ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 172-2 ไร้มารดาปกป้อง?
หมิ่นอีนั่วอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ทางหนึ่งก็ส่งผ้าเช็ดหน้าของตนไปเช็ดหน้าให้นาง อีกทางหนึ่งก็เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านน้าสิบห้าเป็นมารดาแท้ๆ ของน้องหญิง เมื่อท่านน้าล้มป่วยจนเสียไป น้องหญิงก็ต้องเสียใจใจแทบขาด แล้วเหตุใดท่านน้าเขยสิบห้าและลูกผู้พี่ชายบ้านเว่ยทั้งสอง และพี่หญิงใหญ่เว่ยล้วนมาโทษน้องหญิงเสียเล่า?” บิดาของหมิ่นอีนั่วคือบุตรหลานในสายห่างไกลของตระกูลหมิ่นแห่งฉวีอิน แต่มารดาของนางกลับเป็นบุตรสาวในสายหลักของตระกูลตวนมู่ เป็นลูกพี่ลูกน้องที่ไม่นับว่าห่างนักของนางตวนมู่มารดาของเว่ยฉางเจวียน ฉะนั้น หมิ่นอีนั่วและเว่ยฉางเจวียนจึงเรียกขานมารดาของแต่ละคนว่าท่านน้าและท่านป้า
ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่หมิ่นอีนั่วและเว่ยฉางเจวียนสนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กจนกลายมาเป็นสหายสนิทกันในบรรดาคุณหนูมีตระกูลทั้งหลาย
เว่ยฉางเจวียนเกือบจะระบายเรื่องความชั่วร้ายของท่านย่าออกมาแล้ว ทว่าในช่วงเวลาสำคัญ เพราะท่าทีและคำเตือนอันแข็งกร้าวของเว่ยฉางหว่านทำให้นางหวาดกลัวนัก สักพักหนึ่งนางจึงหาข้ออ้างอื่นไปว่า “วันนั้นจู่ๆ ข้าก็อยากกินขนมข้าวเหนียวตำไส้ถั่วเหอเถา[1] หลังจากห้องครัวทำเสร็จแล้ว ข้าก็นำไปมอบให้ท่านแม่ ตอนนั้นเพราะท่านแม่ยุ่งวุ่นวายติดต่อกันหลายวัน ไม่ใคร่อยากอาหาร กินของเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ไม่ใคร่อยากกินของอื่นอีก แต่เพื่อมิให้ข้าผิดหวัง จึงยังกินให้ข้า …จากนั้นก็…”
หมิ่นอีนั่วตกตะลึง แต่เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนมีท่าทีสลดหดหู่ จึงถอนใจคราวหนึ่งแล้วปลอบว่า “ที่แท้เรื่องเป็นเช่นนี้เองหรือ? แต่นี่ก็ไม่อาจโทษเจ้าได้ทั้งหมด ก็ห้องครัวทำของที่เจ้าชอบกินเสร็จแล้ว และเจ้าก็รักเคารพท่านน้าสิบห้ายิ่งนัก จึงทำไปเพราะกตัญญูกับท่านน้า หากเจ้ารู้แต่แรกว่าท่านน้าไม่ควรกินขนมข้าวเหนียวตำ แล้วเจ้าจะบังคับให้ท่านน้ากินหรือ? จะว่าไปแล้วนี่ล้วนเป็นเพราะความบังเอิญ”
“แต่ข้าคิดว่า ความจริงแล้วเป็นเพราะข้าท่านแม่ถึงได้…” เว่ยฉางเจวียนพึมพำ “แต่ข้าไม่เคยต้องการจะทำร้ายท่านแม่เลย ไม่เคยเลยจริงๆ… เหตุใดพวกพี่ชายและพี่หญิงใหญ่ไม่เชื่อข้า?”
น้องเว่ยเจ็ด เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้” เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนคล้ายจะเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว หมิ่นอีนั่วก็ใจอ่อน รีบระงับนางเอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจเป็นเพราะ ลูกผู้พี่เว่ยทั้งสองและพี่หญิงใหญ่กำลังเศร้าเสียใจจึงต่อว่าเจ้าไปสองสามคำ ผ่านไปสักระยะ พอสงบลงแล้วย่อมรู้ว่าไม่อาจมาโทษเจ้าทั้งหมด ถึงยามนั้นก็ต้องเสียใจและหันมาชี้แจ้งกับเจ้าแน่ๆ เจ้าอย่าเก็บเอาเรื่องเหล่านี้ฝังไว้ในใจโดยเด็ดขาด!”
พูดแล้วพูดอีกไปดังนี้ ที่สุดก็ปลอบเว่ยฉางเจวียนจนสงบลงได้ …เว่ยฉางเจวียนเช็ดน้ำตา แล้วเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจว่า “ขอบคุณพี่หมิ่นท่านจริงๆ ในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ และบ้านข้าก็เป็นดังนี้ …ท่านยังมาเยี่ยมข้าที่บ้านอีก”
“ข้าเข้ามาทางประตูเล็ก ไม่ได้บอกกล่าวผู้ใด” หมิ่นอีนั่วขบริมฝีปากล่าง พึมพำไปว่า “มีเรื่องหนึ่งไม่รู้ว่าเวลานี้ควรจะบอกเจ้าดีหรือไม่…”
แม้เวลานี้อารมณ์ของเว่ยฉางเจวียนจะไม่ได้รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ยังคงซึมๆ เศร้าๆ อยู่บ้าง ยังคงตอบสนองได้ช้ามาก ไม่ได้สนใจคำพูดสองประโยคนี้ของหมิ่นอีนั่วสักเท่าใด นางดื่มชาไปคำหนึ่งให้ชุ่มคอ แล้วระบายเรื่องที่อยู่เต็มอกออกมาว่า “หลังจากท่านแม่เสียไปแล้ว นอกจากคนที่มาไว้อาลัย ท่านพี่เป็นคนเดียวที่มาเยี่ยมข้าโดยไม่กลัวข้อห้ามต่างๆ ข้าจะจดจำท่านพี่ไปชั่วชีวิต!”
หมิ่นอีนั่วได้ยินคำพลันนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน แล้วกลับบอกว่า “ก็มิใช่มีข้าเพียงคนเดียวหรอก เพียงแต่มีคนที่เข้ามาไม่ได้เท่านั้น”
“หา?” เว่ยฉางเจวียนตกตะลึง จากนั้นจึงกระโดดโหยงขึ้นมา เอ่ยถามพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “เป็นผู้ใด? ใช่เว่ยฉางอิ๋งหรือไม่?! นี่นางยังมีหน้ามาอีกรึ!?” นางคิดว่าเวลานี้เว่ยฉางอิ๋งจะต้องกำลังได้อกได้ใจเป็นนักหนา ไม่แน่ว่าอาจอ้างว่าจะมาเยี่ยม เพื่อมาดูเรื่องน่าขันของบ้านตนก็เป็นได้! เพียงแต่คนในบ้านนี้ไม่มีคนอยากพบนางจึงปฏิเสธนางเสีย
“เจ้าหมายถึงฮูหยินเว่ยหรือ?” หมิ่นอีนั่วนิ่งอึ้งไปสักพัก จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “น้องหญิงโปรดระวังคำ! ไม่ว่าจะพูดอย่างไรฮูหยินเว่ยก็เป็นลูกผู้พี่แท้ๆ ของเจ้า ไปเรียกขานชื่อนางตรงๆ เช่นนี้ หากอยู่ต่อหน้าข้าก็แล้วไป แต่หากแพร่งพรายออกไป จะถูกคนต่อว่าว่าเจ้าไม่เคารพต่อลูกผู้พี่!”
เว่ยฉางเจวียนเอ่ยด้วยใบหน้าเต็มที่ไปด้วยความเคืองแค้น “ข้าไม่เคารพนาง…ข้า…ข้าแทบจะ…”
หมิ่นอีนั่วไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงเคียดแค้นเว่ยฉางอิ๋งเพียงนี้ นางพยายามเตือนด้วยความอดทนว่า “บางที ฮูหยินเว่ยอาจเคยล่วงเกินน้องเจ็ดมาก่อน แต่ว่ากันว่าประสานรอยร้าวดีกว่าปล่อยให้ร้าวลึก แล้วประสาอะไรที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน? หากนับกันเรื่องลำดับญาติ นางเป็นพี่ส่วนเจ้าเป็นน้อง เจ้าไม่ถูกกับนาง คนที่เสียเปรียบก็ย่อมต้องเป็นเจ้า”
คำพูดเช่นนี้ เว่ยฉางเจวียนฟังแล้วก็มีแต่จะรู้สึกว่าทิ่มแทงใจ จะฟังเข้าไปในหัวใจได้ที่ใด?
นางค่อยๆ นั่งลงแล้วพูด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ ว่า “พี่หมิ่น ท่านไม่ทราบ …หากสามารถตายพร้อมกับเว่ยฉางอิ๋งได้ ข้าก็ยินยอมพร้อมใจจะสละชีวิตนี้!”
หมิ่นอีนั่วตื่นตกใจ รีบชี้นิ้วไปทาบริมฝีปากนาง เป็นการบอกว่าให้นางเสียงเบา “น้องหญิง อย่าทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้! เวลานี้ฮูหยินเว่ยกำลังตั้งครรภ์ เจ้าเอ่ยคำเช่นนี้ หากให้ตระกูลเสิ่นรู้เข้า จะต้องไม่ยอมปล่อยเจ้าไว้แน่!”
“ข้าจะบอกแต่เพียงท่านพี่” เว่ยฉางเจวียนหลับตาลง เอ่ยเสียงอ่อนๆ ว่า “เวลานี้นอกจากข้าจะบอกกับท่านพี่แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่พูดด้วยได้อีกแล้ว”
หมิ่นอีนั่วไม่อยากให้นางด่าทอลูกผู้พี่ต่อไป จึงเปลี่ยนเรื่องเสีย “ผู้ที่ข้าบอกว่าอยากมาหาเจ้าแต่เข้ามาไม่ได้ ก็คือ หลิวรั่วเหยีย”
“เป็นนางรึ?” เว่ยฉางเจวียนสะดุ้ง จากนั้นก็มีสีหน้าสับสนออกมา …นางล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับหลิวรั่วเหยียและหมิ่นอีนั่ว หากจะบอกว่าสนิทสนม ความจริงแล้วก่อนนี้นางก็สนิทสนิมกับหลิวรั่วเหยียมากกว่าสักหน่อย เพราะอย่างไรก็ดีหมิ่นอีนั่วก็โตกว่านางหลายปี นอกจากพอดีว่าหลิวรั่วเหยียมีอายุไล่เลี่ยกับนางแล้ว หมิ่นอีนั่วก็มักถูกองค์หญิงหลินชวนเรียกตัวไปสนทนาเรื่องการเขียนอักษรและวาดภาพแบบดานชิงอยู่บ่อยครั้ง
ทว่านับแต่เรื่องที่จวนรุ่นอ๋อง เว่ยฉางเจวียนกลับถูกตักเตือนทั้งยังบอกตรงๆ ว่า หลิวรั่วเหยียคอยหลอกใช้นางเรื่อยมา
แม้เว่ยฉางเจวียนจะไม่ใคร่เชื่อฟังคำของเว่ยฉางหว่านเท่าใด เพราะไม่ว่าจะเรื่องที่นางหาเรื่องเว่ยฉางอิ๋งครั้งซูอวี๋ลี่ออกเรือนเมื่อคราวก่อน หรือว่าภายหลังที่นางไปฟ้ององค์หญิงชิงซิน หลิวรั่วเหยียก็ล้วนบอกนางถึงผลที่จะตามอย่างชัดเจนซ้ำแล้วซ้ำอีก เพียงแต่เว่ยฉางเจวียนยิ่งฟังนางว่าเช่นนี้ ก็ยิ่งพลุ่งพล่านเป็นไฟ …ฉะนั้นนางจึงรู้สึกว่าไม่แน่ว่าหลิวรั่วเหยียไม่มีเจตนาดีกับตน เพียงแต่ครานั้นตนเองดื้อรันเอาแต่ใจเกินไป ไม่ยอมเชื่อฟังคำเตือนของนาง
ส่วนหลิวรั่วเหยียก็ตนรบเร้าไม่ไหว จึงไม่อาจไม่ช่วยตนออกความเห็น
พูดไปพูดมา ความรับผิดชอบที่แท้จริงก็ยังอยู่ที่ตัวนางเอง เพราะอย่างไรในความรู้สึกของเว่ยฉางเจวียน แต่ไรมาไม่มีแม้สักหนที่หลิวรั่วเหยียจงใจยุยงตน ทุกครั้งล้วนเป็นหลิวรั่วเหยียต้องห้ามปรามตนเองอย่างปากเปียกปากแฉะแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้….
แต่หากหลิวรั่วเหยียเป็นดังเช่นหมิ่นอีนั่วที่ไม่ว่าตนจะรบเร้าเช่นใดก็มีแต่จะปรามให้ทำการด้วยเหตุด้วยผล อย่างไรก็ไม่ยอมออกความเห็นเหล่านั้นกับตน … บางที …บางทีวันนี้ท่านแม่อาจยังมีชีวิตอยู่?
ใจนางเต็มไปด้วยอารมณ์สับสนยากเอ่ย จู่ๆ เว่ยฉางเจวียนก็ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดดี? เนิ่นนานต่อมาจึงบอกว่า “เหตุใดนาง… นางจึงเข้ามาไม่ได้เล่า?”
____________________
[1] ถั่วเหอเถา คือ ลูกวอลนัท