ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 171 เดือนสอง
เดือนสอง หิมะในเมืองหลวงยังไม่ทันละลายไปหมด ในเรือนจินถงยังคงเผาไส้เดือนดินอยู่ แจกันเคลือบบนโต๊ะสูงมีดอกเหม่ยที่ตัดมาใหม่ปักอยู่ กลิ่นหอมเย็นๆ ผสานเข้ากับความอบอุ่น อบอวลทำให้คนสบายใจนัก
ซ่งไจ้สุ่ยมีเวลาว่างจึงมาเยี่ยมเว่ยฉางอิ๋งที่จวน หลังจากนั่งลงแล้ว นางก็มองไปที่ท้องที่ยื่นสูงขึ้นมาใต้ชุดกระโปรงหรูฉวินที่คาดไว้ตรงอก ทับเสื้อผ่าหน้าแขนกว้างสีส้มอมแดงลายอดอวี้หลาน แล้วกล่าวว่า “ใกล้จะคลอดแล้วใช่หรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งพลิกมือขึ้นมานับนิ้ว กล่าวว่า “ยามนี้ได้แปดเดือน ยังอีกสักพักหนึ่ง”
ซ่งไจ้สุ่ยยังไม่แต่งงาน จึงไม่ใคร่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เท่าใด เดาไปส่งๆ จึงเดาผิดเสียแล้ว นางยิ้มบอกว่า “เวลาสองเดือนก็รวดเร็วนัก ดูท่าว่าจากนี้ไปข้าต้องเร่งเตรียมการแล้ว หาไม่เสื้อผ้าที่สัญญาว่าจะเตรียมให้หลานชายข้าจะทำไม่ครบหนึ่งชุดต่อหนึ่งฤดูเอา”
“ข้าล้อเล่นกับท่านพี่ต่างหากเล่า!” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางเอ็ดนาง “เวลานี้ท่านต้องดูแลบ้านเรือน จะมีเวลามากมายอันใดไปทำเรื่องเหล่านี้? อีกประการหนึ่ง พวกท่านอาและฉินเกอต่างก็ทำตั้งมากมายแล้ว ทางท่านแม่ก็สั่งให้ช่างเย็บเสื้อทำออกมาตั้งหลายตัว ข้าว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ก็ใส่ไม่หมดอยู่แล้ว”
ซ่งไจ้สุ่ยแสร้งทำทีประหลาดใจ กล่าวว่า “โอ๊ะ! เหตุใดเจ้าจึงเป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเช่นนี้? ทำเอาข้าประหลาดใจเสียจริง! ข้านึกว่าเจ้าจะบอกว่า ‘อะไรกัน? จนยามนี้ท่านพี่ท่านก็ยังทำไม่เสร็จอีก! มิใช่ท่านรับปากข้าเอาไว้แล้วหรือ? ไยจึงเกียจคร้านกับหลานป้าที่ยังไม่คลอดออกมาเช่นนี้! ท่านรีบกลับไปทำไวๆ’ ข้าอุตส่าห์เตรียมตัวมาขออภัยเจ้าไว้เรียบร้อยแล้ว!”
สาวใช้ที่อยู่รับใช้ใกล้ๆ ต่างพากันยกมือขึ้นมาปิดปากหัวเราะ เว่ยฉางอิ๋งโยนส้มจี๊ดไปในอกนาง “นับวันท่านพี่จะยิ่งร้ายขึ้นแล้ว ข้าเคยเอ่ยคำเช่นนั้นยามใดกัน?” ซ่งไจ้สุ่ยหยิบส้มจี๊ดจากในจีบกระโปรง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อย่างไรเจ้าก็ใกล้จะเป็นแม่คนแล้ว ไม่รู้ว่ารู้จักเอาใจใส่ผู้อื่นและรู้ความขึ้นมาอีกตั้งเท่าใด ก่อนหน้านี้เมื่อข้าเห็นเจ้าก็ปวดหัว แต่เวลานี้กลับไม่เป็นดังนั้นแล้ว ถือเป็นโชคของหลานที่ยังไม่คลอดออกมาของข้าผู้นี้โดยแท้! เขาต้องเป็นคนที่ว่าง่ายช่างเอาใจใส่ เห็นหรือไม่ นี่ยังไม่ทันคลอดออกมาเลย ก็ทำให้ป้าเช่นข้าพลอยได้อานิสงส์ของเขาไปด้วย”
“เห็นชัดว่าตัวท่านพี่ปวดหัวอยู่แต่เดิมอยู่แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดนางไปคำหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางจึงยกผ้าปักที่ซ่งไจ้สุ่ยสอดไว้ใต้กำไลขึ้นมา กล่าวว่า “เอ๋ ท่านพี่ ระยะนี้ท่านเรียนวิธีปักผ้าใหม่อีกแล้วหรือ? ข้าเห็นว่าฝีเข็มนี้ไม่เหมือนที่ท่านใช้อยู่ประจำ ทว่าก็ดูไม่เลวเลย ลายแมวสิงโตไล่ตะครุบฝีเสื้อนี้ดูน่าสนใจนัก เพียงแต่แมวสิงโตตัวนี้… ก็อ้วนเกินไปสักหน่อยกระมัง? เป็นดังนี้แล้วจะไล่ตะครุบผีเสื้อได้ที่ใด ดูไปแล้วยามเดินก็ยังลำบากนักหนาแล้ว นี่ท่านใช้เจ้าเสวี่ยฉิวเป็นตัวแบบใช่หรือไม่?”
ซ่งไจ้สุ่ยกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม กล่าวว่า “เจ้าอย่าดูแค่ว่ามันอ้วน มันกลับคล่องแคล่วยิ่งนัก ปีก่อนที่เจ้าไปเรือนข้าคราแรก ที่เรือนข้ามิใช่ยังมีนกแก้วอยู่หลายตัว?”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “หรือว่าถูกมันกินไปอีกตัวแล้ว?”
“อีกตัวอันใดเล่า? หลังจากตวนมู่อู๋เซ่อกลับบ้านแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ก็ต้องพักรักษาตัว ข้าก็ต้องไปดูแลเรื่องงานในเรือน ไม่ทันสังเกตเพียงคราเดียว ก็ถูกมันกินจนเหลือแค่ตัวเดียวแล้ว!” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยพลางถอนหายใจ “ชุ่ยเย้เอ๋อร์ตัวนั้น ข้าทนให้ถูกมันทำจนเสียขวัญไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่อย่างไร ข้าจึงเอาไปแลกกับผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มา เจ้าเองก็บอกว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ปักได้ไม่เลวเลย ดูไปแล้วกลับกลายเป็นว่าข้าได้กำไรเสียอีก นอกจากจะหาที่หลบภัยจากเจ้าเสวี่ยฉิวให้แก่ชุ่ยเย้เอ๋อร์แล้ว ข้าก็ยังได้ประโยชน์อีกด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำจึงถามว่า “ผ้าผืนนี้มิใช่ท่านพี่ปักเองหรอกหรือ? หรือว่าจะเป็นเติ้งวานวาน?”
“แม้ฝีมือปักผ้าของวานวานจะดี แต่ก็มิใช่ในรูปแบบนี้” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยยิ้มอย่างมีความนัย “จะว่าไปแล้วที่ข้าได้ผ้าเช็ดหน้าปักของคนผู้นี้มา ก็เพราะได้อานิสงส์จากเจ้า”
“เอ๋?”
“หลายวันมานี้ คุณหนูห้าบ้านซูมักไปหาลูกผู้พี่ของนาง ซึ่งก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยเรียบๆ “คุณหนูห้าผู้นี้ทั้งเคารพและกระตือรือร้นกับข้ามาก พี่ซ่งอย่างนั้น พี่ซ่งอย่างนี้… ไปๆ มาๆ ก็คุ้นเคยกันแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยิน ‘ซูเนี่ยนชู’ สามคำนี้ คิ้วนางก็เลิกขึ้นทันใด แล้วสั่งบ่าวซ้ายขวาว่า “พวกเจ้าล้วนออกไปก่อน!” รอจนคนออกไปหมดแล้ว นางจึงเอ่ยเสียงต่ำๆ กับ ซ่งไจ้สุ่ยว่า “ซูเนี่ยนชูผู้นี้เป็นเช่นใด? ไม่ปิดบังท่านพี่ ข้าเองก็เคยเห็นนางคราวหนึ่งในงานวันประสูติขององค์หญิงหลินชวนเพราะลูกผู้พี่หญิงซูชี้ให้ข้าดู แม้แต่พูดจาก็ยังไม่เคยพูดจากันเลย ไม่คิดว่านางกลับจะได้แต่งกับฉางเฟิง!”
ซ่งไจ้สุ่ยบอกว่า “แรกเริ่มนั้นข้าก็ยังนึกว่าเป็นความต้องการของท่านย่าเสียอีก! หลังจากที่นางอาศัยลูกผู้พี่ของนางมารบเร้าให้ข้าช่วยชี้แนะเรื่องต่างๆ ข้าจึงได้รู้ว่าหาเป็นดังนั้นไม่” แล้วนิ่งคิดพักใหญ่จึงว่า “นิสัยนางไม่ใช่คนเลวร้าย หน้าตาก็ไม่เลว งดงามดึงดูดใจคน กริยามารยาทก็ใช้ได้ …เพราะอย่างไรนางก็เป็นพระธิดาขององค์หญิง ทั้งเป็นบุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์นี่! จึงเป็นคนอ่อนโยนนัก ว่ากันด้วยใจจริงนับเป็นคนที่ไม่เลวเลย”
“ท่านก็รู้ถึงสถานการณ์ของฉางเฟิง ท่านว่านางเหมาะสมหรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถาม
ซ่งไจ้สุ่ยคิดสักพักจึงเอ่ยว่า “เรื่องนี้พูดยากจริงๆ มองออกว่าซูเนี่ยนชูผู้นี้ถูกเอาใจอย่างมากยามอยู่ที่บ้าน จึงยากที่จะไม่มีความบอบบางอยู่สักน้อย และมิได้เป็นคนเฉลียวฉลาดมีความสามารถหรือวางแผนได้เก่งกาจ เพียงแต่นางมีข้อดีอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือนางยอมเรียนรู้ยอมปรับปรุง ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะองค์หญิงหลิงเซียนและพระสวามีอยากให้มีการแต่งงานครานี้มากกระมัง? จนยามนี้ก็ไม่รู้ว่านางสามารถเรียนรู้ได้ถึงขั้นใดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ไปส่งพระราชโองการที่เฟิ่งโจวก็ยังไม่กลับมาเลย ก็ไม่รู้เช่นกันว่ายามใดนางจะได้แต่งงาน”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “กลับหาใช่ว่าข้าเรื่องมากกันนาง เพียงแต่…” เสียงนางพลันต่ำลง “อาสะใภ้รองบ้านแม่ข้าก็เสียแล้ว ท่านว่าวันหน้า ระหว่างฉางเฟิงและท่านอารองจะสามารถสงบลงได้อย่างดีหรือ? แม้ท่านอารองจะยอม แต่ลูกผู้พี่ชายบุตรท่านอารองทั้งสองคนก็จะต้องไม่รับปากแน่นอน! คุณหนูมีตระกูลที่ดีงามโดยทั่วๆ ไป จะรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้หรือ?”
“เรื่องนี้จริงๆ แล้วกลับไม่แน่นะ” ซ่งไจ้สุ่ยแย้มยิ้มพลางว่า “อย่างเช่นตัวข้า เพราะแต่เล็กมาก็ถูกหมั้นหมายให้กับท่านผู้นั้น ฉะนั้นท่านย่าจึงอบรมข้าออกมาตามแบบฉบับของมารดาแห่งแผ่นดิน แต่เล็กมาข้าก็ไม่เคยคิดว่าจะสามารถครองคู่ด้วยกันกับสามีเพียงสองคนไปชั่วชีวิต… เพราะท่านย่าสอนสั่งข้าเสมอมา ว่าต้องวางตัวอย่างไรเมื่อต้องพบกับนางสนมทั้งเจ็ดสิบสองคนในสามตำหนักหกเรือน ซึ่งนี่ก็เพราะหวังดีต่อข้า! แต่หากไม่มีคทาหรูอี้หยกประดับทองด้ามนั้น ข้าคิดว่าท่านย่าของข้าก็จะต้องรักใคร่เอาใจข้าเหมือนที่ท่านย่าของเจ้ารักใคร่เจ้าเช่นนั้นแล้ว ถ้าข้าถูกเลี้ยงดูเช่นนั้นมาจนโต ต่อให้ไม่ได้เอาใจยากเหมือนเจ้าเมื่อก่อนนี้ แต่ก็จะต้องไม่ใคร่ใจกว้างคำนึงถึงส่วนรวมเท่าใดแล้ว”
แล้วบอกว่า “หากเจ้าเป็นข้า แล้วถูกท่านย่าอบรมมาอย่างเคร่งครัดจนโต เจ้าก็จะต้องไม่ต่างกับข้าเท่าใดนัก แม้ยามนี้ข้ามิใช่ว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทอันใดอีกแล้ว แต่เขาเจียงซานเปลี่ยนง่ายนิสัยแก้ยาก เมื่อฝึกฝนจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว ดีชั่วอย่างไรก็ต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยว่า “ท่านพี่พูดมีเหตุผล คนที่ดูไปแล้วถูกเอาใจจนเคยตัวในยามสงบปกติ เมื่อถึงยามคับขันแล้วก็ใช่ว่าจะทานเรื่องต่างๆ ไม่ไหวเสมอไป แต่เรื่องนี้ก็เป็นเพียงโอกาสที่อาจเป็นไปได้ วันหน้าซูเนี่ยนชูจะเป็นเช่นใดก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ข้ากลับมีน้องชายแท้ๆ เพียงคนเดียว”
ซ่งไจ้สุ่ยเม้มปาก กล่าวว่า “พวกเราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแท้ๆ เวลานี้ซูเนี่ยนชูผู้นั้นกลับมิใช่คนอื่นคนไกลสำหรับพวกเราแล้ว ข้าหรือจะไม่ช่วยเจ้ากับฉางเฟิง แล้วกลับไปช่วยนาง? แต่เจ้าดูสิ เวลานี้ราชโองการออกลงมาแล้ว มิใช่ว่าข้าไม่ได้ลงมือทำแล้วจะพูดเช่นใดก็ได้ ตัวข้าเองก็รู้สึกลังเลไม่แน่ใจกับเรื่องแต่งงานของข้าก่อนหน้านี้เสียยิ่งนัก แม้ซูเนี่ยนชูมิอาจทัดเทียบคนผู้นั้น แต่ข้าเห็นว่าเด็กสาวคนนี้ร่ำเรียนเรื่องต่างๆ อย่างตั้งอกตั้งใจนัก ไม่ว่าจะเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากบิดามารดามา หรือว่าตัวนางเองก็ชื่นชมในความสามารถด้านอักษรของฉางเฟิงอยู่แล้ว วันหน้ากลับไม่น่าถึงกับทานรับเรื่องต่างๆ ไม่ได้ …เจ้าลองคิดในทางที่ดีสักหน่อย ท่านย่าอาและท่านอาล้วนเป็นคนเก่งกาจ ขอเพียงนางยอมร่ำเรียน แล้วยังกลัวจะสอนนางให้ดีไม่ได้อีกหรือ?”
เมื่อคิดถึงท่านย่าและมารดา เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างอย่างแปลกประหลาด แล้วทอดถอนใจด้วยจิตใจสับสนว้าวุ่น กล่าวว่า “ก่อนข้าออกเรือนก็เป็นกังวลตลอดเวลาว่าตนเองจะต้องได้พบพี่สาวน้องสาวสามีที่ไร้เหตุผล จึงคิดว่าเมื่อตนจะมาเป็นพี่สามีของคนอื่นก็จะต้องเห็นอกเห็นใจนางให้มากสักหน่อย ไม่คิดว่าทั้งพี่สาวและน้องสาวของสามีล้วนดีกับข้านัก กลายเป็นข้าเสียอีกที่ไปเกี่ยงนั่นนี่กับน้องสะใภ้ที่ยังไม่เคยมาล่วงเกินข้าขึ้นมาเสียแล้ว”
“เจ้าหาได้เหมือนกับซูเนี่ยนชู” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ฐานะของฉางเฟิงยังไม่ชัดเจน และคู่ปรับของเขาก็ยังเป็นท่านอาของพวกเจ้าอีกด้วย เมื่อพิจารณาจากลำดับรุ่นและจากอายุแล้วฉางเฟิงล้วนเสียเปรียบอยู่สักหน่อย ฉะนั้นการที่ท่านย่าและท่านอาเลือกภรรยาที่ตัวนางเองสามารถสนับสนุนเขาได้ และตระกูลของนางก็สามารถช่วยเหลือได้อีกแรงก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ไม่เพียงแค่เพื่อตัวฉางเฟิงเอง แต่ยังเพื่อภรรยาและบุตรชายบุตรสาวในวันข้างหน้าของเขาด้วย แต่ก่อนที่เจ้าจะแต่งเข้าบ้านมา เสิ่นย้าวเหยี่ยก็ถูกกำหนดฐานะในตระกูลเอาไว้แน่นอนแล้ว ข้าขอพูดคำไม่น่าฟังสักคำ ที่เจ้าได้มีฐานะในตระกูลเสิ่นเช่นทุกวันนี้ล้วนเป็นเพราะเขาทั้งสิ้น ก็คล้ายกับการโยนหินถามทางของเผยเหม่ยเหนียงเมื่อก่อนนี้ ต่อให้เจ้าเก่งกาจอีกสักเท่าใด ดีชั่วก็เพียงเท่านั้น หรือเจ้าไม่เก่งกาจ ขอเพียงไม่ทำเรื่องผิดพลาดมหันต์ เมื่อเสิ่นย้าวเหยี่ยรับสืบทอดหมิงเพ่งถังแล้ว นายผู้หญิงผู้ดูแลตระกูลเสิ่นก็คือเจ้า ฉะนั้นขอเพียงเจ้าไม่เลอะเลือนเกินไปเป็นใช้ได้แล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งอดถามไม่ได้ว่า “หาได้สบายเช่นท่านพี่เอ่ยที่ใดกัน? ในหมิงเพ่ยถังเองก็มิใช่ว่าเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไปทั้งหมด ซีเหลียงทางนั้น…” นางถอนหายใจ กล่าวว่า “ท่านแม่คอยย้ำเตือนข้าเสมอว่าต้องฉลาดเฉลียวให้มาก อย่าเป็นตัวถ่วงของท่านพี่!”
ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เจ้าดูสิ สิ่งที่นางคิดก็มิใช่เหมือนกับจิตใจเจ้าในวันนี้หรอกหรือ? จะอย่างไรในความเห็นข้า พ่อสามีเจ้าก็ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ทั้งยังมีเซียงหนิงปั๋วคอยสนับสนุน ฐานะของเสิ่นย้าวเหยี่ยจึงมั่นคงนัก! นอกเสียจากเขาทำผิดร้ายแรง หาไม่แล้ว เขาก็ต้องเป็นผู้รับช่วงต่อหมิงเพ่ยถังแน่นอน เมื่อเขารับช่วงต่อ หมิงเพ่ยถังแล้ว หากเจ้าซึ่งเป็นภรรยาเอกไม่เป็นคนดูแลบ้านเรือน แล้วผู้ใดจะดูเล่า? แต่ฮูหยินซูเป็นมารดาของเสิ่นย้าวเหยี่ย ย่อมหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของเสิ่นย้าวเหยี่ยได้สักน้อย สักน้อย และได้อีกสักน้อยจึงจะดี”
แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะบอกว่า ไม่แน่ว่าซูเนี่ยนชูจะไม่ใช่คนที่เหมาะสมกับเว่ยฉางเฟิง แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญชั่วชีวิตของน้องชายเพียงคนเดียวของนาง เว่ยฉางอิ๋งจึงยังคงรู้สึกสับสนร้อนใจ จนใจเหลือที่นอกจากจะเขียนจดหมายไปเฟิ่งโจวแล้ว นางก็ไม่มีหนทางอื่นอีก เวลานี้จึงไม่อยากจะสนทนาในหัวข้อนี้ต่อไปแล้ว พลันเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงเรื่องของตระกูลซ่งขึ้นมา “นับๆ ดู ข้ามาถึงเมืองหลวงก็เกือบหนึ่งปีแล้ว แต่กลับยังไม่เคยพบท่านลุงเลย”
ครั้งนางไปเยี่ยมคารวะที่จวนเสนาบดีตรวจการหลังเพิ่งแต่งงานได้ครบเดือนเมื่อปีก่อน เพราะพอดีไม่ใช่วันหยุด ซ่งอวี่วั่งจึงไปทำงานในวัง ลุงหลานทั้งสองคนจึงคลาดกันด้วยเหตุนี้ ภายหลังเพราะต้องวุ่นวายกันเรื่องนาน าจึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนอีกเรื่อยมา จากนั้นก็มารู้ว่าตนเองตั้งท้อง และต้องเสียเวลามาดูแลครรภ์อีกระยะหนึ่ง เมื่อมาถึงช่วยเทศกาล ครรภ์คงที่ดีแล้ว ก็ควรไปเยี่ยมคารวะได้แล้ว …แต่อาสะใภ้รองฝั่งบ้านแม่ก็ดันมาป่วยจนเสียชีวิตไปอีก
ในเดือนหนึ่งก็ต้องมาไว้ทุกข์เสียแล้ว แน่นอนว่าไม่เหมาะจะไปเยี่ยมเยือนญาติมิตร ทำให้เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ได้พบท่านลุงแท้ๆ เพียงคนเดียวของตนจนถึงบัดนี้ เมื่อนึกขึ้นมาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี หรือว่าควรจะปลงอนิจจังเป็นหมื่นเป็นพันเท่าดี
ซ่งไจ้สุ่ยบอกว่า “ดีชั่วเวลานี้เจ้าก็อยู่ในเมืองหลวงแล้ว วันหน้าจะต้องมีวันได้พบแน่นอน ไม่ต้องว่ากันเรื่องอื่น สุรามงคลยามหลานชายตัวน้อยของข้าลืมตาดูโลก อย่างไรท่านพ่อก็ต้องมาดื่ม ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องมาเยี่ยมแน่นอน”
ในเมื่อเอ่ยถึงซ่งอวี่วั่ง เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามถึงนางฮั่วขึ้นมา “เวลานี้พี่สะใภ้ใหญ่หายแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”
“จะว่าไปก็ยังไม่หายดีทั้งหมด นางยังคงให้ข้าดูแลงานบ้านบางเรื่อง แต่นางก็ลุกเดินได้แล้ว และเริ่มมาจัดการงานบ้านบ้างแล้ว” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยไปอย่างราบเรียบ “นางเป็นคนฉลาด ยามอยู่ด้วยกลับวางใจนัก”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วว่า “นั่นเพราะท่านพี่เป็นคนฉลาด หากเป็นข้าแล้วต้องมาอยู่กับพี่สะใภ้เช่นนี้เข้าคงต้องปวดหัวนักหนา”
ซ่งไจ้สุ่ยแย้มยิ้มแล้วว่า “หากเจ้ามีพี่ชายร่วมมารดา และแต่งกับพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าผู้นี้ นางจะต้องรักเจ้าเหมือนกับน้องสาวแท้ๆ! ต่อให้ไม่มีท่านย่าและท่านอา นางก็ต้องทำเช่นนี้”
“ในเมื่อลูกผู้พี่รองหย่าร้างกับตวนมู่อู๋เซ่อแล้ว เวลานี้มีตัวเลือกที่เหมาะสมแล้วหรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งคิดถึงว่าอาสะใภ้เสียไปแต่ยังสาว ก่อนหน้านี้ซ่งไจ้สุ่ยก็เคยทอดถอนใจหลายหนว่าไม่มีแม่แท้ๆ คอยดูแลปกป้อง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอีกแล้ว
เพิ่งจะสิ้นเสียง ก็เห็นซ่งไจ้สุ่ยยิ้มออกมาด้วยท่าทียากคาดเดา แล้วกล่าวว่า “เจ้าทายดูสิ?”
__________________________