ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 170-1 ลุงและหลานคืนดี
ความจริงแล้วนี่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวขององค์หญิงหลิงเซียนเอง สมัยนั้น นางฮั่วมารดาของนางได้เป็นถึงสนมชั้นซูเฟย นางจึงเคยมีวันคืนสุขสบายมีอภิสิทธิ์เหนือผู้คน และเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์อย่างจริงแท้มาก่อน
ทว่าเมื่อองค์ชายหกเซินจวิ้นซึ่งเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อย่างมากประชวรจนสิ้นพระชนม์ สนมเอกเติ้งพระมารดาของเซินจวิ้นร้องขอประหนึ่งคนเสียสติให้สืบสวนเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ครั้งนั้นนางฮั่วไม่ได้คิดสิ่งใดมากมาย ยังทอดถอนใจกับบุตรสาวเป็นการส่วนตัวไม่กี่คำว่าเรื่องในวังหลวงช่างลึกล้ำนัก เคราะห์ดีที่ตนเองมี องค์หญิงหลิงเซียนเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว นั่นเพราะโดยทั่วไปแล้วองค์หญิงไม่อาจไปขวางทางผู้ใดได้ สองแม่ลูกใช้ชีวิตประคับประคองซึ่งกันและกัน จึงไม่กลัวว่าเมื่อไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วจะเปล่าเปลี่ยวจนตาย
แต่กลับไม่คิดว่าพอมีการสืบสวน เรื่องนี้กลับมาถึงตัวนางฮั่วเสียแล้ว องค์หญิงหลิงเซียนยังคงจำสีหน้าตื่นตกใจและไม่เชื่อของนางฮั่วเมื่อนางกำนัลในวังให้ปากคำว่านางร่วมมือกับจี้อิงหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงวางแผนทำร้ายองค์ชายหกได้ตราบเท่าทุกวันนี้ …นางไม่ได้ให้กำเนิดองค์ชายและมิได้รับเลี้ยงดูแลองค์ชายพระองค์ใด ยิ่งไปกว่านั้นนางฮั่วแม่ลูกก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใดๆ หรือไปมาหาสู่กับสนมเอกเติ้งมากมายเกินไปแต่อย่างใด เหตุใดนางฮั่วต้องเสี่ยงภัยไปทำร้ายองค์ชายหก??
คำแก้ต่างที่ร่ำร้องจนเสียงแหบแห้ง ที่สุดก็กลายเป็นเปล่าประโยชน์ยามอยู่ต่อหน้า ‘หลักฐานแน่นหนา’
หลังจากนางฮั่วถูกกุมตัวไป องค์หญิงหลิงเซียนก็ไม่เคยได้พบกับนางอีกเลย กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าที่พระศพของพระมารดาของตนอยู่ที่ใด เมื่อคิดถึงนางในในวังที่ตายแล้วก็จะถูกห่อด้วยเสื่อหญ้าแล้วไปโยนทิ้งที่สุสานร้างนอกเมือง องค์หญิงหลิงเซียนก็ไม่กล้าคิดต่อไปอีก ด้วยกลัวว่าจะไม่อาจรับความจริงได้
ด้วยสาเหตุของนางฮั่ว องค์หญิงหลิงเซียนซึ่งเดิมทีก็มิได้เป็นที่โปรดปรานอันใดนัก จึงมิได้เป็นที่รักของฮ่องเต้อีกต่อไป บางคราวถึงขั้นมิสู้องค์หญิงอันจี๋ในทุกวันนี้เสียอีก หากไม่เป็นเพราะได้พบกับพระสวามี คนที่ไม่มีใครสนใจเช่นนาง บางทีเมื่อถึงวัยอันควรแล้วอาจถูกฮองเฮาจับคู่ส่งๆ ให้สิ้นเรื่องไป แล้วจะมีวันรู้จักอนาคตที่มีความสุขได้อย่างไร?
ครั้งมีชีวิตอย่างยากลำบากในวัง องค์หญิงหลิงเซียนต้องถูกบรรดาพี่นางน้องนางรังแกอยู่ไม่ขาด อย่างเช่นว่าเมื่อบรรดาองค์หญิงไปรับการอบรมจากพวกนางใน มีองค์หญิงที่เป็นที่โปรดปรานบางองค์เป็นคนหละหลวมไร้ระเบียบ ไม่ยอมตั้งใจร่ำเรียน จึงทำให้การเรียนล่าช้า เมื่อฮองเฮาสอบถามถึงสาเหตุ พวกนางในเกรงกลัว องค์หญิงซึ่งเป็นที่รักของฮ่องเต้ จึงให้องค์หญิงหลิงเซียนซึ่งไร้ที่พึ่งพิงเป็นคนรับผิดไป…
องค์หญิงหลิงเซียนรู้ว่าฐานะองค์หญิงของตนแท้จริงแล้วมิได้มีความหมายใดนัก อย่างไรเสียเรื่องที่นางไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้ก็เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วทุกหัวระแหงอยู่แล้ว แม้แต่ตระกูลฮั่วซึ่งเป็นบ้านฝั่งมารดาของนางก็ยังเมินเฉยกันนางเลย …หากซูเนี่ยนชูแต่งกับเว่ยฉางเฟิง บ้านฝั่งมารดาที่สามารถพึ่งพิงได้จริงๆ ก็ยังเป็นตระกูลฝั่งบิดา
แม้ก่อนแต่งงานบิดามารดาของซูซิ่วฉินพระสวามีของนางจะเสียไปแล้วทั้งคู่ แต่ซูผิงจ่านก็ยังคงให้ความสำคัญกับเลือดเนื้อเชื้อไขของน้องชายแท้ๆ เพียงคนเดียวนี้อย่างมาก ครั้งนั้น ด้วยซูซิ่วฉินขัดคำสั่งของซูผิงจ่าน ขืนสมรสกับองค์หญิงหลิงเซียน ด้วยโทสะ ซูผิงจ่านจึงตำหนิกล่าวโทษหลานชายผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง จนทำให้ลุงและหลานทั้งสองคนแทบไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีกเลย ทว่าหลังจากองค์หญิงหลิงเซียนคอยไปไกล่เกลี่ยตลอดหลายปีมานี้ ความจริงแล้วทั้งสองฝ่ายล้วนปล่อยวางความแค้นเคืองลงแล้ว เพียงแต่ติดขัดเรื่องทิฐิจึงมิได้ไปมาหาสู่กันอย่างเป็นทางการเท่านั้น
ทว่าหลานชายไม่อาจเทียบได้กับบุตรชายแท้ๆ แล้วประสาอะไรที่ซูผิงจ่านเองก็มีบุตรชายอยู่สามคนแล้ว?
เมื่อมองจากชาติกำเนิด ซูเนี่ยนชูยังต่ำต้อยกว่าเว่ยฉางเฟิงชั้นหนึ่ง ทั้งยังต้องแต่งไปไกลถึงเฟิ่งโจว แม้วันหน้าเว่ยฉางเฟิงต้องเข้าวังมาเป็นขุนนาง ทว่าซูเนี่ยนชูก็ยังคงต้องรับภาระหนักเป็นทวีคูณ เพราะต้องคอยอยู่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายและอยู่ภายใต้เงื้อมือของแม่สามีอย่างขาดไม่ได้
แม้หลายปีมานี้อิทธิพลของรุ่ยอวี่ถังจะโรยราลงไปมาก แต่องค์หญิงหลิงเซียนก็รู้ว่าตระกูลที่หยั่งรากลึกดังต้นไม้ใหญ่เช่นสายหลักของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวนี้ แม้จะอ่อนกำลังลงชั่วครู่ชั่วยาม แต่ก็จะไม่มีวันยอมถูกหยามเป็นแน่ ก็ดูเอาว่าก่อนนี้จือเปิ่นถังมีความภาคภูมิเพียงใด ก็มิใช่ว่าจนเวลานี้ยังคงเป็นสายรองอยู่หรือ? ยิ่งไม่ต้อ
บอกว่าคนของจิ่งเฉิงโหวล้วนถูกให้ไปใช้ชีวิตปั้นปลายที่เฟิ่งโจวหมดแล้ว
ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงหลิงเซียนจึงกลัวว่าปกติแล้วทั้งตนและสวามีต่างรักใคร่บุตรสาวมาโดยตลอด อย่าได้ทำให้บุตรสาวเฉื่อยชาจนเคยตัว และกลายเป็นว่าหลังจากแต่งเข้าบ้านเว่ยไปแล้วก็ไปเพิกเฉยกับญาติผู้ใหญ่บ้านสามี …ส่วนคนในรุ่ยอวี่ถังคนอื่นๆ ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว ลำพังแค่พูดถึงแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่ง มีคนใดที่ปรนนิบัติเอาใจได้ง่ายๆ บ้าง?
ทางหนึ่งองค์หญิงก็อบรมบุตรสาวว่าเมื่อออกเรือนไปแล้วต้องคอยรักษาระเบียบจารีตให้จงดี คอยปรนนิบัติญาติผู้ใหญ่บ้านสามีให้ดี แล้วถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้สึกนานาที่ตนเองเคยต้องดิ้นรนครั้งอยู่ในวังให้บุตรสาวฟัง อีกทางหนึ่งก็กลับเริ่มไปหารือกับซูซิ่วฉินพระสวามีของตนเรื่องที่จะไปมาหาสู่กับซูผิงจ่านอย่างเป็นทางการเสียที
ครานั้น ซูซิ่วฉินอยู่ไว้ทุกข์ที่ชิงโจวสามปี หลังจากกลับมาเมืองหลวงได้ไม่นานก็เกิดรักแรกพบกับองค์หญิงหลิงเซียน
เพราะต้องจากกันสามีปีจึงได้มาพบ เขาจึงอดจะห่างเหินกับท่านลุงไม่ได้ ทั้งยังถูกท่านลุงคัดค้านเรื่องแต่งงานอย่างรุนแรง เขาย่อมรู้สึกไม่พอใจอยู่เต็มอก หลังจากซูผิงจ่านปฏิเสธเป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอองค์หญิงให้เขา ซูซิ่วฉินที่ยังเยาว์และอยู่ในวัยพลุ่งพล่านจึงอาศัยตำแหน่งราชองครักษ์ซินที่ถวายงานหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ไปสู่ขอเองเสียเลย เมื่อเรื่องนี้ถูกกำหนดออกมาเป็นที่แน่นอนแล้ว ซูผิงจ่านก็โมโหโกรธาและเฆี่ยนตีเขาด้วยตนเอง ลุงและหลานทั้งสองจึงขาดกัน และไม่ไปมาหาสู่กันอีกนับแต่นั้นมา
ระหว่างนั้น องค์หญิงหลิงเซียนเป็นกังวลเรื่องอนาคตของสามี จึงเคยหลบสายตาผู้คนไปขอขมาซูผิงจ่านและแม่เฒ่าเติ้งที่จวนซูด้วยตนเอง …เพราะอย่างไรครานั้นซูซิ่วฉินก็เป็นพระสวามีของนางแล้ว เมื่อซูผิงจ่านเห็นว่าองค์หญิงหลิงเซียนคำนึงถึงพระสวามีเช่นนี้ก็มีท่าทีอ่อนลงมา อีกทั้งเป็นเพราะแม่เฒ่าเติ้งซึ่งเป็นคนใจดีกับทุกคนเสมอมาคอยช่วยพูดอีกแรง …เมื่อองค์หญิงหลิงเซียนกลับมาก็อยากให้สามีไปเยี่ยมเยือนท่านลุงท่านป้าพร้อมกันอีกหน แต่จนใจเหลือที่ซูซิ่วฉินยังคงคิดถึงภาพที่ท่านลุงเฆี่ยนตีเขาต่อหน้าทุกคนในบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ภายหลังจึงถูกบรรดาลูกผู้พี่เย้ยหยันถางถางด้วยสาเหตุนี้ ทำให้ยังคงเคืองโกรธอยู่ไม่คลาย กลับยืนกรานว่าไม่ไปเด็ดขาด
ไปๆ มาๆ ก็ยื้อมาจนทุกวันนี้
แต่เวลานี้ เพื่อบุตรสาวของตน ซูซิ่วฉินจึงต้องวางทิฐิของตนลง มาตระเตรียมของกำนัลแล้วไปขอขมาที่จวนซูพร้อมกันกับองค์หญิง
ซูผิงจ่านเองก็รู้ว่าพวกเขาจะมาเยือน แม้จะรู้สึกว่าหลานชายผู้นี้หัวแข็งไปสักหน่อย ทว่าอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขในครอบครัว คนเป็นผู้ใหญ่ มีลูกหลานมากมาย อย่างไรต้องมีสักคนสองคนที่ไม่ฟังสักคำเท่าใด
ยิ่งไปกว่านั้น องค์หญิงหลิงเซียนก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่งเสมอมา ประหนึ่งหลานสะใภ้ในบ้านสามัญชนทั่วไปเช่นนั้น
ฉะนั้น ซูผิงจ่านจึงคืนดีกับหลายชายและหลานสะใภ้ด้วยความเปรมปรีดิ์ และให้พวกเขาอยู่ทานข้าวด้วยกัน หลังจากสั่งให้บ่าวใกล้ชิดออกไปแล้ว ซูซิ่วฉินก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยเรื่องสมรสพระราชทานขึ้นมาทันใด “เดิมทีหลานไม่เคยคาดหวังว่าเนี่ยนชูจะมีอนาคตเช่นในวันนี้ แต่ยามนี้พระราชโองการก็โปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว ต้องขอให้ท่านลุงช่วยชี้แนะแนวทางหลานด้วยขอรับ”
ซูผิงจ่านคีบเครา เอ่ยเรียบๆ ไปว่า “เรื่องแรกที่ข้าจะบอกเจ้าก็คือต้องระวัง สนมเอกเติ้งเอาไว้ให้จงดี!”
——————————–