ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 169-2 เหตุผลของสมรสพระราชทาน
“เมื่อผ่านปีใหม่ปีนี้ไป คุณหนูห้าตระกูลซูผู้นี้ก็จะอายุสิบห้าปีเจ้าค่ะ” นางหวงกล่าว
“เมื่อว่ามาดังนี้ ปีนี้นางก็ต้องปักปิ่นน่ะสิ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเสียงหนัก “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่านางเป็นคนที่เห็นแก่ส่วนรวม …หากเป็นคนดีจริงดังว่าได้เป็นดี”
ความจริงแล้วสาเหตุที่แม่เฒ่าซ่งไม่อาจตัดสินใจตัวเลือกภรรยาให้แก่เว่ยฉางเฟิงได้สักที หากว่ากันให้ถ่องแท้แล้วก็ยังคงเพราะไม่เพียงแค่ต้องการหาภรรยาที่เป็นเลิศให้แก่เว่ยฉางเฟิงเท่านั้น สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือตัวคนผู้นี้เองต้องมีความสามารถเพียงพอ …ซึ่งคนที่แม่เฒ่าซ่งนำมาใช้เป็นบรรทัดฐานก็คือซ่งไจ้สุ่ย
ดังนี้แล้ว สำหรับสมรสพระราชทานที่ปุบปับเช่นนี้ แรกเริ่มเว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกขัดเคืองที่จู่ๆ ก็มาถูกฝืนใจกะเกณฑ์ให้โดยไม่ทันได้ตั้งตัวมาก่อน จากนั้นเมื่อใจเย็นลง จิตใจก็กลับสงบลงด้วย แล้วเริ่มภาวนาให้ซูเนี่ยนชูเป็นคนที่เก่งกาจสักน้อย เก่งกาจสักน้อย เก่งกาจสักน้อยจึงจะดี หาไม่แล้วเมื่อพระราชโอการโปรดเกล้าฯ ลงมา แล้วเว่ยฉางเฟิงต้องได้แต่งกับภรรยาที่เป็นตัวถ่วงก็จะลำบาก
ฝั่งของนางภาวนาให้ตนได้น้องสะใภ้ที่เก่งกาจ ณ จวนองค์หญิงหลิงเซียน องค์หญิงหลิงเซียนเองก็กำลังอบรมบุตรสาวอยู่เช่นกัน
องค์หญิงหลิงเซียนเป็นคนอ่อนโยน ซึ่งเรื่องนี้ย่อมเป็นเพราะนางเป็นองค์หญิงที่ไม่เป็นที่รักใคร่ของฮ่องเต้ เป็นองค์หญิงที่แม้จะอยู่ในงานที่เปิดเผย กระทั่งฮองเฮาซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องความดีงามไปทั่วสารทิศก็ยังคร้านจะทำดีต่อนางเป็นพิเศษ นางจึงไม่มีทางทำตัวเย้อหยิ่งจองหองเช่นบรรดาพระพี่นางและน้องนางทั้งหลาย ดังนั้นซูเนี่ยนชูที่นางอบรมสอนสั่งมา แม้จะยังไม่โตเต็มที่ ทว่ายามนั่งอยู่ในที่นั่งรอง สายตาก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนที่สะท้อนออกมา
เพียงแต่ซูเนี่ยนชูก็ยังเยาว์ จึงยังไม่สงบนิ่งเท่าองค์หญิงหลิงเซียน ยามสองตากรอกไปมาก็ยังทำให้เห็นว่ามีปฏิภาณไหวพริบยิ่งนัก …องค์หญิงหลิงเซียนสังเกตดูบุตรสาวอย่างละเอียด พิจารณาว่ารูปโฉมและสง่าราศีเช่นนี้น่าจะมีคุณสมบัติเพียงพอเป็นภรรยาของเว่ยฉางเฟิงตามที่ตระกูลเว่ยต้องการแล้วกระมัง?
องค์หญิงคิดไปคิดมาจึงเอ่ยปากว่า “ครานี้นับเป็นเรื่องเหนือคาดจริงๆ! เดิมทีแม่คิดเพียงว่าจะหาบุตรหลานจากตระกูลระดับตระกูลใหญ่ที่เป็นคนดีซื่อตรงให้เจ้า ผู้ใดจะคิดว่าจู่ๆ พระสนมเอกก็… เว่ยฉางเฟิงผู้นั้นเป็นหลายชายในสายหลักเพียงคนเดียวของรุ่ยอวี่ถัง ได้รับความสำคัญจากภายในตระกูลเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งมากมายกว่าลูกผู้พี่ชายสี่และลูกผู้พี่ชายห้าของเจ้าเสียอีก โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่าซ่งท่านย่าของเขาที่แต่ไหนแต่ไรมารักใคร่เขาและเว่ยฉางอิ๋ง ฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่น พี่สาวร่วมท้องของเขายิ่งนัก”
ซูเนี่ยนชูได้ฟังคำมารดาเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานของตน ก็อดมีสีหน้าเหนียมอายไม่ได้ นางก้มหน้าน้อยๆ แกว่งชายเสื้อ เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ก็โพล่งออกไปว่า “ฮูหยินเว่ยแห่งตระกูลเสิ่นผู้นั้นก็คือพี่สาวร่วมท้องของเว่ยฉางเฟิงหรือเจ้าคะ? คราก่อนลูกเห็นนางอยู่ไกลๆ หนหนึ่ง นางงดงามจริงๆ …” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็คล้ายสัมผัสได้ว่านางถูกจับได้แล้วว่าสิ่งที่ตนต้องการจะเอ่ยจริงๆ คือสิ่งใด สองแก้มพลันแดงระเรื่อขึ้นมา แล้วเบี่ยงหน้าหลบไปไม่กล้ามองมารดา
องค์หญิงหลิงเซียนยิ้มอย่างใจกว้าง กล่าวว่า “เด็กโง่ แม่ก็ให้บ่าวออกไปหมดแล้ว เจ้ายังมีคำใดที่ไม่อาจบอกกับแม่อีก? เจ้าอยากรู้ว่า เว่ยฉางเฟิงผู้นั้นหน้าตาเป็นเช่นใดใช่หรือไม่? ความจริงแล้วแม่ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวมักมีแต่คนรูปโฉมงดงาม ชายหญิงในตระกูลล้วนมีรูปโฉมงดงามเหนือคนทั่วไป เจ้าเองก็บอกว่า เว่ยฉางอิ๋งงดงามยิ่งนักแล้ว นางเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับเว่ยฉางเฟิง คาดว่า เว่ยฉางเฟิงก็คงจะต่างกันไปไม่ได้มากสักเท่าใดหรอก!”
“…” ซูเนี่ยนชูขบริมฝีปากไม่ส่งเสียง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรมุมปากก็ยังอดจะโค้งขึ้นมาไม่ได้ …เดิมทีนั้น เด็กสาวในวัยเช่นนาง ผู้ใดจะไม่ชอบชายงามกัน? ทั้งชาติกำเนิดและฐานะของเว่ยฉางเฟิงล้วนไม่มีเรื่องให้ต้องเกี่ยง หัวใจของสาวน้อยย่อมคิดว่าหากว่าที่สามีผู้นี้เป็นคนหล่อเหลาผิวขาวละเอียดด้วยก็ยิ่งดีเข้าไปอีก
เวลานี้มาได้ยินมารดาบอกว่า เว่ยฉางเฟิงน่าจะมีหน้าตาไม่เลวเลย หัวใจของซูเนี่ยนชูย่อมเบ่งบานดังบุปผา นี่หากว่านางอยู่เพียงลำพังในห้อง นางจะต้องกอดผ้าห่มแอบยิ้มอยู่ครึ่งข่อนชั่วยามเป็นแน่
“เพียงแต่เจ้าต้องแต่งไปอยู่ไกลเพียงนั้น แม่ก็ตัดใจไม่ใคร่ได้จริงๆ” องค์หญิงหลิงเซียนถอนหายใจหนหนึ่งพลางลูบมวยผมของบุตรสาว กล่าวว่า “ตัวเว่ยฉางเฟิงเองคงจะเป็นคนดี เพียงแต่หากไม่เอ่ยถึงเรื่องการช่วงชิงตำแหน่งระหว่างอาหลานใน รุ่ยอวี่ถังแล้ว ก็ต้องบอกว่าทั้งมารดาและท่านย่าของเขา…ล้วนเป็นคนเข้มงวดยิ่งนัก!”
ซูเนี่ยนชูสะดุ้ง กล่าวว่า “ท่านแม่หมายถึง ฮูหยินซ่งและแม่เฒ่าซ่งใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“ก็มิใช่รึ?” องค์หญิงหลิงเซียนเอ่ยพลางมองนางด้วยความรักใคร่หนหนึ่ง “เว่ยฉางเฟิงเป็นผู้สืบสกุลเพียงคนเดียวของเว่ยเจิ้งหงบุตรชายจากภรรยาเอกของเว่ยฮ่วน ประมุขตระกูลเว่ย ทว่าเขากลับอยู่ในลำดับที่ห้าในบรรดาพี่ชายน้องชาย นั่นเพราะบิดาของเขามีร่างกายอ่อนแอมาแต่กำเนิด ทำให้มีทายาทล่าช้า จึงทำให้เกิดการช่วงชิงตำแหน่งประมุขระหว่างเว่ยเซิ่งอี๋ผู้เป็นอารองของเขาและตัวเขาเองในเวลานี้ ไม่เพียงเท่านั้น แม่เฒ่าซ่งก็มีเว่ยเจิ้งหงซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ หลานแท้ๆ ของนางจึงมีเพียงเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิง …ก่อนฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นผู้นี้ออกเรือน ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นที่รักของนางเป็นที่สุด!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เสียงของ องค์หญิงหลิงเซียนก็ต่ำลง “เจ้าดูสิ ปีก่อนทั้งเมืองหลวงล้วนลือกันครึกโครมว่าเว่ยฉางอิ๋งถูกคนร้าย… ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ อย่างไรชื่อเสียงดีงามก็ไม่หลงเหลือแล้ว ทว่าสุดท้าย คุณชายเสิ่นสามก็ยังแต่งนางเข้าบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าอาจเป็นเพราะตัวคุณชายเสิ่นสามเองเป็นคนใจคอกว้างขวาง แต่ก็ไม่แน่ว่าทางตระกูลเว่ยก็อาจเอื้อประโยชน์ในบางเรื่องให้เขาเพื่อหลานสาวผู้นี้? ฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นยังเป็นแค่หลานสาวของแม่เฒ่าซ่ง แล้วประสาอะไรกับคนที่เจ้าจะแต่งด้วยผู้นั้นเป็นหลายชายเพียงคนเดียวของแม่เฒ่าซ่ง? เว่ยฉางเฟิงจะต้องได้รับความรักเหลือแสนจากทั้งท่านย่าและมารดามาแต่เล็กจนโตเป็นแน่ แม้เพื่อให้เขาได้รับช่วงต่อรุ่ยอวี่ถัง จึงไม่อาจเอาอกเอาใจจนเสียผู้เสียคน ทว่าหากมีที่ใดที่โอนอ่อนผ่อนตามเขาได้ย่อมต้องยอมตามเขา… เมื่อพวกนางรักใคร่เอาใจคนของตนเพียงนี้ สิ่งที่คาดหวังจากตัวสะใภ้ก็ยากจะไม่เข้มงวดเคร่งครัดสักหน่อย”
ซูเนี่ยนชูฟังแล้วสะท้านใจอยู่น้อยๆ โพล่งเอ่ยไปว่า “ตระกูลเว่ยและตระกูลซูของเราล้วนเป็นตระกูลสูงศักดิ์เช่นเดียวกัน ท่านแม่ท่านก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์ ขอเพียงลูกปฏิบัติตนอยู่ในจารีตธรรมเนียม บังคับจิตใจตนอย่างเคร่งครัด คาดว่าแม่เฒ่าซ่งและ ฮูหยินซ่งก็จะไม่จงใจมาหาเรื่องลูกหรอกกระมังเจ้าคะ? อย่างไรเสียลูกก็มิได้มีความแค้นเคืองใดกับพวกนาง ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางล้วนเป็นบุตรสาวตระกูลเลื่องชื่อเช่นกัน คงไม่ถึงกับมาระบายอารมณ์กับลูกทั้งที่ไม่มีเรื่องใดหรอกกระมังเจ้าคะ?”
“จงใจหาเรื่องเจ้านั้นคงไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” ความจริงแล้วจิตใจขององค์หญิงหลิงเซียนสับสนขัดแย้งนัก แม้นางจะยินดีที่บุตรสาวได้แต่งกับสามีที่ทำให้ผู้คนอิจฉา ได้มีการแต่งงานที่ดี มีอนาคตยาวไกล ทว่าก็เป็นห่วงว่าเมื่อบุตรสาวแต่งออกไปแล้วจะถูกข่มเหงรังแกด้วยสามีเป็นที่รักใคร่ของบรรดาญาติผู้ใหญ่เกินไป ฉะนั้นในเวลานี้ ทางหนึ่งนางจึงเตือนบุตรสาว อีกทางหนึ่งก็ปลอบโยนบุตรสาวว่า “ครั้งแม่เฒ่าซ่งและ ฮูหยินซ่งยังไม่กลับไปที่เฟิ่งโจว ล้วนเป็นผู้ที่ขึ้นชื่อเร่งเคร่งครัดในธรรมเนียมประเพณี ครั้งนั้นคุณหนูสามคนที่แม่เฒ่าซ่งเลี้ยงดู ซึ่งก็คือท่านอาหญิงทั้งสามของเว่ยฉางอิ๋งพี่น้อง ทุกคนล้วนเป็นแบบอย่างของกุลสตรีในเมืองหลวง เห็นได้ว่าแม่เฒ่าซ่งพิถีพิถันในการอบรมบุตรหลานและเคร่งครัดในจารีตธรรมเนียมเพียงใด! ส่วนฮูหยินซ่งก็เป็นถึงหลานอาของแม่เฒ่าซ่ง แม้ฮูหยินซ่งมิได้เลี้ยงดูให้เว่ยฉางอิ๋งเป็นแบบอย่างของกุลสตรีของทุกตระกูลเช่นเดียวกับที่แม่เฒ่าซ่งเคยทำ ทว่าครั้งฮูหยินผู้นี้ยังอยู่ในเมืองหลวงก็กำราบคู่สะใภ้เสียจนอยู่หมัด จนไม่กล้าหือกับนาง! ฉะนั้น หากเจ้าทำตามจารีตธรรมเนียมทุกประการ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง พวกนางคงไม่มาสร้างความลำบากให้เจ้า จะอย่างไรเจ้าก็มิใช่ว่าไม่คู่ควรกับเว่ยฉางเฟิง”
“เช่นนั้นท่านแม่หมายความว่า…?” ความยินดีของซูเนี่ยนชูหลังจากรู้ว่าเว่ยฉางเฟิงน่าจะเป็นคนรูปงามอดจะค่อยๆ หดหายไปไม่ได้ แล้วเอ่ยถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
องค์หญิงหลิงเซียนคล้ายจะพูดแต่ไม่พูดอยู่เป็นนาน จึงบอกว่า “กลัวแต่ว่าสามีภรรยาเป็นคนคนเดียวกัน หากวันใด เว่ยฉางเฟิงออกนอกลู่นอกทาง แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซูจะใจอ่อนตำหนิเลือดเนื้อเชื้อไขของตนไม่ลง แล้วจะพาลมาโกรธเจ้าแทนน่ะสิ”
____________________________