ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 169-1 เหตุผลของสมรสพระราชทาน
ตามหลักแล้วตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะไปสอบถามเรื่องสมรสพระราชทานในคราวนี้ก็คือเว่ยเซิ่งอี๋ ทว่าภรรยาของเว่ยเซิ่งอี๋เพิ่งจะเสียไปได้ไม่นาน ต่อให้เขามีแก่ใจอดทนและยอมช่วย แต่เวลานี้เว่ยเซิ่งอี๋ยังต้องไว้ทุกข์ให้ภรรยาจึงไม่เหมาะจะเข้าวัง …เว่ยฉางอิ๋งเอารายชื่อญาติมิตรและสหายเก่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งบอกกล่าวกับนางเมื่อก่อนออกเรือนมานับนิ้วดู ก็คิดว่าคนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะรู้เบื้องลึกของเรื่องนี้ก็คือเสนาบดีฝ่ายปกครองเว่ยอวี้ จึงสั่งให้นางหวงซึ่งเป็นคนที่ทำงานรอบคอบที่สุดตระเตรียมของกำนัลชิ้นหนึ่งแล้วออกไปข้างนอก
นางหวงไปครานี้ จนเกือบถึงเวลาห้ามออกนอกเรือนจึงเพิ่งกลับมา แม้แต่น้ำก็ยังไม่ทันได้ดื่ม นางก็เล่าเรื่องความเป็นมาทั้งหมดให้ฟังว่า “ฮูหยินท่านเสนาบดีปกครองบอกว่ากำลังจะส่งคนมาบอกกับฮูหยินน้อยเชียวเจ้าค่ะ เรื่องราวเป็นดังนี้ ก่อนหน้านี้ พระมารดาจี้อ๋องสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้มิได้มีพระบัญชาให้พระโอรสพระธิดาที่อยู่ในเมืองหลวงล้วนเสด็จไปถวายอาลัยต่อพระมารดาเลี้ยงหรอกหรือเจ้าคะ? องค์หญิงหลิงเซียนก็เสด็จไปด้วย ทว่าพี่น้องทั้งชายหญิงล้วนตีตัวออกห่างนาง ตลอดงานถวายอาลัยนางจึงดูน่าสงสารยิ่งนัก จึงมีคนนำเรื่องนี้ไปทูลต่อฮ่องเต้เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วถาม “ผู้ใด?”
“คาดว่าฮูหยินน้อยต้องรู้สึกเหนือความคาดหมายอย่างมากเป็นแน่ เป็นสนมเอกเติ้งเจ้าค่ะ” นางหวงกล่าว
เว่ยฉางอิ๋งตะลึง จากนั้นจึงว่า “สนมเอกเติ้ง?! มิใช่ว่ากันว่าองค์ชายหกของนางถูกอดีตสนมฮั่วร่วมมือกับจี้อิงวางแผนทำร้ายเอาหรอกหรือ? ภายหลังตระกูลเติ้งยังคอยบีบคั้นจี้ชวี่ปิ้งตั้งมากมาย จนเป็นเหตุให้จี้ชวี่ปิ้งไม่ยอมไปตรวจรักษาคนบ้านเติ้งตราบเท่าทุกวันนี้” ไม่ว่าเบื้องลึกจะเป็นเช่นใด แต่สรุปก็คือ เบื้องหน้าทุกคนล้วนพากันคิดเห็นดังนี้ และตัวสนมเอกเติ้งเองก็คล้ายจะเชื่อว่าเป็นดังนั้นมาตลอดหลายปีนี้ และอดีตฮองเฮาเฉียนก็ถูกสั่งให้ปลิดชีพตนเองไปตั้งนานแล้วด้วย
“เรื่องราวในวังหลวงผู้ใดจะพูดได้ชัดเจนเล่าเจ้าคะ?” นางหวงเอ่ยทอดถอนใจ “ได้ยินว่าสนมเอกเติ้งเป็นไปทูลต่อฮ่องเต้ว่าองค์หญิงหลิงเซียนน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง การตายขององค์ชายหก แม้จะเป็นเพราะอดีตสนมฮั่วทำผิดเลอะเลือน ทว่าองค์หญิงหลิงเซียนกลับมิได้รู้เรื่องใดด้วย เมื่อมาเห็นว่าองค์หญิงหลิงเซียนตกต่ำเพียงนี้ ทั้งที่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้เช่นกัน นางจึงรู้สึกทนรับไม่ไหวอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดอยู่เป็นนาน กล่าวว่า “ก่อนนี้ซูเนี่ยนชู ธิดาขององค์หญิงหลิงเซียนออกความคิดให้องค์หญิงชิงซินเรียนวาดภาพแบบชิงดาน แม้แต่บิดาของนางก็ยังพลอยถูกฮ่องเต้กริ้วและด่าทอเอา เห็นได้ว่าฮ่องเต้ตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับองค์หญิงหลิงเซียนไปแล้ว แม้แต่บุตรสาวของสามัญชนทั่วไปฮ่องเต้ก็ยังทรงไว้หน้ามากกว่านางเสียอีก! แล้วสนมเอกไปพูดดังนี้จะมีประโยชน์หรือ?”
“ท่านเสนาบดีปกครองบอกว่า ครั้งนั้นฮ่องเต้ก็ทรงไม่ว่าอันใด แต่ขณะนั้นสนมเมี่ยวก็อยู่ด้วย นางบอกไปด้วยท่าทีออดอ้อนว่า เดือนหนึ่งนี้ ในเมืองหลวงกลับมีงานศพติดต่อกันถึงสองงาน ไม่เป็นสิริมงคลนัก มิสู้พระราชทานสมรสสักงานเพื่อสร้างสิริมงคล” นางหวงเอย “และเป็นเพราะว่าสองวันมานี้พระพลานามัยของฮ่องเต้ก็ไม่ใคร่ดีนัก ฉะนั้นเมื่อสนมเมี่ยวแสดงความห่วงใยมาดังนี้ ก็ทรงสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยว่าที่พระพลานามัยของฮ่องเต้ไม่ใคร่ดี จะเป็นผลกระทบจากงานพระศพของพระมารดาจี้อ๋องและฮูหยินรองของเราในเดือนนี้หรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งไม่พอใจที่เรื่องแต่งงานของน้องชายของตนถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการต่อสู้ในวังหลวง นางกล่าวอย่างชิงชังรำคาญว่า “ฮ่องเต้เป็นถึงโอรสสวรรค์ เป็นผู้กุมชะตาลิขิตอยู่แล้ว จะมีความอัปมงคลจากงานศพใดสามารถกระทบฮ่องเต้ได้?!”
แม้จะพูดไปดังนั้น ทว่าหากฮ่องเต้จะทรงเชื่อ ผู้อื่นก็จนปัญญา
“ระหว่างนั้น ฮ่องเต้จึงตรัสถามสนมเมี่ยวว่ามีตัวเลือกที่เหมาะสมให้พระราชทานสมรสหรือไม่ สนมเมี่ยวจึงบอกว่างานศพในเดือนหนึ่งนี้ งานหนึ่งเป็นของของคนในราชสำนัก อีกงานหนึ่งเป็นของตระกูลเว่ย มิสู้จับคู่ให้สองฝั่งนี้เสียเลย ทั้งยังเป็นการช่วยปัดเป่าความอัปมงคลให้ทั้งสองฝ่ายไปด้วยในเวลาเดียวกัน เดิมทีตอนนั้นฮ่องเต้ยังทรงคิดว่าจะให้องค์ชายสิบสองไปเลือกหาพระชายาจากตระกูลเว่ยด้วย แต่ปรากฏว่าสนมเมี่ยวบอกว่า เมื่อครู่นี้พระสนมเอกเพิ่งจะเอ่ยถึงองค์หญิงหลิงเซียน ไยไม่ทำให้องค์หญิงหลิงเซียนมีหน้ามีตาขึ้นมาเสียเลย ทั้งยังทำให้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงเอาใจใส่พระราชธิดาและพระสนมเอกทรงก็มีจิตใจกว้างขวางเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้นางหวงพูดอย่างเร่งร้อนไปหน่อย นางจึงหยุดหายใจสักพักแล้วพูดต่อว่า “ฮ่องเต้ทรงถามอีกว่าจะทำให้องค์หญิงหลิงเซียนมีหน้ามีตาได้อย่างไร สนมเอกเติ้งจึงบอกว่า ซูเนี่ยนชูพระธิดาขององค์หญิงหลิงเซียนเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ จึงเหมาะสมกับคุณชายห้าบ้านเราพอดิบพอดีเจ้าค่ะ คุณหนูซูห้าเป็นหลานตาแท้ๆ ของฮ่องเต้ มีสายพระโลหิตของฮ่องเต้ จึงพอจะสามารถเป็นตัวแทนของราชสำนักได้ ส่วนองค์ชายสิบสองนั้น ด้วยเหตุที่พระมารดาจี้อ๋องเพิ่งสิ้นพระชนม์ เวลานี้ราชสำนักยังมีงานอภิเษกของอีอ๋องและองค์หญิงหลินชวนที่ต้องเลื่อนออกไป หากต้องให้กรมพิธีการตระเตรียมงานอภิเษกขององค์ชายหรือองค์หญิงพระองค์ที่สามอีก ก็เกรงว่ากรมพิธีการจะวุ่นวายกันจ้าละหวั่น อย่าได้กลายเป็นว่าพอถึงยามนั้นก็จัดงานอภิเษกทั้งสามออกมาได้ไม่ดีและทำให้เสียพระเมตตาและเอาพระทัยใส่ของ ฮ่องเต้ที่มีต่อพระราชโอรสและพระราชธิดาไป! ฉะนั้น มิสู้พระราชทานพระเมตตาแก่องค์หญิงหลิงเซียน ทั้งได้เฉลิมฉลองและลดภาระงานของราชสำนักไปด้วย ฮ่องเต้ทรงไต่ตรองอยู่สักพัก และมิทราบเพราะเหตุใดก็ทรงรับปากแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วแน่นใคร่ครวญอยู่เป็นนาน แล้วพึมพำว่า “แรกเริ่มนั้น สนมเอกเติ้งไปกล่อมให้พระมารดาจี้อ๋องฆ่าตัวตาย เพื่อให้จี้อ๋องและอีอ๋องล้วนมีเหตุผลที่จะอยู่ในเมืองหลวงต่อไป ไม่ต้องไปแคว้นปกครอง เห็นชัดว่าต้องร่วมมือ…” เว่ยฉางอิ๋งเกือบเอ่ยถึงแผนการที่ตระกูลเสิ่นกำลังดำเนินการออกไป พลันรีบหยุดคำ สักพักหนึ่งจึงพูดต่อว่า “ในเมื่อสนมเอกมีความคิดเห็นดังนี้ นี่คงเป็นการสร้างฐานอำนาจให้แก่จี้อ๋องและอีอ๋องกระมัง? องค์หญิงหลิงเซียนไม่เป็นที่รักใคร่เพราะสาเหตุจากอดีตสนมฮั่วพระมารดาของนาง แต่ซูเนี่ยนชูพระธิดาของนาง กลับเป็นบุตรสาวบ้านใหญ่แห่งตระกูลซู แม้มิใช่ในสายของท่านตา แต่ข้าได้ยินลูกผู้พี่ใหญ่ซูเคยบอกว่า ท่านตาเป็นห่วงเป็นใยหลานสาวตาผู้นี้มาก ยิ่งมิต้องบอกว่า องค์หญิงหลิงเซียนและพระสวามีสมัครรักใคร่กันเป็นอย่างมาก คาดว่าทั้งสองสามีภรรยาต้องรักทะนุถนอมบุตรสาวผู้นี้เป็นหมื่นเท่า”
นางหวงเข้าใจความหมายของนาง จึงสำทับไปว่า “เมื่อมองในมุมขององค์หญิงหลิงเซียนและพระสวามี หากคุณหนูซูห้าสามารถหมั้นหมายกับคุณชายห้าบ้านเราได้ก็ย่อมเป็นการแต่งงานที่ดีมากๆ เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางเฟิงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับซูเนี่ยนชู เขาเป็นหลายชายในสายหลักของประมุขตระกูล ทั้งยั้งเป็นหลายชายในสายหลักเพียงคนเดียวของทางสายตระกูลประมุขแห่งรุ่ยอวี่ถัง ได้รับความสำคัญจากท่านปู่ท่านย่าเป็นที่สุด ไม่เพียงไหว้ครูฝากตัวเป็นศิษย์ของเว่ยจื้อเจี่ยวนักเขียนเรืองนามในเขตทะเลตั้งแต่ยังเล็กๆ แม้เขาจะอยู่ที่เฟิ่งโจวมาโดยตลอด แต่เวลานี้ชื่อเสียงของเขาก็เป็นที่ร่ำลือมาจนถึงเมืองหลวง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นคนที่มีอนาคตยาวไกล
ซึ่งแน่นอนว่าคนในตระกูลซูย่อมไม่มีทางไม่รู้เรื่องการต่อสู้ภายในของรุ่ยอวี่ถัง ทว่าหากมองจากอุปนิสัยแข็งกร้าวของแม่เฒ่าซ่งแล้ว เว่ยฉางเฟิงมีโอกาสมีชัยมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ว่ากันว่าอดีตภรรยาของเว่ยเซิ่งอี๋ป่วยตายในครานี้ …บางทีอาจปิดหูปิดตาใครได้หลายคน แต่จะอย่างไรก็มีคนจำนวนหนึ่งที่สามารถสัมผัสได้จากเบาะแสต่างๆ ว่าทางสายของเว่ยเซิ่งอี๋อยู่ในฐานะที่เสียเปรียบแล้ว
เดิมทีรุ่ยอวี่ถังไม่เคยมีข่าวว่าคิดอยากเอ่ยเรื่องแต่งงานกับตระกูลซูมาก่อน หากมิใช่สมรสพระราชทานจากราชสำนัก ซูเนี่ยนชูก็จะไม่อาจได้แต่งงานกับเว่ยฉางเฟิง สนมเอกเติ้งมอบของกำนัลชิ้นโตให้แก่องค์หญิงหลิงเซียนสามีภรรยา ในเมื่อองค์หญิงหลิงเซียนสามีภรรยาเป็นคนที่รักใคร่บุตรสาวอย่างมาก ย่อมอดรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของนางไม่ได้
แม้สวามีขององค์หญิงหลิงเซียนจะไม่อาจเป็นตัวแทนของตระกูลซูแห่งชิงโจวหมดทั้งตระกูลได้ ทว่าก็นับว่าเป็นแรงหนุนแรงหนึ่ง อย่างไรเสียพระสวามีผู้นี้ก็ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ มีตำแหน่งราชการไม่ต่ำต้อย ทั้งยังมีความสามารถยิ่งนัก
ทางฝั่งของซูเนี่ยนชูซาบซึ้งขอบคุณสนมเอกเติ้ง แต่ทางฝั่งของเว่ยฉางเฟิง…
เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดด้วยสีหน้าหนักอึ้งอยู่เนิ่นนาน จึงบอกว่า “หากว่ากันถึงลำดับชั้นตระกูลก็ยังพอได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าซูเนี่ยนชูผู้นี้เป็นคนเช่นใด? คราก่อนเพียงมองนางจากไกลๆ หนหนึ่งในงานเลี้ยงเท่านั้น จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ารูปโฉมงดงามไม่เลว ทว่าหากให้มาเป็นภรรยาของฉางเฟิง เรื่องสำคัญอันดับแรกกลับมิใช่รูปโฉม หากแต่ต้องมีความสามารถเพียงพอจึงจะดี ทว่าลูกผู้พี่หญิงใหญ่ซูเคยบอกกับข้าว่านางไปออกความเห็นให้องค์หญิงชิงซินโดยพลการ จนทำให้บิดาต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย …ข้าคิดว่าความจริงแล้วนางก็เป็นเพียงเด็กสาวเล็กๆ ผู้หนึ่งเท่านั้นกระมัง?”
——————————–