ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 166-2 เด็กหนุ่มชาวตี๋
ทั้งสองคนตะโกนโต้แย้งกันอย่างหนัก ที่สุดก็มีพวกตี๋คนหนึ่งทนไม่ไหว ร้องเรียกพวกพ้องให้ช่วยตนรับมือกับทหารเว่ย ตนเองกระโดดออกจากวงต่อสู้ เอาปลายดาบชี้ไปที่เด็กหนุ่มชาวตี๋ผู้นั้น ตะโกนด่าทออย่างดุร้าย แล้วพูดต่อไปด้วยโทสะคราวหนึ่ง …เสิ่นจั้งเฟิงได้ฟังแล้วก็ไม่ได้รู้สึกงงงันอันใด ชาวตี๋ผู้นั้นพูดอย่างโกรธเคืองเป็นฟืนเป็นไฟว่า “ที่แท้แล้วนิสัยของชาวเว่ยก็มีจิตใจชั่วช้าดังพวกหมาใน เวลานี้พวกเราต่อสู้กันหนักหนาสาหัส เจ้าเป็นคนของท่านข่าน ไม่เพียงไม่ช่วยพวกเรา แต่กลับมาทะเลาะกับท่านหัวหน้าอยู่ที่นี่ ทำให้หัวหน้าเสียสมาธิ! เหมือนคนในเผ่าเดียวกันสักน้อยนิดหรือไม่? ท่านข่านมองเจ้าผิดไปจริงๆ!”
เสิ่นจั้งเฟิงลงมือช้าลง อดไม่ได้ที่จะหันไปสังเกตดูเด็กหนุ่มผู้นั้นสักหลายหน แต่แล้วพลันมีพายุหิมะพัดมาอย่างหนักในเวลานี้ เพียงห่างออกไปไม่กี่ก้าวก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนแล้ว แม้เด็กหนุ่มคนนั้นจะสวมเสื้อผ้าที่บางกว่าพวกตี๋คนอื่นๆ แต่กลับสวมหมวกกันลมปิดบังใบหน้าไว้กว่าครึ่ง ครั้งเสิ่นจั้งเฟิงสังเกตดูเขาก่อนหน้านี้ จึงกลับไม่ได้พบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีสายเลือดของชาวเว่ย?
ในขณะที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงร้องตอบของเด็กหนุ่ม นอกจากคำด่าทอแล้ว สิ่งที่เขาตอบมากลับคือ “นั่นเป็นความต้องการของเคอถ่านมู่ เขากลัวว่าข้าจะไปแย่งผลงานของพวกเจ้า ระหว่างทางที่มา เขาก็เอาแม่ข้ามาขู่ว่าให้ข้าดูอยู่ไกลๆ ได้เท่านั้น ห้ามลงมือ หากมิใช่เพื่อท่านข่าน เมื่อครู่นี้ข้าจะไม่มีวันช่วยเขาหรอก!”
ดูท่าแล้วฝีมือธนูของเด็กหนุ่มคนนี้คงจะอยู่ในระดับที่สามารถแย่งผลงานของคนส่วนใหญ่ได้ เมื่อเขาตอบไปเช่นนี้ ชาวตี๋ที่ด่าทอเขาไปก่อนหน้านี้ถึงกับต้องหยุดชะงักไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ง้างดาบขึ้นด่าทอหนักๆ ไปคำหนึ่ง แล้วกลับเข้าไปช่วยเพื่อนพ้องในวงต่อสู้อีกครั้ง
ส่วนเด็กหนุ่มผู้นี้ก็มิได้โต้เถียงใดๆ อีก เอาแต่กอดคันธนูคอยดูอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
ยามชาวเว่ยตายก็มิเห็นเขายินดี ยามพวกตี๋ถูกสังหารก็มิเห็นว่าเขาจะโศกสลด เหมือนเป็นแผ่นหินที่ตั้งนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่นานนักก็ถูกพายุหิมะพัดหิมะมาห่อหุ้มตัวจนกลายเป็นหุ่นหิมะไปแล้ว
และไม่รู้โรมรันกันอยู่นานเท่าใด เกล็ดก้อนหิมะที่มีอยู่เดิมทีกลายเป็นละอองน้ำซ่านเซ็นเพราะถูกเหยียบย่ำจนกระเด็นขึ้นไปสูงและบดบังจนมืดทึบไปหมด พายุหิมะยิ่งหนักขึ้นอีก แต่ชั้นหิมะที่ถูกเหยียบจนแน่น พลันค่อยๆ รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน
แรงสั่นสะเทือนนี้สัมผัสได้ชัดเจนขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
“ท่านข่านมู่ซิงเอ่อร์!” คนนำทางที่ก่อนหน้านี้อยู่นอกวงต่อสู่เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นคนที่รู้สึกได้ก่อนใคร พลางร้องเสียงดังขึ้นอย่างตื่นเต้น “ต้องเป็นท่านข่านพาเหล่าผู้กล้าชาวตี๋มาแน่แล้ว! ท่านเคอถ่านมู่ ข้าน้อย…เอื้อก!”
เสียงสายธนุดังแจ่มชัดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ จากนั้นคนนำทางก็ไร้เรี่ยวแรงและล้มคว่ำลงกับพื้นหิมะ …ทำให้พวกตี้ที่อยู่ในวงต่อสู้ชั้นนอกที่ได้เห็นภาพภาพนี้ต่างพากันทั้งตื่นตระหนกทั้งเคืองแค้นแล้วตะโกนเสียงดังว่า “โม่เหยี่ย เจ้าคิดทำสิ่งใด?! เจ้าจะหักหลังท่านข่านรึ? เจ้าไม่ห่วงแม่เจ้าแล้วรึ?!”
ชาวตี๋ที่เหลือได้ยินเสียงก็ตื่นตกใจกันใหญ่ เมื่อหันหน้าไปดู กลับเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ยืนดูการสู้รบอยู่ก่อนนี้ไม่รู้ว่าไปสังหารคนนำทางตั้งแต่เมื่อใด แล้วเขาก็วิ่งไปอีกทิศหนึ่งของเสียงลมไหวและเสียงสั่นสะเทือน ท่ามกลางเสียงพายุหิมะ เขาทิ้งไว้เพียงคำสั้นๆ ที่ได้ใจความว่า “หนี!”
“บัดซบ!” ชาวตี๋ล้วนด่าทอกันด้วยความโกรธแค้น “ไอ้ชั่วบัดซบ! อีกประเดี๋ยวต้องไปรายงานกับท่านข่าน ตามทันมันเมื่อใด จะตัดแขนตัดขามันทิ้งให้หมาป่าที่หิวโหยอยู่ในหิมะกิน!”
ทว่าความโกรธแค้นของพวกเขาก็กลายเป็นความหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว …พร้อมๆ กับเสียงสั่นสะเทือนที่ดังเข้ามาใกล้ พลันปรากฏร่างองอาจเกรียงไกรขึ้นท่ามกลางพายุหิมะ ระหว่างนั้นมีเสียงหมาเห่า ทว่าเมื่อเสียงหมาเห่าใกล้เข้ามา กลับมิใช่สุนัขพันธุ์ธิเบตในกองกำลังทหารม้าที่ข่านมู่ซิวเอ่อร์เป็นผู้นำมา สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนในเวลานี้กลับคือเลื่อนนับสิบคันที่มีสุนัขตัวเขื่องนับร้อยลากมา!
บนเลื่อนหิมะมีทหารเว่ยที่สวมเครื่องแบบเต็มยศยืนอยู่เต็มไปหมด ทุกคนล้วนสวมหมวกให้ความอบอุ่น มองเห็นเป็นไอหมอกขมุกขมัวอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ เมื่อมาถึงตรงหน้าใกล้ๆ จึงสามารถมองเห็นว่าบนเสื้อเกราะของพวกเขาล้วนมีน้ำแข็งสีแดงเกาะติดอยู่ …นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคือกองทัพที่เพิ่งจะผ่านการฟาดฟันมา!
บนเลื่อนที่อยู่หน้าสุดคือนายพลสูงวัยที่ทั้งเคราและผมล้วนเป็นสีดอกเลาแล้วนายหนึ่ง เห็นชัดว่าเขามีชัยจากศึกครั้งก่อนหน้านี้ แล้วกลับถอดเสื้อเกราะออกครึ่งตัวท่ามกลางอากาศที่เต็มไปด้วยหิมะ บนอกที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นรอยบาดแผลมากมายบนลำตัวท่อนบน ในมือเขากำขวานศึกขนาดใหญ่ บนใบหน้ากลมอ้วนดังดอกจื่อถังยังมีรอยแผลใหม่ที่เกิดจากลูกธนูสองรอยด้วย รอยเลือดเพิ่งจะแห้ง แม้เขาจะมีดวงตาเล็กๆ คู่หนึ่ง ทว่าเมื่อหันมองไปกลับเต็มไปด้วยแววตาแห่งความดุดันแสนแจ่มชัด!
พอได้เห็นนายพลชรา หัวหน้าพวกตี๋ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างหนัก ร้องเสียงดังกับพวกพ้องด้วยภาษาตี๋ว่า “เป็นเสิ่นหยิวเจี่ย! รั้วแกร่งของพวกเว่ย! มิน่าเล่าโม่เหยี่ยถึงต้องฆ่าคนนำทางนั่น พวกเราถูกหลอกแล้ว! รีบหนี!”
“หนี?” นายพลชรานามว่าเสิ่นหยิวเจี่ยคอยเฝ้าระวังรักษาอยู่ที่ชายแดนมานานปี ย่อมต้องเข้าใจภาษาตี๋เป็นอย่างดี ได้ยินคำพลันแสยะยิ้มแล้วตะโกนไปด้วยภาษาตี๋ว่า “ปู่เสิ่นของพวกเจ้ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกตี๋ตัวน้อยเอ๋ย ยังคิดว่าจะหนีรอดหรือ?!”
เลื่อนหิมะพลันเป็นดังลูกธนู พุ่งตัวอย่างรวดเร็วจากขอบนอกของวงการสู้รบเข้าไปไม่หยุด กระทั่งมาถึงกลางพื้นที่การสู้รบที่กำลังตะลุมบอนกันแสนวุ่นวาย…เวลานี้เสิ่นจั้งเฟิงก็อาศัยความคุ้มกันของทหารในกองและถอยออกไปจากพื้นที่การสู้รบ วางแหลนในแนวราบเป็นการแสดงความเคารพเสิ่นหยิวเจี่ย “รบกวนท่านแม่ทัพมาช่วยแล้วขอรับ!”
“มิกล้า มิกล้า!” เสิ่นหยิวเจี่ยมีความเคียดแค้นและเยียดหยามพวกตี๋อยู่เต็มอก พอได้เห็นเขา ทันใดนั้นกลับคลายคิ้วขมวดออกและมีรอยยิ้มในดวงตา พลันชูขวานศึกขึ้น หัวเราะด้วยเสียงก้องกังวานเหลือแสนขึ้นมาในทันใด …เขาเข้าไปรับเสิ่นจั้งเฟิงด้วยความยินดี แล้วใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ชูขวานศึกตบไหล่เขาอย่างแรงหนหนึ่ง …แม้แต่เสิ่นจั้งเฟิงที่มีวรยุทธเป็นที่หนึ่งก็ยังเกือบจะถูกเขาตบจนล้มไปข้างหลัง ต้องรีบขับกำลังภายในมารับแรงปะทะเอาไว้ เพื่อมิให้ต้องมาขายหน้าต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา
ได้ยินเพียงเสิ่นหยิวเจี่ยเอ่ยอย่างดีใจเป็นหนักหนาว่า “ครานี้ต้องรบกวนท่านนายกองเสิ่นที่ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ปรากฏว่าข่านมู่ซิวเอ่อร์ผู้นั้นไม่ยอมละทิ้งโอกาสทองเช่นนี้จริงดังว่า! ไม่เพียงส่งสามเหยี่ยวใต้อาณัติของตนมาแอบซุ่มโจมตีท่านนายกองที่นี่ ทั้งยังนำกองกำลังทหารม้ามาด้วยตนเองและไปซ่อนตัวในที่ราบระหว่างเขาแห่งหนึ่งห่างออกไปหลายสิบลี้! น่าขันนักที่มู่ซิวเอ่อร์ผู้นี้หวังมาซุ่มโจมตีท่านนายกอง แต่กลับไม่ได้สนใจว่าที่ราบระหว่างเขานั้นมีทางออกเพียงทางเดียว เป็นสวรรค์ช่วยข้าโดยแท้! เมื่อครู่นี้ข้าพาคนไปปิดทางออกจากเขา นี่มันเรียกว่าจับตะพาบในไห[1]! จับตะพายในไหโดยแท้!”
เวลานั้นเอง เหล่าทหารเว่ยที่เสิ่นหยิวเจี่ยพามาก็ตะโกนให้พวกพ้องถอยออกไป ทุกคนง้างคันธนูจนเป็นวงเสี้ยวพระจันทร์ ลูกธนูพุ่งออกไปดังห่า แม้พวกตี๋จะห้าวหาญฮึกเหิม ทว่าในชั่วพริบตาก็ถูกฝนลูกธนูปักจนกลายเป็นเม้นไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัว บาดเจ็บล้มตายลงอย่างน่าอนาถ!
ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น หัวหน้าพวกตี๋อาจหาญไม่ธรรมดา เขาดึงลูกธนูที่ปักเข้าตาขวาออกด้วยมือ ร้องตะโกนดังลั่นหลายหน แล้ววิ่งพุ่งเข้าหามือธนูที่อยู่ใกล้ ที่สุด …แต่แล้วมือธนูผู้นั้น กลับยังคงมีสีหน้าดังเดิม หันไปยิ้มและร้องสั่งพวกพ้องที่เป็นคนบังคับเลื่อนคราวหนึ่ง เลื่อนหิมะของเขาพลันถูกสุนัขลากเลื่อนลากให้เคลื่อนตัวออกไปรวดเร็วดังลูกธนูและวิ่งไปไกลพอควร ดาบของหัวหน้าพวกตี๋พลันปักลงบนพื้นหิมะในทันใด
มือธนูผู้นี้ง้างคันธนูพร้อมลูกธนูอีกหน ธนูดอกนี้พุ่งตรงไปปักตรงใบหน้าข้างหนึ่งของเขา หัวหน้าผู้นั้นเหลือดวงตาเพียงข้างเดียว สายตาไม่อาจคะเนระยะห่างได้แน่ชัด จึงไม่ไปสนใจลูกธนูที่พุ่งตรงมาทางตน หากแต่รวมรวมกำลังซัดดาบยาวในมือไปที่มือธนูสุดแรง …มือธนูผู้นั้นตื่นตกใจจนหน้าถอดสี รีบสั่งสหายควบคุมเลื่อนให้เปลี่ยนทิศทางไปเสีย ทว่าแม้เลื่อนจะไถลได้อย่างว่องไวยามอยู่บนหิมะ แต่จักเทียบกับดาบยาวที่หัวหน้าพวกตี๋เหวี่ยงมาสุดกำลังได้เยี่ยงใด?
หลังได้ยินเสียงแครกหลายหน ดาบยาวแทงผ่านแผงอกของมือธนูทะลุไปถึงแผ่นหลังประหนึ่งหันเต้าหู้ กระทั่งแทงไปถึงสหายผู้ควบคุมเลื่อนให้ปักติดอยู่กับเลื่อนหิมะไปพร้อมกันด้วย!
เลื่อนหิมะคันนี้สูญเสียคนบังคับ พลันเสียหลักล้มลงทันใด ทหารเว่ยนับสิบไม่ทันตั้งตัว จึงล้มร่วงลงบนพื้นหิมะ ส่วนสุนัขลากเลื่อนสิบกว่าตัวกลับพากันเห่าเสียงหลงและวิ่งห่างออกไป…
ทว่าในยามนี้ คนที่เล็งธนูไปยังหัวหน้าพวกตี๋หาได้มีเพียงมือธนูเว่ยนายเดียวไม่ หัวหน้าชาวตี๋ผู้นั้นกำลังจะพุ่งตัวตามไปไล่สังหารอีก แต่เมื่อเสียงสายคันธนูดังขึ้นหลายหน ลูกธนูปลายขนนกเจ็ดแปดดอกก็พุ่งออกมาจากทั่วทุกสารทิศ และแม้ว่าพวกตี๋หลายคนจะพากันร้องตะโกนและพุ่งตัวเข้าไปบัง ทว่าหัวหน้าพวกตี๋ก็ยังต้องธนูจนตายอยู่กับที่!
______________________
[1] จับตะพาบในไห คล้ายกับสำนวนไทยว่า หมูในอวย หมายถึงทำได้อย่างง่ายได้ ทำได้แน่นอน