ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 168-2 เรื่องแต่งงานของฉางเฟิง
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “น้องรั่วอวี้เป็นเช่นใดหรือเจ้าคะ?”
“นอกจากนางจะไม่เลี้ยงดูคุณชายเล็กผู้นั้น แม้แต่เฉียนมั่วเอ๋อร์และกู้เม่ยเม่ยมาช่วงชิงความโปรดปรานไปจากนาง นางก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอันใดเลย!” นางหลิวมีความรวดร้าวอยู่เต็มหัวใจ กล่าวว่า “เวลานี้ผู้คนข้างนอกล้วนลือกันว่าพระชายาองค์รัชทายาทแสนดีนักหนา แต่ไรมาไม่เคยถือสาสนมขององค์รัชทายาทเลยแม้สักน้อย แม้ว่าองค์รัชทายาทจะไปหาผู้อื่นในวันสำคัญเช่นวันขึ้นปีใหม่หรือวันที่สิบห้า พระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่เคยไปควบคุมคนเหล่านั้น! เจ้าว่าเวลานี้เพิ่งจะแต่งงานใหม่ก็ยังเป็นเช่นนี้แล้ว แล้ววันข้างหน้าจะอยู่กันอย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วหนแล้วหนเล่า เอ่ยเสียงหนักว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เวลานี้มีเพียงเราสองคนอยู่ที่นี่ ข้าจะพูดคำแสลงใจสักคำ เกรงว่าจิตใจของน้องรั่วอวี้จะมิได้อยู่ที่ตัว องค์รัชทายาทเลยแต่อย่างใด นางจึงไม่ได้ไปใส่ใจ …นางไม่ได้ใส่ใจเลยจริงๆ เจ้าค่ะ!”
นางหลิวพูดอย่างเสียอกเสียใจว่า “น้องสะใภ้สาม เรื่องที่แม้แต่เจ้าก็ยังมองออก แล้วข้าจะไม่รู้หรือ? ข้าหาได้บอกว่าสายตาเจ้าสู้ข้าไม่ได้ ทว่าข้าดูรั่วอวี้เติบโตมา ข้าจึงคิดว่าอย่างไรข้าก็เข้าใจนางยิ่งนัก นางมิได้สนใจองค์รัชทายาทเลย …ปัญหาคือเวลานี้นางแต่งงานแล้ว! นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาท! ตระกูลหลิว… บิดามารดาของนางก็มิได้สนใจนางเท่าใด เจ้าว่าแม้แต่สามีก็ยังไม่รักนางอีก หากมีเพียงตำแหน่งสูงส่งกลวงๆ ท่านหญิงเจินอี้และองค์หญิงอันจี๋ก็มิใช่เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วรึ? เจ้าดูสิ องค์หญิงอันจี๋เป็นกิ่งทองใบหยกแท้ๆ ดูเสื้อผ้าอาภรณ์กลับยังไม่งดงามเท่าสาวใช้ใกล้ชิดที่มีหน้ามีตาของพวกเราเลย! ความสาวของรั่วอวี้…”
คู่สะใภ้ทั้งสองกำลังสนทนากัน พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาบนระเบียงทางเดิน จากนั้นประตูก็ถูกเคาะดัง ฉินเกอเอ่ยอยู่ข้างนอกว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่ ฮูหยินน้อยสามเจ้าค่ะ ข้างหน้ามีคนมาเจ้าค่ะ บอกว่าเมื่อครู่นี้ราชสำนักเพิ่งจะมีราชโองการสมรสพระราชทานให้คุณชายห้าของเราเจ้าค่ะ!”
“อะไรนะ?!” นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งสะดุ้งตกใจพร้อมกัน และรู้สึกเกิดคาดเอามากๆ “มิใช่ว่าน้องชายห้าหมั้นหมายกับลูกผู้น้องหญิงสี่บ้านซูแล้วหรือ? เหตุใดจึงมีราชโองการสมรสพระราชทานมาอีก?”
เวลานี้ในวังมีองค์หญิงที่อยู่ในวัยแต่งงานสองพระองค์ องค์หนึ่งคือหลินชวน ซึ่งกำหนดไว้แล้วว่าจะอภิเษกกับกู้เวยบุตรหลานตระกูลกู้แห่งหงโจว ฮ่องเต้ทรงตกลงเรื่องหมั้นหมายด้วยพระองค์เอง ทั้งฝ่ายหญิงก็เป็นถึงองค์หญิง ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแน่นอน อีกองค์หนึ่งก็คือองค์หญิงอันจี๋แล้ว สองสะใภ้ต่างพากันใจเต้นตูมตาม คิดว่าเหตุจู่ๆ ฮ่องเต้จึงทำเช่นนี้? ไม่เพียงเป็นการทำลายสัญญาแต่งงานของตระกูลเสิ่นและตระกูลซูที่ตกลงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ยังยัดเยียดองค์หญิงอันจี๋ซึ่งมีชื่อเสียงไม่ดีที่สุดในบรรดาองค์หญิงทั้งหลายให้แก่ตระกูลเสิ่นด้วย?
ทั้งสองคนไม่มีแก่ใจมาหารือเรื่องของหลิวรั่วอวี้อีกแล้ว รีบเรียกฉินเกอเข้ามาพูดให้ละเอียด
ปรากฏว่าเมื่อฉินเกอพูดรายละเอียดแล้วทั้งสองคนจึงได้เข้าใจ คุณชายห้าที่นางเอ่ยถึงมิใช่คุณชายห้าตระกูลเสิ่น เสิ่นจั้งจี หากแต่เป็นน้องชายร่วมท้องของเว่ยฉางอิ๋งคุณชายห้าตระกูลเว่ย เว่ยฉางเฟิง!
เว่ยฉางอิ๋งตื่นเต้นขึ้นมาอีกหน กล่าวว่า “ไม่รู้ว่า ฮ่องเต้พระราชทานคุณหนูมีตระกูลบ้านใดให้ฉางเฟิง?” นางคิดไปคิดมา ระยะนี้ทางท่านปู่ไม่น่าจะถวายฎีกาเกี่ยวกับการขอพระราชทามสมรสให้แก่ฉางเฟิงกระมัง? ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องแต่งงานของเว่ยฉางเฟิง ฮูหยินผู้เฒ่าเองพิจารณามาหลายปีก็ยังไม่ได้กำหนดเลย ในเมื่อจะมีการกำหนดทั้งทีก็น่าจะบอกกล่าวมาในจดหมายจากทางบ้านบ้างสักคำ ให้ตนเองซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ คนนี้ได้รู้
ทว่าจดหมายจากทางบ้านที่ได้รับล่าสุดกลับมิได้เอ่ยถึงเรื่องสำคัญชั่วชีวิตของน้องชายผู้นี้เลย …ในขณะที่กำลังคิดก็ได้ยินฉินเกอบอกว่า “เป็นคุณหนูห้าตระกูลซูเจ้าค่ะ”
“คุณหนูห้าคนใดกัน?” คุณหนูบ้านซูที่เว่ยฉางอิ๋งคุ้นเคยมีเพียงสี่คน ก็คือ คุณหนูใหญ่ ซูอวี๋ลี่ซึ่งเป็นลูกผู้น้องลูกอาแท้ๆ ของนาง คุณหนูรอง ซูอวี๋หลีจากบ้านใหญ่ตระกูลซู ยังมีคุณหนูสาม ซูอวี๋เฟย และคุณหนูสี่ ซูอวี๋อินสองพี่น้องแท้ๆ จากบ้านสอง นางกลับไม่รู้ว่าตระกูลซูไปมีคุณหนูห้าเพิ่มมาอีกยามใด?
ดีที่นางหลิวเติบโตที่เมืองหลวง จึงเข้าใจเรื่องของแต่ละตระกูลประหนึ่งนิ้วมือในมือนางเอง จึงรีบอธิบายให้เว่ยฉางอิ๋งฟังว่า “มิใช่จากในสายของท่านตา เป็นสายของน้องชายท่านตา ธิดาขององค์หญิงหลิงเซียนนามว่า ‘เนี่ยนซู’ ”
เมื่อถูกนางเอ่ยเตือนสติเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นนางคราหนึ่งในงานเลี้ยงวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน …ครั้งนั้นอวี๋ลี่บอกว่าซูเนี่ยนชูลูกผู้น้องของนางผู้นี้ เคยแนะนำให้องค์หญิงชิงซินไปเรียนการวาดภาพแบบดานชิง แต่ปรากฏว่า องค์หญิงไม่มีความอดทนพอ ร่ำเรียนแล้วไม่เป็นผล กลับวิ่งไปบ่นทั้งน้ำตากับฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงทรงต่อว่าบิดาของซูเนี่ยนซู ซึ่งเป็นบุตรเขยของตนเสียยกใหญ่…
ซึ่งหากนับไปแล้วนางเป็นถึงหลานตาของฮ่องเต้เชียว แต่เพราะนางฮั่ว ท่านยายของนางซึ่งเป็นอดีตสนม เคยได้รับโทษว่าวางแผนทำร้ายองค์ชายหกซึ่งเป็นที่รักที่สุดของฮ่องเต้ นางจึงไม่ต่างอันใดกับสตรีสามัญชนทั่วไป แม้บิดาจะเป็นบุตรหลานบ้านใหญ่ของตระกูลซูแห่งชิงโจว ทว่าท่านปู่ก็เสียไปแล้ว และบิดาของนางก็ไม่อาจขึ้นมารับตำแหน่งประมุขของตระกูลได้…
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกผิดหวังเป็นนักหนา เอ่ยเรียบๆ ไปว่า “ที่แท้เป็นคุณหนูผู้นี้ พี่หญิงใหญ่ซูเคยเล่าให้ข้าฟังมาก่อน ข้ากลับลืมเสียแล้ว”
นางหลิวสังเกตสีหน้าและวาจาของนางก็รู้ว่านางไม่พอใจกับตัวเลือก น้องสะใภ้ผู้นี้ แต่เวลานี้ราชโองการสมรสพระราชทานก็ลงมาแล้ว นางจึงปลอบไปว่า “ลูกผู้น้องห้าบ้านซูผู้นี้ข้าเคยพบสองครั้ง เป็นสตรีที่อ่อนโยนและเห็นแก่ส่วนรวมผู้หนึ่งทีเดียว”
“ได้แต่หวังให้เป็นดังนั้นเถิดเจ้าค่ะ…” ครานี้ เว่ยฉางอิ๋งจิตใจล่องลอยและไม่มีแก่ใจจะสนทนากับนางมากมายนัก เอาแต่คิดว่าต้องหาคนไปสอบถามดูให้ละเอียดในทันใด …เหตุใดอยู่ดีๆ จึงมีสมรสพระราชทานแก่เว่ยฉางเฟิงที่ไม่เคยมาเมืองหลวงเลยสักหน? ต้องรู้เสียก่อนว่า พระมารดาจี้อ๋องเพิ่งจะสิ้น ตระกูลเว่ยก็เพิ่งมีคนเสียชีวิต จู่ๆ ราชสำนักกลับมีราชโองการสมรสพระราชทานในสถานการณ์เช่นนี้… เพียงคิดก็รู้แล้วว่าต้องมีเงื่อนงำ!
เมื่อคิดถึงว่าในเวลานี้จี้อ๋องและอีอ๋องทั้งคู่ล้วนอยู่ในเมืองหลวงไม่ยอมไปไหน ทำให้เห็นถึงแนวโน้มบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นเงียบๆ ภายในเมืองหลวง เว่ยฉางอิ๋งก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นลางไม่ดี นางหลิวสัมผัสได้ว่าใจนางร้อนรนนัก จึงรีบเรียกเสิ่นซูจิ่งมาหาอย่างรู้จังหวะ แล้วสองแม่ลูกก็อำลาและจากไปพร้อมกัน
________________________