ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 167-1 ชัยชนะยิ่งใหญ่
หลังการสู้รบครั้งใหญ่ พื้นหิมะทีเดิมทีเป็นสีขาวไร้มลทิน กลับอาบไปด้วยน้ำเลือดและน้ำสกปรกปนเป กินพื้นที่เป็นวงกลมกว้างนับสองร้อยก้าว
เสิ่นจั้งเฟิงเห็นว่านอกจากพวกตี๋ที่ยังเหลือรอดอยู่สองคนแล้ว พวกตี๋ทั้งหมดล้วนถูกสังหารล้มพับอยู่กับพื้น บรรดาทหารต่างพากันตัดหัวพวกตี๋กลับไปเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จอย่างฮึกเหิม ทุกแห่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะด้วยความยินดี เขาจึงส่งแหลนด้ามไม้เจ้อมู่ให้แก่เสิ่นเตี๋ยแล้วไปสนทนาเรื่องรายละเอียดของการสู้รบกับเสิ่นหยิวเจี่ยที่ข้างๆ ทาง สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดย่อมเป็น “ท่านแม่ทัพตัดหัวมู่ซิวเอ่อร์ด้วยตนเองแล้วหรือไม่?”
แต่แล้วเมื่อ เสิ่นหยิวเจี่ยได้ยินคำ สีหน้าที่เคยดีอกดีใจอยู่แต่เดิมก็กลับนิ่งแข็งไป ลูบจมูกไปมา กระแอมไออย่างขัดเขินไปหลายหน จึงเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “เรื่องนี้… สิบเหยี่ยวแห่งกระโจมอ๋องกลับหาหนทางรอดไปได้ แม้ข้าจะวางแผนอย่างรอบคอบ แต่พวกเขากลับยอมสละหกชีวิตเพื่อเปิดทางที่เต็มไปด้วยเลือด เหลือคนเพียงหนึ่งคนที่อารักษ์ขามู่ซิวเอ่อร์จนหนีไปได้!”
ครั้งเสิ่นจั้งเฟิงเห็นเสิ่นหยิวเจี่ยเพิ่งปรากฏตัวออกมาก็รู้ว่านายพลชราที่เป็นทั้งหลานร่วมตระกูลและผู้บังคับบัญชาของเขาในเวลาเดียวกันต้องไม่มีทางจับตัวมู่ซิวเอ่อร์ได้แน่ หาไม่แล้วเขาก็จะต้องเอาหัวของมู่ซิวเอ่อร์โยนลงมาให้ดูเพื่อเป็นการทำลายขวัญของพวกตี๋ไปแล้ว เพราะเขาต้องเสี่ยงชีวิตแลกโอกาสในครานี้มา หากมีเรื่องผิดพลาดเพียงประการเดียว คนที่ต้องตายก็คือเสิ่นจั้งเฟิง …แม้เวลานี้เสิ่นจั้งเฟิงจะเป็นเพียงนายกองขั้นหกครึ่งขั้นล่าง แต่เสิ่นหยิวเจี่ยกลับเป็นแม่ทัพสูงสุดขั้นห้าครึ่งขั้นล่าง ทว่าซีเหลียงกลับอยู่ในอุ้งมือของตระกูลเสิ่น ตำแหน่งในราชสำนักเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น สิ่งที่เป็นตัวกำหนดฐานะสูงต่ำที่แท้จริงๆ ก็ยังคงคือฐานะในตระกูล
เมื่อว่ากันเรื่องฐานะในตระกูล เสิ่นหยิวเจี่ยซึ่งเป็นคนในสายห่างๆ ไม่ทีทางเทียบกับเสิ่นจั้งเฟิงได้ หากว่ากันเรื่องลำดับรุ่น แม้เขาจะอายุมากแล้ว แต่ยังต้องเรียก เสิ่นจั้งเฟิงว่า “ท่านอา”
ครานี้ เสิ่นจั้งเฟิงไม่สนใจว่าทุกคนจะห้ามปรามไม่ให้เขาเอาตัวเองไปเสี่ยง และถึงขั้นเขียนจดหมายตัวลายมือตัวเองไปอธิบายกับพวกของเสิ่นเซวียนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันว่าหากไม่เป็นดังคาดในภายหลัง แล้วเสิ่นหยิวเจี่ยจะต้องเป็นคนมารับผิด… ปรากฏว่าเสิ่นหยิวเจี่ยได้โอกาสงามเพียงนี้ แต่กลับยืนมองตาปริบๆ ปล่อยให้มู่ซิวเอ่อร์หนีไปได้ เพื่อรักษาหน้าตาของนักรบผู้เกรียงไกร ฉะนั้นในขณะที่อยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาเขาจึงยังต้องวางท่าสบายอกสบายใจหลังจากเขาเผชิญศึกอย่างห้าวหาญ แต่เมื่อมาถูกเสิ่นจั้งเฟิงถามเอาต่อหน้าในเวลานี้ จึงมีท่าทีน่าอเนจอนาถเสียยิ่งนัก
เสิ่นจั้งเฟิงเองก็รู้สึกเสียดายเสียอย่างยิ่ง ตามที่เสิ่นหยิวเจี่ยสืบดูความเคลื่อนไหวของศัตรูอยู่ที่ชายแดนมานานปี เวลานี้ข่านมู่ซิวเอ่อร์ของพวกตี๋กำลังอยู่ในวัยกลางคน จึงเป็นช่วงที่เขาคิดวางแผนทำการใหญ่มากมาย เวลานี้เขาขึ้นสืบทอดตำแหน่งข่านยังไม่นาน หากบัลลังก์ของเขามั่นคงขึ้นมายามใด พื้นที่แถบชายแดนจักต้องไม่มีวันสงบแน่
เพื่อขจัดเรื่องราวขัดเคืองใจที่จะติดตามมาอีกมหาศาล ก่อนหน้านี้เสิ่นหยิวเจี่ยจึงทยอยส่งนักรบเดนตายจำนวนนับไม่ถ้วนแผงตัวเข้าไปลอบสังหาร ทว่า ‘จี๋หลี’ ต้องบาดเจ็บล้มตายอย่างสาหัสยับเยิน แต่ไม่แม้สักคนที่สามารถผ่านสิบเหยี่ยวแห่งกระโจมอ๋องจนเข้าไปข่มขวัญมู่ซิวเอ่อร์ได้
เมื่อรู้ถึงสภาพการณ์ดังนี้แล้ว เสิ่นจั้งเฟิงจึงเสนอว่าให้ใช้โอกาสที่มู่ซิวเอ่อร์ ยกกำลังพลเข้ามารุกราน ด้วยมุ่งหวังให้ตำแหน่งของตนมั่นคงในเร็ววัน แล้วใช้ตัวเสิ่นจั้งเฟิงเองเป็นเหยื่อล่อ แสร้งทำเป็นไม่รู้ข่าวว่าในกลุ่มชาวเว่ยมีหนอนบ่อนไส้ที่ถูกพวกตี๋ซื้อตัวไป แล้วล่อให้มู่ซิวเอ่อร์เดินทางมาด้วยตนเอง ส่วนเสิ่นหยิวเจี่ยอาศัยโอกาสนี้ลอบเข้าโจมตีจากทางด้านหลัง เพื่อจะได้จู่โจมมู่ซิวเอ่อร์ในขณะไม่ทันตั้งตัว …และหากใช้โอกาสนี้กำจัดมู่ซิวเอ่อร์ได้เป็นดีที่สุด
เพื่อให้มู่ซิวเอ่อร์ติดกับเสิ่นจั้งเฟิงไม่ห่วงว่าตนต้องเสียชื่อเสียง ครั้งอยู่ในตัวเมืองซีเหลียง ขณะที่เสิ่นหยิวเจี่ยกำลังหารือกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเคร่งเครียดอยู่นั้น เขาก็แสดงละครตบตาว่าตนเองเป็นคุณชายที่ถูกเอาใจจนเคยตัวและหวังสร้างผลงานเป็นนักหนา ทั้งยังให้ท่านลุงท่านอาสองสามคนจากสายแขนงต่างๆ ของหมิงเพ่ยถัง ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีความแค้นเก่ากับเสิ่นเซวียนพี่น้องช่วยกันแสดงละครว่ามีการต่อสู้ขัดแย้งกันภายในตระกูล จน ‘บีบให้’ เสิ่นจั้งเฟิงไม่อาจไม่รับปากว่าจะไปเฝ้าชายแดนที่ตำบลตงเหอ
ปรากฏว่ามู่ซิวเอ่อร์ก็ตกหลุมพรางจริงดังว่า นึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงก็เป็นเพียงพวกดีแต่เปลือกที่ใช้ประโยชน์จากความเลอะเลือนของฮ่องเต้เว่ย ถือดีว่าตนอยู่ในลำดับที่อาวุโสกว่า จึงตั้งใจวิ่งมาตักตวงผลงานที่ซีเหลียงโดยเฉพาะ ยิ่งไปกว่านั้นมู่ซิวเอ่อร์ก็เคยได้ยินเรื่องบุญคุณความแค้นเมื่อหลายปีก่อนของหมิงเพ่ยถังจากพวกหนอนบ่อนไส้ชาวเว่ยมาบ้าง จึงทำให้หลงเชื่อโดยไม่ระแวง ที่สุดก็พาทหารมาด้วยความยินดีปรีดา
แต่ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นจั้งเฟิงหรือเสิ่นหยิวเจี่ยต่างก็ประเมินสิบเหยี่ยวแห่งกระโจมอ๋องผิดไป แม้จะมีแผนรัดกุมทุกอย่าง แต่กลับยังปล่อยให้มู่ซิวเอ่อร์หนีไปได้ เรื่องนี้ทำให้อดรู้สึกเสียดายไม่ได้จริงๆ
เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพไม่ต้องท้อใจ แม้ครานี้ไม่อาจจับมู่ซิวเอ่อร์ได้ ทว่าคนผู้นี้เพิ่งได้รับตำแหน่งข่านได้ไม่นาน ฐานะของเขายังไม่มั่นคง ก่อนหน้านี้ท่านแม่ทัพมิใช่เคยบอกว่าพี่ชายน้องชายร่วมมารดาของเขาล้วนไม่พอใจกับการที่เขามาสืบทอดตำแหน่งต่อจากข่านผู้เฒ่าหรอกหรือ? ครานี้เขาสามารถพ้นเงื้อมือของท่านแม่ทัพไปได้ แต่กลับไม่รู้ว่าเมื่อกลับไปแล้วจะพ้นเงื้อมือของคนในเผ่าได้หรือไม่?”
เสิ่นหยิวเจี่ยได้ยินพลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา กล่าวว่า “มิผิด! สาเหตุที่ก่อนนี้มู่ซิวเอ่อร์สามารถข่มพี่ชายน้องชายของตนเอาไว้ได้ นอกจากเพราะชั้นเชิงและเล่ห์กลแล้ว ก็ยังเป็นเพราะผลงานของสิบเหยี่ยวแห่งกระโจมอ๋องอย่างขาดไม่ได้! แต่เวลานี้สิบเหยี่ยวเหลือเพียงหนึ่งเหยี่ยว และหนึ่งเหยี่ยวนั่นก็ยังต้องลูกธนูข้าไปดอกหนึ่ง กระทั่งมู่ซิวเอ่อร์เองก็ยังถูกข้าตัดหูไปข้างหนึ่ง! คาดว่าเมื่อเขากลับไปถึงเผ่าแม้ยังคงรักษาตำแหน่งข่านเอาไว้ได้ แต่ในระยะหลายปีนี้ก็จะต้องไร้กำลังเข้ามารุกรานทางฝั่งตะวันออกอีก เพราะต้องคอยหาหนทางทำให้ตำแหน่งของเขามั่นคง เพื่อมิให้ผู้ใดมาช่วงชิงบัลลังก์ไป!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วเข้าอีกหน เอ่ยเสียงหนักว่า “หากเป็นดังนี้ มู่ซิวเอ่อร์จักต้องพาสมัครพรรคพวกไปหลบอยู่ในส่วนลึกท่ามกลางทุ่งหญ้า! ถึงยามนั้น หากต้องการหาตัวพวกเขาก็จะไม่ง่ายเสียแล้ว… เพราะเมื่อเข้าไปลึกเกินไป กำลังพลของเราก็จะตามเข้าไปไม่ทัน กลับกันยังจะถูกพวกมันถ่วงเวลาเอาไว้จนถึงตายอย่างง่ายดาย!”
คำพูดนี้ย่อมเพราะเขาเป็นกังวลแทนเสิ่นจั้งเฟิง นั่นเพราะสามปีให้หลัง เสิ่นจั้งเฟิงต้องกลับเมืองหลวงไปตรวจนับความดีความชอบเพื่อประเมินตำแหน่งหน้าที่การงาน เช่นครานี้ข่านของพวกตี๋เกือบถูกจับได้ แม้จะเป็นผลงานใหญ่คราหนึ่ง ทว่าต่อไปหากพวกตี๋หนีไปหลบซ่อนห่างไกลออกไป แม้จะหาก็ยังหาได้ไม่ง่ายดาย เช่นนั้นแล้วโอกาสสร้างผลงานจึงยิ่งยากเย็นขึ้นแล้ว
“การปกป้องชายแดนถือเป็นภารกิจหลัก” เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้าพลางว่า “นับแต่ข้ามาถึงซีเหลียง ทุกที่ที่ข้าพบเห็น นอกจากในตัวเมืองที่ดีกว่าที่อื่นสักหน่อย หมู่บ้านตำบลเล็กน้อยต่างๆ ล้วนเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก! แม้ดินแดนซีเหลียงจะไม่อาจอุดมสมบูรณ์ทัดเทียมเจียงหนาน ทว่าก็มีพื้นที่ที่มีดินดำซึ่งเหมาะแก่การเพาะปลูกอยู่มากมาย แต่กลับเป็นเพราะถูกพวกตี๋รุกราน จึงไม่อาจไปพลิกดินทำไร่ไถนากันในดงไพร นับว่าน่าเสียดายนัก หากศึกครานี้สามารถทำให้มู่ซิวเอ่อร์จำกัดให้สมัครพรรกพวกไปหลบซ่อนตัวในที่ไกลๆ หลายปีได้ พวกเราก็จะสามารถทำให้ที่นี่กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นได้บ้าง”
“ท่านอากล่าวถูกต้องยิ่งนัก” เสิ่นหยิวเจี่ยเห็นเขาใช้คำว่า ‘ข้า’ เรียกขานตัวเอง จึงรู้ว่าเขาเริ่มใช้ลำดับขั้นในตระกูลมาหารือ จึงมิได้เรียกเขาว่า ‘นายกอง’ อีก แล้วบอกว่า “เพียงแต่หากต้องการดำรงความสุขสงบที่ชายแดนจริงๆ อย่างไรก็ต้องกำจัดพวกตี๋ให้สิ้นซากเป็นเป้าหมายหลัก!”
เสิ่นหยิวเจี่ยกล่าวเช่นนี้ ความจริงแล้วก็เพราะไม่เชื่อที่เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวว่า “การปกป้องชายแดนถือเป็นภารกิจหลัก” ในความคิดของเสิ่นหยิวเจี่ย เสิ่นจั้งเฟิงเป็นถึงประมุขคนต่อไปที่มีการกำหนดไว้เป็นการภายในแล้ว และโอกาสในการมาสร้างความชอบที่ชายแดนในครานี้ก็เป็นเสิ่นเซวียนประมุขคนปัจจุบันหาทางจัดหามา แล้วเสิ่นจั้งเฟิงจะไม่เฝ้าหวังมาสร้างผลงานได้อย่างไร ทว่าในช่วงเวลาว่างๆ ที่มู่ซิวเอ่อร์หนีไปซ่อนตัวอยู่ไกลนี้ เขายังจะมีแก่ใจไปสนใจเรื่องการเพาะปลูกหรือ?
ที่เสิ่นจั้งเฟิงพูดเช่นนี้ โดยมากแล้วก็เพื่อจงใจละวางท่าทีสูงส่งและห่างเหินจากชาวบ้าน ฉะนั้นเสิ่นหยิวเจี่ยที่นึกว่าตนเองเข้าใจสิ่งที่เขาคิดดี จึงรีบเอ่ยสนับสนุนไปคำหนึ่ง จากนั้นกลับช่วยเขาหาข้ออ้างอื่น
—————————————