ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 172-1 ไร้มารดาปกป้อง?
ในระหว่างที่เว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยกำลังสนทนาสัพเพเหระกันอยู่นั้น ในเรือนหลังแสนเปล่าเปลี่ยวของจวนเว่ย ยามลมพัดมา ผ้าสีขาวที่ยังปลดออกไม่หมดก็เริงระบำอยู่กับหิมะที่ปลิดปลิว ยิ่งเพิ่มเติมความเย็นยะเยือกและเงียบเหงาเข้าไปอีก
คุณหนูเจ็ดเว่ยฉางเจวียนยืนเพียงลำพังอยู่กลางลานบ้านใต้ต้นเหม่ยที่ผลิดอกสีแดงดังเลือดต้นหนึ่ง ในมือกำกิ่งเหม่ยที่มีหิมะเกาะอยู่กิ่งหนึ่งด้วยท่าทีเลื่อนลอย นางคิดไปด้วยใจคอห่อเหี่ยวว่า “ในช่วงเวลานี้ของปีก่อนๆ ท่านแม่ล้วนสั่งคนให้ไปรวบรวมหิมะที่อยู่บนดอกเหมยมาใส่ไว้ในโถ หลังเขาฤดูใบไม้ผลิก็จะนำมาต้มชงชา จำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่ง พี่หญิงใหญ่ไปเห็นวิธีทำ ‘ขนมดอกเหม่ย’ จากในหนังสือยังพากันไปเก็บดอกเหมยมาทำคราวหนึ่ง …ขนมดอกเหม่ยที่ทำในครานั้นไม่อร่อยเลยสักนิด แต่เพื่อรักษาหน้าตา พี่หญิงใหญ่ก็ฝืนกินไปตั้งหลายชิ้น ปรากฏว่าเกิดท้องเสียขึ้นมากลางดึก ยังถูกข้าหัวเราะเยาะเอาเสียตั้งหลายวัน…”
เมื่อถืออยู่นานๆ เข้า หิมะบนกิ่งเหม่ยก็ค่อยๆ ละลายไป ความเย็นแทรกซึมเข้าไปในฝ่ามือ ผ่านชีพจร และตรงเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
“แต่ยามนี้ท่านแม่สิ้นแล้ว พี่หญิงใหญ่ก็เปลี่ยนไปแล้ว พี่ชายทั้งสองก็เช่นกัน…” เว่ยฉางเจวียนก้มหน้าลงด้วยความเศร้าเสียใจ “พวกเขาล้วนบอกว่าเป็นข้าทำให้ท่านแม่ตาย แต่ข้าจะคิดว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ได้ที่ใด? ข้าก็เพียงอยากช่วยท่านพ่อ …และขัดตาเว่ยฉางอิ๋งนัก ไปหาความนางสองหน ก็เพียงแค่พูดจาเล็กๆ น้อยๆ …เหตุใดจึง…ไม่เพียงแค่ตัวข้าเองต้องถูกท่านพ่อเฆี่ยนตีอย่างหนักยกหนึ่ง แม้แต่ท่านแม่ก็…”
น้ำตาหยดโตๆ ไหลลงมาจากดวงตาของนาง รินไหลลงกระทบกับกิ่งเหมย “เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ต่อให้ข้าไม่เคารพพี่สาว แต่ตีข้าสักยกหนึ่งก็พอแล้ว เหตุใดต้องบีบให้แม่ข้าตาย?”
“ท่านย่าใจดำอำมหิตนัก!” เว่ยฉางเจวียนขบริมฝีปากแน่นไม่ยอมสะอื้นให้มีเสียง “พี่ชายและพี่หญิงล้วนเกรงกลัวกันหมดแล้ว เหตุใดท่านย่าจึงต้องให้ท่านแม่ตายด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้! ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นทางท่านตาส่งคนมาบอก ที่แท้แล้วท่านตาเป็นคนบอกเองว่าให้ท่านแม่ตาย …ก็เพราะท่านพ่อเป็นบุตรของอนุ ท่านย่าจึงได้ร้ายกาจกับบ้านเราเช่นนี้! ใต้หล้านี้ไยมีนังแก่ที่ชั่วช้าเพียงนี้! แล้วนางยังเป็นย่าของพวกเราด้วย แม้แต่ท่านพ่อก็ต้องเรียกนางคำหนึ่งว่า ‘ท่านแม่’ ! นังแก่นี่ก็อายุปูนนี้แล้ว เหตุใดไม่ตายๆ ไปก่อนแม่ข้าเสียเล่า?”
“นางไม่ยอมตายเสียที แต่กลับมาทำร้ายแม่ข้าจนตาย!” เว่ยฉางเจวียนยกข้อมือขึ้นเอามาไว้ที่ริมฝีปาก อ้าปากแล้วขบกัดไปอย่างแรง น้ำตาร้อนๆ ยังคงไหลลงมาบนหลังมือและแขนเสื้อ นางออกแรงอดกลั้นความรู้สึกอยากร้องไห้ฟูมฟาย แล้วคิดไปอย่างโศกเศร้าว่า “เวลานี้พี่สะใภ้ทั้งสองคนเป็นคนดูแลบ้าน แม้ยังไม่เริ่มมีท่าทีไม่ดีต่อข้า แต่ก็เห็นชัดว่าไม่ได้เอาใจข้าเหมือนก่อน พี่ชายพี่สาวล้วนคิดว่าข้าเป็นคนทำให้ท่านแม่ตาย ส่วนท่านพ่อพักนี้ก็เย็นชากับข้านัก… คราก่อนข้าไปหาเขาที่ห้องหนังสือ เข้ากลับไม่แม้จะเงยหน้ามองแล้วก็สั่งให้ข้ากลับเรือนหลังไป ทั้งยังบอกข้าว่าวันหน้าหากไม่มีเรื่องใดล้วนไม่ต้องเข้าไปในห้องหนังสือแล้ว …แล้วเวลานี้ข้าจะมาร้องไห้ให้ผู้ใดดูอีกเล่า? ท่านแม่ก็จากไปแล้ว”
นางยืนอยู่ใต้ต้นเหมยที่นางตวนมู่โปรดปรานที่สุดอยู่เช่นนี้ไม่รู้ว่านานเท่าใด รู้สึกแต่ว่าทั้งตัวและในหัวใจล้วนเต็มไปด้วยน้ำแข็งหนาวเหน็บ จึงคิดไปอย่างกลัดกลุ้มว่า “อย่างไรข้าก็ควรกลับเข้าไปในห้องก่อนดีกว่า มายืนอยู่ที่นี่เนิ่นนานแล้ว พวกสาวใช้ก็ไม่มีสักคนมาเตือนให้ข้ากลับไป หรือให้ข้าสวมเสื้อกันลมอีกตัว ครั้งท่านแม่ยังอยู่ ต่อให้พวกนางมีความกล้าอีกสิบเท่า แล้วจะกล้าเลินเล่อเช่นนี้ที่ใด?”
เว่ยฉางเจวียนก้าวเท้าหันตัวไป ไม่นึกว่าตนยืนอยู่ใต้ต้นไม้นานเกินไป ขานางล้วนแข็งจนไม่มีความรู้สึก พอหันตัวกลับมาจึงเกือบจะล้มลง …นางเผลอร้องออกไปคำหนึ่ง ตามองเห็นว่าตนเองกำลังจะหกล้มไปบนพื้นหินครามที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งแข็งๆ หางตากลับเหลือบไปเห็นร่างร่างหนึ่งโฉบเข้ามาไปอย่างรวดเร็ว แล้วดึงแขนนางเอาไว้อย่างมั่นคง ในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงแสนหวานอ่อนโยนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมาข้างบนหัวนาง “น้องเว่ยเจ็ด เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“…พี่หมิ่น!” เว่ยฉางเจวียนเงยหน้าขึ้นมา มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย นางไม่นับว่างดงามนัก ทว่ามีความสง่างามสูงส่ง เวลานี้ใบหน้าที่ต่อให้พูดอย่างเอาใจก็บอกได้เพียงว่าดูหมดจดสดใสนี้ กลับมีแต่ความร้อนใจเป็นห่วงที่ช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน เว่ยฉางเจวียนพลันปวดร้าวใจขึ้นมาแล้วพึมพำออกมาคำหนึ่ง เมื่อหมิ่นอีนั่วพูดสิ่งใดต่อไปนางล้วนไม่มีแก่ใจฟัง พลันพุ่งตัวเข้าไปในอกสหายสนิทผู้นี้แล้วร้องไห้โฮออกมา!
เนิ่นนานจากนั้น หมิ่นอีนั่วจึงปลอบนางเอาไว้ได้ เวลานี้เว่ยฉางเจวียนจึงเพิ่งพบว่า ไม่รู้ตนเองถูกประคองเข้ามาในห้องยามใด ในห้องเผาไส้เดือนดิน อบอุ่นนัก บนโต๊ะมีดอกดารารัตน์มาเปลี่ยนใหม่ โชยกลิ่นหอมหวนออกมา
ดอกดารารัตน์ รวมทั้งผลไม้และการตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวนี้ ก่อนเว่ยฉางเจวียนออกไปยังไม่มีมาก่อน เมื่อมาเห็นในเวลานี้ เว่ยฉางเจวียนจึงขบริมฝีปากอย่างไม่ทันรู้ตัว เดาว่าต้องเป็นเพราะพี่สะใภ้ทั้งสองคนเห็นว่าหมิ่นอีนั่วมาเยี่ยม จึงรีบส่งเข้ามาให้เพื่อเป็นการแสดงว่าพวกนางมิได้ไม่ดีต่อตนเองซึ่งเป็นน้องสามีผู้นี้… ความจริงก็เป็นเพราะพี่สะใภ้ทั้งสองคนระมัดระวังเกินไป เวลานี้ตนเองไม่ได้รับความรักเอาใจใส่จากบิดาและพี่ชาย แม้แต่พี่สาวคนโตที่ก่อนนี้รักตนมากที่สุดก็ยังมาเกลียดตนเสียแล้ว แม้หมิ่นอีนั่วจะช่วยนางพูด แต่นางจะสามารถไปจัดการนางหมิ่นและนางโจวได้หรือ?
เมื่อเห็นนางจ้องดอกดารารัตน์อย่างตกตะลึง หมิ่นอีนั่วร้องเรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไปสองหนก็ยังไม่เห็นนางตอบมา จึงอดจะถอนใจเบาๆ ไม่ได้
แต่เสียงถอนใจนี้กลับทำให้เว่ยฉางเจวียนได้สติกลับมา นางหันเหสายตาออก เอ่ยเสียงต่ำว่า “วันนี้ …ขอบคุณพี่หมิ่นมากที่มาเยี่ยมข้า”
“น้องหญิงไยพูดเช่นนี้? ระหว่างเราเคยต้องเกรงใจกันเช่นนี้แต่ยามใด?” หมิ่นอีนั่วสั่งให้คนนำกล่องอาหารเข้ามา บอกว่า “ข้ารู้ว่าที่เรือนเจ้าไม่ขาดเหลือสิ่งใด ต่อให้เป็นของเล่นบางอย่างที่เฉพาะปีใหม่ถึงจะได้มา ก็คิดว่าเวลานี้เจ้าคงไม่มีแก่ใจดู จึงให้ห้องครัวทำขนมมาสองสามอย่าง เจ้าวางใจได้ ล้วนเป็นของเจทั้งนั้น”
เว่ยฉางเจวียนได้ยินคำว่า “ต่อให้เป็นของเล่นบางอย่างที่เฉพาะปีใหม่ถึงจะได้มา” ก็อดคิดถึงสมัยก่อนครั้งนางตวนมู่ยังอยู่ไม่ได้ ว่าตนเองเคยอยู่ภายใต้การปกป้องดูแลของมารดา ได้ทำตามใจ ยิ้มแย้มแจ่มใจอย่างเป็นสุข ครานั้น หลังปีใหม่ บรรดาคุณหนูมีตระกูลก็เริ่มไปมาหาสู่กันอีกครั้ง ตนเองไปพบเห็นของแปลกใหม่อันใดจากเรือนผู้อื่นก็มักจะกลับมาอ้อนขอกับนางตวนมู่ มีเพียงของที่เรือนของหมิ่นอีนั่วและหลิวรั่วเหยีย ที่ไม่ต้องมาขอกับนางตวนมู่ เพราะสหายสนิททั้งสองคนนี้เป็นคนละเอียดอ่อนยิ่งนัก และยังใจกว้างมากด้วย
เพียงนางกวาดตาไปแล้วหยุดอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ทั้งสองคนก็จะเป็นฝ่ายมอบของนั้นให้นางแล้ว…
แต่เวลานี้ก็เป็นดังคำของหมิ่นอีนั่ว ต่อให้มอบของที่แปลกประหลาดล้ำค่าที่สุดในใต้หล้าแก่นาง นางก็ไม่สนใจเล่นอีกแล้ว
เว่ยฉางเจวียนฝืนยิ้มออกมา เอ่ยเสียงหนักว่า “ต้องลำบากพี่หมิ่นแล้ว ที่จริง…ที่จริงแล้วสองวันมานี้ข้าทานของในบ้านไม่ค่อยลง ท่านพี่นำของว่างมา พอดีให้ข้าได้เปลี่ยนรสชาติบ้าง”
พอได้ยินคำหมิ่นอีนั่วรีบเรียกให้คนเอากล่องอาหารส่งให้คนข้างกายเว่ยฉางเจวียน “แม้จะเอาปุยนุ่นหุ้มมาตลอดทาง และในรถก็มีเตาถ่าน แต่เวลานี้อากาศหนาวเย็น ถือจากหน้าประตูมาจนถึงที่นี่คิดว่าคงเย็นแล้ว อย่างไรก็เรียกคนเอาไปอุ่นสักหน่อยเจ้าค่อยกิน เพื่อมิให้ป่วยเอาได้”
คำพูดจาเป็นห่วงเป็นไยนี้ทำให้เว่ยฉางเจวียนต้องเศร้าเสียใจอีกหนหนึ่ง นับแต่นางตวนมู่เสียไป นางเคยได้ยินถ้อยคำเป็นห่วงเป็นไยเช่นนี้อีกยามใดกัน?
เมื่อคิดว่าพอมารดาเสียไปแล้ว ฐานะของตนก็ตกต่ำลงมานับพันจั้ง เว่ยฉางเจวียนก็อดจะร้องไห้ออกมาไม่ได้
เห็นดังนี้ หมิ่นอีนั่วย่อมต้องปลอบโยนนาง …เว่ยฉางเจวียนสะอึกสะอื้นอยู่เนิ่นนาน ไม่อาจไม่มาระบายกับนางได้ จึงสั่งให้บ่าวออกไป เมื่อมีเพียงสองคนอยู่ในห้องตามลำพัง เว่ยฉางเจวียนจึงสะอื้นไห้บอกว่าหลังจากมารดาเสียไป ท่าทีของทั้งพี่ชายและบิดาที่มีต่อตนล้วนเปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อพูดถึงเรื่องปวดใจเว่ยฉางเจวียนยิ่งส่งเสียงสะอื้นไห้ออกมา!
——————————