ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 162-1 เดาผิดอีกแล้ว~~
ฮองเฮาพระราชทานสมรสด้วยพระองค์เอง จึงทำให้เรื่องของซ่งซีเยวี่ยและหลิวซีสวินถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว
เมื่อมาถึงขั้นนี้ เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่กล้าพูดคำไม่ดีใดอีก หากแต่กลับมาช่วย เว่ยเจิ้งอินปลอบใจเว่ยเซิ่งเซียนว่าให้ทำใจกว้างเข้าไว้ ไม่แน่ว่าเรื่องราวอาจไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่พวกนางคิดก็เป็นได้? จะอย่างไรซ่งซีเยวี่ยก็เป็นหลานตาของเว่ยฮ่วน หาก ตระกูลหลิวคิดจะกำจัดนางให้หลิวซีสวิน อย่างไรก็ต้องชั่งน้ำหนักให้มาก
แม้ปากของเว่ยเซิ่งเซียนจะพูดไปดังนั้น ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงบุตรสาวแท้ๆ แล้วจะให้ทำใจกว้างได้จริงๆ ที่ใด? เพราะถึงแม้ว่าตระกูลหลิวจะไม่ทำร้ายซ่งซีเยวี่ยถึงแก่ชีวิต ทว่าเมื่อบุตรสาวแต่งเข้าบ้านไปก็ต้องถูกบ้านฝั่งสามีรังเกียจ แล้วชีวิตของนางจะอยู่อย่างเป็นสุขหรือ?
ความทุกข์ใจนี้ทำให้นาง ‘กังวลจนล้มป่วย’ ไปเสียแล้ว หลังจากกลับมาไม่ถึงสองวันก็ถูกทำให้โมโหอีกหน… ก่อนนางออกเรือนก็ถูกนางตวนมู่ ฮูหยินรองตระกูลเว่ยซึ่งไม่ถูกกับนางอยู่แล้ว จงใจพาสะใภ้และบุตรสาวนำของกำนัลชิ้นงามมาแสดงความยินดีถึงประตูบ้าน
ในเมื่อเป็นพี่สามีและน้องสะใภ้ที่เคยมีความแค้นต่อกันมานานปี เมื่อนางตวนมู่มาแสดงความยินดีถึงบ้าน ย่อมไม่ได้มีเจตนาดี นางชมเขยซ่งซีเยวี่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า บอกว่านางเป็นดังดอกไม้งาม …ฟังเสียจนเว่ยเซิ่งเซียนเจ็บปวดใจเป็นนักหนา แล้วบอกอีกว่าฮองเฮาพระราชทานสมรสเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง นับเป็นเกียรติล้นฟ้าต่างๆ นานา ท้ายสุดก็พูดกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มมาคำหนึ่งว่า “ได้ยินว่าพี่ชายและหลิวจ้งเจ้าลูกผู้พี่ของคุณชายสิบหกตระกูลหลิวก็มาที่เมืองหลวงด้วยตนเองเพื่อเรื่องแต่งงานครานี้เชียว! เห็นได้ว่าตระกูลหลิวให้ความสำคัญกับคุณชายสิบหก ทั้งยังให้ความสำคัญกับซีเยวี่ยด้วย!”
คำพูดนี้เมื่อฟังเข้าในหูของเว่ยเซิ่งเซียน ก็มิใช่เป็นการบอกว่าทางเวยหย่วนโหวนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว….งานแต่งครานี้เป็นราชสำนักพระราชทานมาให้ หากอยากถอนหมั้นแล้วจะเป็นไปได้อย่างไร? ไม่อาจถอนหมั้นทั้งไม่อยากให้หลิวซีสวินแต่งกับภรรยาที่ไม่มีกำลังสนับสนุนเขาเพียงพอ มีแปดหรือเก้าในสิบส่วนที่เวยหย่วนโหวจะมาลงมือเอากับตัวซ่งซีเยวี่ย ยิ่งไปกว่านั้นก็ต้องลงมือในเร็ววันด้วย
อาศัยจังหวะที่ยังไม่ถึงพิธีหมั้นหมาย ซ่งซีเยวี่ยก็ยังไม่นับว่าเป็นคนในบ้านฝั่งสามี ต้องรีบจัดการคนเสีย เช่นนี้จึงสามารถรับประกันได้ว่า เมื่อหลิวซีสวินแต่งภรรยาอีกครั้งแล้วฝ่ายหญิงก็ยังคงเป็นภรรยาเอกคนแรก
ครั้งเว่ยเซิ่งเซียนยังเป็นคุณหนูอยู่ก็ไม่ถูกกับน้องสะใภ้รองผู้นี้ เวลานี้มาถูก นางตวนมู่จี้ใจดำ ทำให้อารมณ์เดือดพล่านขึ้นมา คืนวันเดียวกันก็ล้มป่วยเสียแล้ว
ในขณะที่ซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนต่างเป็นกังวลว่าหลังจาก ซ่งซีเยวี่ยแต่งเข้าบ้านไปแล้วก็จะถูกคนในบ้านสามีชิงชังรังเกียจ และไม่แน่ว่ายังอาจลอบวางยาพิษตน ทั้งต้องมาเป็นกังวลเรื่องอาการป่วยของมารดา และปวดใจที่น้าสะใภ้รองมาคอยซ้ำเติมอีก สองพี่น้องจึงแทบจะผ่ายผอมลงทุกวัน
เว่ยฉางอิ๋งส่งคนไปส่งอาหารการกินให้ลูกผู้น้องทั้งสอง และได้ฟังเรื่องที่คนไปส่งอาหารกลับมาเล่าดังนี้ก็รู้สึกร้อนใจยิ่งนัก กล่าวว่า “คนทั้งบ้านท่านอารองไม่ชอบข้าก็พอจะเข้าใจได้ แล้วท่านอาหญิงใหญ่ไปขวางทางพวกเขาเรื่องใด? แม้ก่อนนี้ท่านอาหญิงใหญ่จะเคยมีความแค้นกับอาสะใภ้รอง แต่ลูกผู้น้องทั้งสองคนเคยไปล่วงเกินน้าสะใภ้ที่ใด? เพื่อความแค้นเคืองเก่าๆ เพียงน้อยนิด แล้วมายินดีในความเคราะห์ร้ายของเด็กรุ่นหลานเช่นนี้ หามีความเป็นผู้ใหญ่แม้น้อยนิดไม่!”
นางหวงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “บางทีอาจเพราะจนตรอกแล้วกระมังเจ้าคะ!”
คราวนี้เว่ยฉางอิ๋งยังไม่เข้าใจความหมายของนาง จึงเอ่ยไปอย่างชิงชังว่า “ท่านอาพูดถูกต้องแล้ว นางไปก่อความแค้นไว้ทั่วไปหมด ไม่ช้าก็เร็วต้องจนตรอกเข้าสักวัน!”
นางหวงได้เพียงแต่หัวเราะ
เรื่องนี้จึงหยุดไว้เท่านี้เป็นการชั่วคราว
เมื่อถึงวันส่งท้ายปี ครรภ์ของเว่ยฉางอิ๋งก็คงที่แล้ว
ด้วยเหตุที่ในวันอภิเษกขององค์รัชทายาท ฮูหยินซูเคยมาขอลาให้นางหนหนึ่งแล้ว ดังนั้นในงานเลี้ยงพระราชทานวันส่งท้ายปีหากยังคงลาต่อไปอีก ก็จะดูว่านางประคบประหงมสะใภ้เกินไป …บ้านอื่นก็มิใช่ว่าไม่มีสะใภ้หรือบุตรสาวที่กำลังตั้งครรภ์เช่นกัน ทว่าก็ไม่มีผู้ใดที่บอกว่านับแต่ตั้งท้องก็ไม่ย่างกรายเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงใดๆ เลย
ฉะนั้น ในครานี้เว่ยฉางอิ๋งจึงจำต้องแบกท้องโตๆ ที่มองเห็นได้ชัดเจนแล้ว ตื่นแต่เช้ามาเปลี่ยนเสื้อแต่งหน้าทำผมพร้อมกับแม่สามีและพี่สะใภ้ เพื่อเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงแต่เช้ามืดและกลับมาจนมืดค่ำ
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางต้องลำบากตลอดทางที่ไป หลังจากลงเกี้ยวฮูหยินซูก็ถูกสตรีชั้นสูงที่อยู่ในรุ่นเดียวกันสองสามคนดึงไปสนทนาด้วยเช่นเคย จากนั้นก็ให้หม่านโหลวมาสอบถาม แล้วให้นางหวงจับชีพจรนางตรงนั้นอีกครั้งจึงได้วางใจ …ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเมื่อมาถึงในงานเลี้ยง เพราะครานี้มีนางหวงตามมาด้วย ฮูหยินซูรู้ว่าท่านอาที่รู้วิชาแพทย์ต้องคอยเตือนข้อห้ามระหว่างตั้งครรภ์ให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง จึงไปสนทนาแย้มยิ้มกับบรรดาฮูหยินในวัยเดียวกันอย่างวางใจ
หลังจากสนทนากันอยู่เป็นนาน นางหันมามองที่โต๊ะของสะใภ้หนหนึ่ง ทันใดนั้นเองนางก็ไม่อาจวางใจได้แล้ว …นั่นเพราะเหตุใดคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เว่ยฉางอิ๋งด้วยท่าทีไม่พอใจผู้นั้น…จึงเป็น…องค์หญิงอันจี๋ไปได้?!
ฮูหยินซูกำลังถือจอกสุราลิ้นจี่เขียวอยู่เกือบจะทำสุรารดตัวเอง พลันสะท้านขึ้นมาทั้งตัวรู้สึกว่าไม่เข้าทีแล้ว องค์หญิงพระองค์นี้ขึ้นชื่อเรื่องดุร้ายนัก! เวลานี้สะใภ้ของตนผู้นี้กำลังท้องโต นับเป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด สำคัญที่สุด ทนรับการดึงๆ ทึ้งๆ ไม่ได้มากที่สุด แล้วจะให้องค์หญิงอันจี๋เข้าใกล้ตัวได้อย่างไร!?
นางหันกลับมาอย่างทั้งตื่นตระหนกทั้งขัดเคือง หันไปมองตรงที่นั่งเยื้องๆ ทางด้านหลังของตน …ปรากฏว่าเสิ่นจั้งหนิงก็ดันไม่รู้ว่าวิ่งไปเสียที่ไหนแล้ว! เดิมทีคิดจะให้บุตรสาวคนเล็กเสียสละตนเองสักหน่อย โดยการเข้าไปพาองค์หญิงอันจี๋ออกไป ไม่คิดว่าบุตรสาวคนเล็กผู้นี้จะเป็นเมื่อคราก่อน …พอเริ่มงานเลี้ยงได้ไม่นานก็วิ่งออกไปไม่เห็นแม้แต่เงา!
ฮูหยินซูขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่พักหนึ่ง …นางคิดจะเข้าไปพาองค์หญิงอันจี๋ ออกไปด้วยตนเอง แต่ก็เป็นกังวลว่าจะทำให้องค์หญิงอันจี๋มองออกว่าตนไม่เคารพนาง …เอ่อ…หรือจะบอกว่ารังเกียจและต้องระวังนางอย่างยิ่งก็ได้ องค์หญิงพระองค์นี้สัมผัสถึงเรื่องเหล่านี้ได้ไวมาก อย่าได้กลายเป็นว่าดีๆ อยู่ไม่มีเรื่องใด พอตนเองเข้าไปก็ทำให้องค์หญิงบัลดาลโทสะ แล้วอาละวาดจนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเสียเล่า!
ในขณะที่นางกำลังคิดหน้าคิดหลังอยู่นั้น ฮูหยินซูจึงได้แต่แอบบอกกับหม่านโหลวว่า “เจ้าไปหาฉางอิ๋ง บอกวาข้านึกขึ้นได้ว่าสุราหลินจี่เขียวที่เพิ่งยกออกมานั้น อย่าให้นางดื่ม” แล้วกดเสียงลงต่ำว่า “คอยสังเกตดูว่า องค์หญิงอันจี๋มาหาฉางอิ๋งด้วยเรื่องใด?”
หม่านโหลวรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ทว่ายังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็ถูกองค์หญิงอันจี๋ร้องห้ามเสียแล้ว “ข้ามีเรื่องต้องสนทนากับฮูหยินเว่ย พวกเจ้าอย่ามารบกวน!”
“…หม่อมฉันรับพระบัญชาเพคะ!” หม่านโหลวกลับไปรายงานที่ข้างกายฮูหยินซูอย่างจนใจ ฮูหยินซูหันกลับไปมองอีกหน กลับเห็นว่าแม้แต่คนของเว่ยฉางอิ๋งเอง เช่นพวกนางหวงก็ยังถูกให้มาคอยอยู่ข้างๆ ยิ่งเป็นกังวลนัก แล้วสั่งหม่านโหลวว่า “เจ้าออกไปดูสักหน่อย ไปตามตัวไอ้เจ้าตัวดีชอบหาเรื่องนั่นกลับมา!”
———————————-