ทั้งสองคนสนทนากันอีกสองสามประโยค เว่ยฉางอิ๋งจึงกลับเข้าไปในห้อง เสิ่นจั้งเฟิงรออยู่ตั้งนานแล้ว เขาอาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนมาสวมชุดยาวสีเขียวอ่อนและนั่งเล่นหมากรุกอยู่ใต้แสงตะเกียงเพียงลำพัง เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งเข้ามา ก็ยกแขนเสื้อปัดหมากรุกให้กระจัดกระจาย แล้วกระเซ้าว่า “อิ๋งเอ๋อร์คุยอะไรกับท่านอาหวง? นานเพียงนี้จึงเพิ่งกลับมา ให้สามีรออยู่ตั้งนาน”
“ไม่บอกเจ้าหรอก” เว่ยฉางอิ๋งพึมพำ
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วเข้ามากอดนางเอาไว้
________________________________