ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 165 พายุหิมะ
เดือนหนึ่งปีนี้ ในเมืองหลวงมีงานศพของชนชั้นสูงติดต่อกันสองงาน ทำให้บรรยากาศการเฉลิมฉลองต้องลดน้อยลงไปมาก
เว่ยเซิ่งอี๋มาเสียภรรยาไปในวัยกลางคนก็ยังแล้วไป เพราะอย่างไรก็เป็นสามัญชน ทำพิธีตามธรรมเนียนเป็นพอแล้ว ทว่าพิธีพระศพของพระมารดาจี้อ๋องกลับทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงต้องตกอยู่ในบรรยากาศที่อึมครึม
หลังจากกลับจากงานถวายอาลัยที่จวนจี้อ๋อง ฮูหยินซูเข้ามาในเรือนหลัง สะบัดมือให้บ่าวซ้ายขวาออกไป เหลือเพียงแม่นมเถาไว้รับใช้นาง …เพิ่งจะปิดประตู ฮูหยินซูก็ตบโต๊ะไปหนักๆ อย่างชิงชังหนหนึ่ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางว่า “นังสารเลวเติ้ง! ถึงกลับกล้าข่มเหงตระกูลเสิ่นของข้าเพียงนี้!”
แม่นมเถาปลอบโยนว่า “ฮูหยินโปรดระงับโทสะสักหน่อยเจ้าค่ะ จี้อ๋องเป็นคนกตัญญูนัก เวลานี้ก็ถูกปิดหูปิดตาเรื่องนี้เอาไว้ หากท่านอ๋องทรงทราบว่ามีเงื่อนงำ ก็จะไม่ถูกนางเติ้งใช้ประโยชน์เอารึเจ้าคะ?”
ฮูหยินซูยิ้มเยาะกล่าวว่า “เจ้าจะไปรู้เรื่องใด? จี้อ๋องเชื่อฟังพระมารดาจี้อ๋องเสมอมา ครั้งนั้นเมื่อมีคนในบังคับถวายสนมงามสองนางมาให้ พวกนางก็ล่อหลอกเสียจนจี้อ๋องเมินเชยกับซิ่วเอ๋อร์ กระทั่งฟังคำนังอนุไม่ได้ความสองคนนั่น หันมาเคลือบแคลงว่าซิ่วเอ๋อร์ไม่ดีงาม! แต่เพราะคำสอนสั่งอย่างรุนแรงของพระมารดาท่านอ๋องก็ทำให้จี้อ๋องยกอนุทั้งสองให้ผู้อื่นไปเสีย! แม้ข้าจะรู้สึกขอบพระทับพระมารดาท่านอ๋องในเรื่องนี้ ทว่าภายหลังเมื่อซิ่วเอ๋อร์กลับเมืองหลวงมาเยี่ยมบ้าน ข้าก็ตักเตือนนางเป็นพิเศษว่าให้ระวังตัว …ด้วยพระมารดาท่านอ๋องมีอิทธพลกับสามีนาง…มากมายนัก!”
“เจ้าลองคิดดูสิว่าเวลานี้พระมารดาท่านอ๋อง ‘ป่วยจนสิ้นพระชนม์’ ทั้งยังมาสิ้นพระชนม์ไปอย่างกะทันหันและพอดิบพอดีเพียงนี้ นอกจากจะถูกนางเติ้งกล่อมจนใจอ่อน จึงตัดสินใจใช้การตายของตนเพื่อแลกกับโอกาสให้พระโอรสได้อยู่ในเมืองหลวง เพื่อมาแทนที่องค์รัชทายาท หาไม่แล้วจะเป็นเรื่องใดไปได้อีก?!” ฮูหยินซูขบริมฝีปาก กล่าวว่า “ในเมื่อพระมารดาท่านอ๋องตัดสินใจเช่นนี้ แม้ตอนยังมีพระชนม์ชีพอยู่จะกังวลว่าจี้อ๋องจะไม่ยินยอมจึงมิได้บอกกับจี้อ๋อง แต่จะไม่ได้ทิ้งจดหมายหรือสั่งเสียกับจี้อ๋องว่าอย่าให้น้ำใจนี้ของนางต้องเสียเปล่าหรอกหรือ?”
“พระราชโอรสของฮ่องเต้มีมากมายนัก พระมารดาขององค์รัชทายาทก็เป็นถึง ฮองเฮา ทั้งมีองค์หญิงชิงซิน พระขนิษฐาแท้ๆ ที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ยิ่ง” ฮูหยินซูยิ้มหยัน กล่าวว่า “แล้วจี้อ๋องเล่า? นับแต่พระชันษาได้สิบหกปีก็เสด็จไปอยู่ที่แคว้นศักดินากับพระมารดาแล้ว แม้แต่โอกาสจะกลับที่เมืองหลวงปีละครั้งก็ยังไม่มี! อาศัยเพียงวาจาสวยหรูของนางเติ้ง แม่ลูกคู่นี้มันช่าง…โง่เง่าเสียจริง!”
แม่นมเถาไม่รู้เรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงมารายงานกับเสิ่นเซวียน จึงหลงนึกไปว่าฮูหยินซูแค่เพียงเป็นห่วงว่าบุตรเขยจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องการช่วงชิงบัลลังก์ ถึงยามนั้นนอกจากจะทำให้คุณหนูรองเสิ่นจั้งซิ่วต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย ไม่แน่ว่าแม้แต่ตระกูลเสิ่นเองก็ยังต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงเสนอความคิดว่า “หรือว่าฮูหยินลองหาโอกาสไปบอกกล่าวกับคุณหนูรองสักหน่อย ให้คุณหนูรองไปบอกกล่าวกับจี้อ๋องเจ้าคะ?”
“ตำแหน่งนั้นผู้ใดจักไม่ต้องการ? ต่อให้พระชายาจี้อ๋องไปบอกกับจี้อ๋อง ก็เกรงว่าจี้อ๋องจะไม่รับฟังด้วยซ้ำ” ในเวลาเดียวกัน ในห้องหนังสือที่เรือนหน้า เสิ่นเซวียนหรี่ตาลง ค่อยๆ ลูบเครา ฟังการหารือของที่เหล่าปรึกษาของเขา
คนที่พูดคำนี้เป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าๆ ใบหน้าหล่อเหล่ารูปร่างสูงใหญ่ ดวงตามีแววแห่งความหยามเหยียดไม่ยำเกรงผู้ใด ซึ่งก็คือที่ปรึกษาที่เสิ่นจั้งเฟิงไปทาบทามมาด้วยตนเอง…เหนียนเซิงย้าว เขาค่อยๆ ใช้ฝาถ้วยชากดใบชาเอาไว้ กล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นชายชาตรีลงมือทำงาน จะปล่อยให้สตรีในเรือนหลังมาบงการนั่นนี่ได้หรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการใหญ่เช่นนี้! ดังนั้นข้าน้อยคิดว่า แม้จะบอกกล่าวเรื่องนี้กับพระชายาจี้อ๋องก็ไม่ได้ทำให้สิ่งใดดีขึ้น ทั้งไม่แน่ว่าจะยิ่งทำให้เรื่องแพร่งพรายออกไปง่ายขึ้น มิสู้ไม่พูดดีกว่า!”
“คำนี้ของเล่อมู่ผิดแล้ว” ที่ปรึกษาสูงวัยผู้หนึ่งกลับส่ายหน้าคัดค้านความเห็นของเขา “สนมเอกเติ้งก็มิใช่สตรีรึ? แต่เรื่องนี้กลับมีต้นเหตุมาจากสนมเอก! ท่านเล่อมู่อาจประเมินความสามารถของสตรีต่ำเกินไป? ข้าน้อยกลับเสนอว่าควรขอให้พระชายาจี้อ๋องไปเกลี่ยกล่อมให้จี้อ๋องถอนตัวจากเรื่องนี้ หากจี้อ๋องยังยืนกรานดังเดิม ค่อยมาวางแผนต่อ!”
ความคิดเห็นของทั้งสองคนสวนทางกัน เสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วที่กำลังรับฟังอยู่กลับมิได้เอ่ยคำใด ที่ปรึกษาคนอื่นๆ หารือกันรอบหนึ่ง บางคนสนับสนุนเหนียนเซิงย้าว บางคนสนับสนุนที่ปรึกษาสูงวัย ในเวลานั้นมีคนหนึ่งซึ่งสนับสนุนที่ปรึกษาสูงวัยออกมาพูด “พระชายาจี้อ๋องเป็นถึงบุตรสาวบ้านใหญ่ซึ่งเป็นที่รักของท่านประมุข จี้อ๋องก็เป็นเขยของท่านประมุข จี้อ๋องเคารพท่านประมุขอย่างยิ่งเสมอมา แม้จะถูก สนมเอกเติ้งหลอกล่อไปชั่วขณะ ทว่า…”
“ทว่าพระมารดาจี้อ๋องก็สิ้นพระชนม์แล้ว” เหนียนเซิงย้าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “หากมิใช่เพราะหลงเชื่อสนมเอกเติ้งอย่างหมดจิตหมดใจ พระมารดาจี้อ๋องไยจึงละทิ้งตำแหน่งพระมารดาท่านอ๋องที่มีอยู่ดีๆ แล้วกลับมาสิ้นพระชนม์ในเมืองหลวงที่กำลังครึกครื้นในวันเฉลิมฉลองปีใหม่เช่นนี้?”
ก่อนนี้คนผู้นั้นไม่ยอม จึงโต้แย้งไปว่า “จี้อ๋องไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้ ต่อให้สนมเอกพูดจาเสกสรรแคล่วคล่องอีกเพียงใด รอจนจี้อ๋องตั้งสติได้แล้ว ย่อมต้องเกลียดชังสนมเอก! ถึงยามนั้นเมื่อนึกถึงความแค้นของมารดา ก็จะมีแต่ชิงชังสนมเอกที่พูดล่อหลอกให้พระมารดาท่านอ๋องหลงเชื่อเท่านั้น”
เหนียนเซิงย้าวแย้มยิ้ม เอ่ยว่า “นับแต่โบราณมา ในทุกครั้งล้วนเป็นพระโอรสที่ฮ่องเต้โปรดจึงได้สืบทอดบัลลังก์เช่นนั้นหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ว่ากันว่าขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก…ในสายตาของจี้อ๋อง พระมารดาจี้อ๋องถึงกับสละพระชนม์ชีพเพื่อปูทางให้แก่เขา! หากท่านเป็นบุตรของผู้ใด แล้วมารดาเสียสละเพื่อท่านเพียงนี้ แล้วท่านจะทำให้ความต้องการของมารดาสูญเปล่าได้หรือ? เวลานี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านยังจะรับฟังคำเตือนของบ้านพ่อตาหรือ?”
คนผู้นั้นพูดไม่ออก สหายของเขาก็ออกมาพูดอีกว่า “ความเห็นของเล่อมู่ คือมิให้บอกกับพระชายาจี้อ๋อง? เช่นนั้นพวกเราควรทำเช่นใดเล่า?”
“ท่านประมุขควรจะล้มป่วยในทันใดจึงจะดี” เหนียนเซิงย้าวเอ่ยเรียบๆ
คำพูดนี้ทำเอาทุกคนล้วนงงงัน เสิ่นเซวียนเองก็หยุดลูบเครา กล่าวว่า “ขอบังอาจถามท่านเหนียนว่าคำนี้หมายความอย่างไร?”
“สนมเอกเติ้งอาศัยเพียงแค่ตนเอง ย่อมไม่อาจเกลี่ยกล่อมจี้อ๋องแม่ลูกได้…” เหนียนเซิงย้าวยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งพลางว่า “แต่ต้องอาศัยชื่อเสียงของท่านประมุขด้วย หากเวลานี้ท่านประมุขล้มป่วย ถ้าเกิดจี้อ๋องมาที่จวนเพื่อขอให้ท่านประมุขช่วยเหลือ …ไม่ว่าอย่างไรจี้อ๋องก็เป็นสามีของบุตรสาวอันเป็นที่รักของท่านประมุข หากท่านประมุขรับคำ ก็จะผิดต่อคุณธรรมของข้าในพระองค์ หากปฏิเสธ ก็เกรงว่าจะทำลายความสัมพันธ์ของพ่อตาและบุตรเขย และทำให้พระชายาจี้อ๋องต้องลำบากใจที่ต้องอยู่ระหว่างกลางของบ้านฝั่งสามีและบ้านฝั่งมารดา ฉะนั้น มิสู้แกล้งป่วยเสียก่อนที่จี้อ๋องจะมาหา!”
ที่ปรึกษาทุกคนหันมาสบตากัน และต่างมีสีหน้าค่อนข้างห่อเหี่ยวใจ
ภาพที่เห็นดังนี้ เสิ่นเซวียนพี่น้องกลับไม่รู้สึกประหลาดใจ เดิมทีเหนียนเซิงย้าวเป็นคนที่เสิ่นจั้งเฟิงหามา ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากเสิ่นจั้งเฟิง ครานี้เพราะวางแผนทำการใหญ่ …และการใหญ่นี้ก็เป็นเสิ่นจั้งเฟิงเป็นคนต้นคิด กอปรกับเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงไปจากเมืองหลวง ก็ให้เหนียนเซิงย้าวอยู่เป็นผู้ช่วยของบิดาโดยเฉพาะ
แรกเริ่มนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นเซวียน เสิ่นโจ้วหรือว่าที่ปรึกษาของพวกเขาล้วนไม่ใคร่ให้ความสำคัญกับเหนียนเซิงย้าวที่ยังหนุ่ม ปรากฏว่าตลอดเวลามานี้ คนผู้นี้เป็นคนหลักแหลมนัก นอกจากทำให้ที่ปรึกษาทั้งหมดไม่กล้าดูแคลนแล้ว กระทั่งเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วก็ยิ่งให้ความสำคัญกับเขามากขึ้น
ความจริงแล้วเรื่องที่หารือกันในวันนี้ก็คือ ก่อนหน้านี้ที่ปรึกษาสองคนนั้นเสนอว่าให้เสิ่นจั้งซิ่วไปเกลี่ยกล่อมจี้อ๋อง ซึ่งที่แท้นั้นพวกเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมดว่าต้องทำเช่นนี้ ประการสำคัญก็คือได้ยินว่านางเป็นบุตรสาวที่เสิ่นเซวียนรักเป็นอย่างยิ่ง จึงคิดจะทำให้เขาพึ่งพอใจ
ปรากฏว่าเหนียนเซิงย้าวกลับยืนกรานหนักแน่นว่าไม่ให้บอก …ทุกคนยังนึกว่าเขาไม่กลัวจะไปล่วงเกินเสิ่นจั้งซิ่ว และไม่กลัวว่าวันหน้าเสิ่นเซวียนจะต้องเสียใจด้วยเรื่องของบุตรสาว แล้วจะมาพาลโกธรเขาเอา ไม่นึกว่าเมื่อเขาเปลี่ยนมาเอ่ยถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เพียงพิจารณาอย่างรอบคอบรัดกุด กลับเป็นการคำนึงถึงตัวเสิ่นจั้งซิ่วขึ้นมาด้วย
ที่ปรึกษาสองสามคนของเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้ว ล้วนถูกเขาชิงหน้าตาไปหมด ยามอยู่ต่อหน้านายเช่นนี้จึงอดจะวางตัวลำบากไม่ได้ แม้เสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วจะชื่นชมที่เสิ่นจั้งเฟิงไปหาคนมีความสามารถมาได้ ทว่าความจริงแล้ว เหนียนเซิงย้าวก็ไม่ควรข่มหน้าข่มตาที่ปรึกษาคนอื่นไปจนหมด เพราะอย่างไรเขาก็เป็นคนของเสิ่นจั้งเฟิง ดังนี้แล้วเมื่อชมเชยเหนียนเซิงย้าวไปคราวหนึ่ง ก็ขาดเสียมิได้ที่ต้องหันมาปลอบคนอื่นๆ ด้วย…
ซึ่งแน่นอนว่า เสิ่นเซวียนย่อมต้องเขียนเรื่องผลงานของเหนียนเซิงย้าวเอาไว้ในจดหมายอย่าละเอียดถี่ยิบ และสั่งคนขี่ม้าเร็วนำไปส่งที่ซีเหลียงเพื่อรายงานให้เสิ่นจั้งเฟิงรู้
เวลานี้เมืองหลวงกำลังมีหิมะตกหนัก แต่ซีเหลียงกลับมีพายุหิมะตกหนาสามฉื่อมาตั้งนานแล้ว
เสิ่นจั้งเฟิงสวมเสื้อผ้านวมตัวใหญ่ มือซ้ายจับขลุมจูงม้า มือขวาถือดาบ จูงม้าเดินไปท่ามกลางหิมะหนาสูงถึงเข่าอย่างยากลำบาก บนหลังม้าบรรทุกแหลนของเขา ด้วยเหตุนี้แม้จะไม่มีคนขี่ แต่ในขนของมันก็ยังมีเหงื่อออก ยามลมหนาวพัดมา เหงื่อของมันก็จับตัวจนเป็นก้อนน้ำแข็ง และยิ่งทำให้เหน็ดเหนื่อยเข้าไปอีก
ดังนั้นเมื่อเดินไปสักพักหนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงก็ต้องคลายเชือกขลุมจูง แล้วเดินมาที่ข้างลำตัวม้าเพื่อมาปัดเกล็ดน้ำแข็งบนตัวของมันออก แม้ลมแรงจะพัดหิมะจนแทบปกคลุมทั้งใบหน้าของเขา เหลือให้เห็นเพียงดวงตาคมกริบดังตาเหยี่ยวคู่นั้น ทว่าเขาก็ยังคงกวาดตาไปทั้งซ้ายขวาอย่างระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
ความจริงแล้วเมื่อมองออกไปไกลๆ บนพื้นหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา นอกจากนานๆ ครั้งจะมีหญ้าแห้งๆ โผล่พ้นเนินหิมะขึ้นมาและถูกสัตว์ตัวเล็กที่ถูกความหิวโหยทำให้ทุกข์ทรมานจนไม่อาจไม่เสี่ยงภัยมุดจากหิมะออกมาหาอาหารแล้ว ก็มีพวกเขาหลายสิบคนที่เดินทางมากับม้า ร้อยเหล็กปากม้าเชื่อมต่อกัน ใช้ผ้าหุ้มเกือกมาเอาไว้ และเดินทางไปอย่างเงียบงัน
“ยังอีกนานเท่าใดจึงจะถึงตำบลตงเหอ?” เขาสังเกตได้ว่าแรงกายของทั้งตนเองและพวกพ้องถดถอยลงไปไม่น้อย เพราะแม้ตนเองจะเดินอยู่ข้างหน้าสุดของขบวน ก็ยังได้ยินเสียงหอบของคนที่อยู่ตรงกลางขบวนได้ และที่แห่งนี้ก็ยังเป็นเขตแดนระหว่างต้าเว่ยและชิวตี๋ ต่อให้เป็นช่วงเวลาที่หิมะเกาะท่วมธนูและดาบ[1] ทั้งชาวเว่ยและชาวตี๋ก็ยังลาดตระเวนมาอยู่ในละแวกนี้ หาได้มีความปลอดภัยไม่ เสิ่นจั้งเฟิงใคร่ครวญสักพัก ยกมือขึ้นบอกให้หยุดขบวน แล้วสั่งให้ทุกคนแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งนั่งลงพักบนพื้น อีกกลุ่มหนึ่งคอยเฝ้าระวัง
เสิ่นเตี๋ยวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากกลางขบวน นำผ้าสักหลาดหนาสีทึบมาปูบนพื้นหิมะเพื่อให้เสิ่นจั้งเฟิงนั่งพัก ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่ได้นั่งลงบนผ้ารองนั่ง หากแต่ไปหยิบเอาแผนที่ผืนหนึ่งมาจากหลังม้า แผ่ออกบนผ้าสักหลาดนั้น แล้วเรียกคนนำทางที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาสอบถาม
คนนำทางผู้นั้นมองแผนที่หนหนึ่งแล้วใช้หมึกสีแดงวงรอบตำบล หมู่บ้าน เขตปกครองเล็กๆ และเมืองต่างๆ ไว้เป็นสัญลักษณ์ จากนั้นก็หันเหสายตากลับมา เอ่ยอย่างเคารพว่า “เรียนท่านนายกอง คาดว่าอีกไม่ไกลแล้วขอรับ ด้วยความเร็วในการเดินทางของเรา ก่อนฟ้ามืดจะต้องไปถึงแน่นอนขอรับ!”
เสิ่นจั้งเฟิงคล้ายมีท่าทีโล่งใจ ทางหนึ่งเก็บแผนที่กลับ อีกทางหนึ่งก็เอ่ยอย่างพึงพอใจว่า “คำสั่งกองทัพยิ่งใหญ่ดังขุนเขา! ท่านแม่ทัพสั่งให้ข้าเร่งไปให้ถึงตำบลตงเหอก่อนวันพรุ่ง ไม่นึกว่าแม้มีหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวันจนทำให้การเดินทางต้องล่าช้า แต่โชคดีที่ท่านคุ้นเคยเส้นทาง รู้จักทางลัดสายเล็กเส้นนี้! ยามนี้ข้าก็วางใจแล้ว!”
คนนำทางยิ้มพลางเอ่ยเป็นนัยว่า “ท่านนายกองไยต้องกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้? มีข้าน้อยอยู่ ต่อให้ท่านแม่ทัพต้องการให้นั้นไปถึงตำบลตงเหอในเวลานี้ ข้าน้อยก็สามารถจัดการให้ท่านนายกองได้!”
“….” เสิ่นจั้งเฟิงไม่คิดว่าชาวบ้านผู้นี้เกิดในตระกูลคนนำทาง แต่กลับเอ่ยวาจากำแหงเพียงนี้ จึงมองเขาด้วยสายตาตกตะลึงหนหนึ่ง แล้วหันมาที่เสิ่นเตี๋ยที่เดิมทีเป็นเด็กรับใช้ของตน แต่เวลานี้รับตำแหน่งเป็นองครักษ์ประจำตัว กำลังจะพูด ก็กลับได้ยินคนนำทางผู้นั้นสแยะยิ้มหัวเราะ ร้องเสียงดังขึ้นว่า “เหล่าผู้กล้าของท่านข่านมู่ซิวเอ่อร์ ข้าพาบุตรชายที่ล้ำค่าที่สุดของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงมาให้ท่านที่นี่แล้ว ยังไม่ลงมืออีกหรือ?”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเขา ก็เห็นว่าบนพื้นหิมะไม่ห่างออกไป พลันมีเกล็ดน้ำแข็งจำนวนมากกระจายตัวขึ้นมา!
ชาวชิวตี๋กลุ่มหนึ่งสวมหมวกขาว คลุมตัวด้วยผ้าคลุมขาว สวมรองเท้าขาว และเอาหิมะคลุมบนตัวอีกชั้นหนึ่ง พากันหัวเราะเสียงลั่นพลางสะบัดหิมะให้หลุดออกจากตัว เผยให้เห็นคันธนูในมือที่ง้างเตรียมเอาไว้นานแล้ว เล็งมาทางเสิ่นจั้งเฟิงที่ห่างออกไปไม่ถึงสิบสองเก้า แล้วยิ่งธนูออกมาพร้อมกัน เมื่อลูกธนูพุ่งออกจากคัน ก็ทิ้งคันธนูในทันใด แต่ละคนพลิกมือไปดึงเอาดาบใบกว้างที่เอวและที่หลังออกมาก ส่งเสียงโห่ร้องและพุ่งเข้ามาโรมรัน!
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉะนั้นแล้ว ตามที่คนนำทางคำนวณเอาไว้ว่าพวกของเสิ่นจั้งเฟิงต้องเดินเท้าบนพื้นหิมะมาเป็นเวลานาน เวลานี้ก็แทบจะเป็นตะเกียงที่หมดน้ำมันเต็มทน ต่อให้อาศัยความสามารถของตัวเสิ่นจั้งเฟิงเอง และทหารม้ารอบตัวหลายสิบนายซึ่งพวกที่แข็งแกร่งในจำนวนคนที่แข็งแกร่ง เวลานี้ก็จะไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานได้สักกี่มากน้อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออาศัยพื้นหิมะและเกล็ดหิมะที่พัดมาตลอดเวลา พวกตี๋ซุ่มตัวอยู่ใกล้เพียงนี้ พวกของเสิ่นจั้งเฟิงย่อมไม่มีโอกาสตั้งตัวได้สักเท่าใด… ไม่ว่าจะมองอย่างไร มีความเป็นไปได้เก้าในสิบส่วนว่าการลอบสังหารนี้ต้องสำเร็จ
เมื่อมองเห็นลูกธนูของพวกตี๋พุ่งออกมาดังสายฝน คนนำทางที่หลบไปข้างทางเสียตั้งนานแล้ว ก็คล้ายว่าจะสามารถตั้งตารอให้การรบหนนี้จบสิ้นลงไวๆ ส่วนตนเองก็ตามพวกตี๋ไปที่กระโจมอ๋องของข่านมู่ซิวเอ่อร์เพื่อรับรางวัล วันข้างหน้าจะได้เสพสุขกับความมั่งคั่งอย่างไม่มีวันจบสิ้นไปชั่วชีวิตได้แล้ว!
_______________________
[1] หิมะท่วมธนูและดาบ เป็นการพรรณนาถึงความยากลำบากในการเดินทัพท่ามกลางหิมะที่ตกอย่างหนัก