ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 174 แผนการเพื่อชีวิต (1)
….ตามหลักแล้วหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจในการดูแลบ้าน คู่สะใภ้โดยส่วนมากมักเกิดความบาดหมางต่อกัน มีบางบ้านแม้ว่าแม่สามียังไม่เสีย แค่เพียงมอบอำนาจลงมาให้ พวกสะใภ้ก็จะต้องทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมาแล้ว ส่วนบ้านสองตระกูลเว่ยที่แม่สามีมาตายลงอย่างฉับพลันเช่นนี้ ทั้งยังไม่ได้ชี้ชัดว่าจะให้สะใภ้คนใดเป็นคนปกครองบ้าน แม้ว่าสะใภ้ใหญ่จะมีสิทธิ์มากกว่า แต่ก็ไม่อาจบอกว่าจะไม่ยอมให้สะใภ้รองเข้ามามีส่วนร่วมเลยแม้แต่น้อย จึงต้องเกิดความขัดแย้งกันขึ้นอย่างขาดไม่ได้
แต่นางหมิ่นและนางโจวคู่สะใภ้คูนี้กลับปรองดองกันเสียยิ่งนัก ประหนึ่งเป็นพี่สาวน้องสาวแท้ๆ …ซึ่งเรื่องนี้ก็มีสาเหตุ
พวกนางล้วนเป็นหลานสะใภ้ที่แม่เฒ่าซ่งเลือกมาให้หลานชาย ล้วนเป็นคนอ่อนโยนสงบเสงี่ยม พื้นนิสัยเดิมก็ไม่ชอบหาเรื่องหาราวอยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อพบเจอกับเรื่องใดหากอดทนได้ก็จะอดทน
ตามหลักแล้วสะใภ้ที่เป็นเช่นนี้ทั้งยังไปแต่งงานกับตระกูลสูงศักดิ์ซึ่งเคร่งครัดเรื่องจารีตธรรมเนียมยิ่งนัก ต่อให้ไม่อาจทำให้แม่สามีพึงพอใจ และปฏิบัติต่อนางประหนึ่งบุตรสาวแท้ๆ ได้ แต่ก็จะไม่ถูกชิงชังรังเกียจ
แต่แล้วเพราะแม่เฒ่าซ่งเป็นเหตุ นางตวนมู่จึงคอยระวังสะใภ้ทั้งสองคนเหมือนระวังโจรเสมอมา …เรื่องอื่นยังไม่ว่า ลำพังเรื่องของนางหมิ่นซึ่งเป็นสะใภ้ใหญ่บ้านสองที่แต่งเข้าบ้านมาได้เจ็ดแปดปีแล้ว คุณชายใหญ่เว่ย เว่ยฉางซวี่แก่กว่าเว่ยฉางอวิ๋นเพียงสองปีเท่านั้น เวลานี้ก็มีบุตรชายจากภรรยาเอกสองคนแล้ว ทว่าแม้แต่บุตรสาวสักคนนางหมิ่นก็ยังไร้ความหวัง กลับเป็นอนุของเว่ยฉางอวิ๋นเสียอีกที่มีบุตรชายและบุตรสาวคู่หนึ่งแล้ว!
นางโจวแต่งเข้าบ้านมาหลังนางหมิ่นสองปีก็มีโชคชะตาไม่แตกต่างจากนางหมิ่น อนุของเว่ยฉางซุ่ยให้บุตรสาวแก่นางคนหนึ่ง แม้ยังไม่มีบุตรชายจากอนุ แต่ตัวนางโจวเองไม่ว่าจะกินยาบำรุง ไม่ว่าจะทนใช้เคล็ดลับต่างๆ นานาอย่างยากลำบากก็ยังไร้ผล
หากพวกนางไม่รู้เรื่องใดเลยก็ยังแล้วไป อย่างมากก็เพียงแค่ทอดถอนใจสักคำว่าตนเองไร้วาสนาเรื่องบุตรธิดา …ซึ่งเป็นเรื่องชั่วชีวิตก็มีไม่ได้ วิงวอนขอไม่ได้ แต่สองสามปีก่อน ครั้งเว่ยฉางอิ๋งยังไม่ออกเรือนและหวงเฉี่ยนซิ่วยังไม่กลับไปเป็นบ่าวติดตามที่เฟิ่งโจว มารดาของนางหมิ่นสงสารบุตรสาว จึงเอาทรัพย์สิ้นส่วนตัวแอบไปขอร้องหวงเฉี่ยนซิ่วให้ช่วยตรวจวินิจฉัยให้แก่บุตรสาวตนสักหน่อย ดูว่ามีนางหมิ่นมีที่ใดที่ทำให้มีบุตรยาก และสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่?
หวงเฉี่ยนซิ่วกลับวินิจฉัยออกมาว่านางหมิ่นถูกวางยาให้เป็นหมัน ยิ่งไปกว่านั้นถูกวางยาติดต่อกันมาหลายปี นางจึงไม่มีทางมีบุตรของตนเองได้อีกแล้ว …สำหรับนางหมิ่นและมารดาของนางแล้ว ข่าวนี้ย่อมเป็นฟ้าฟาดลงมากลางวันแสกๆ!
ด้วยเหตุที่หวงเฉี่ยนซิ่วเป็นคนของแม่เฒ่าซ่ง มารดาของนางหมิ่นจึงยังคิดว่าที่นางพูดเช่นนี้ก็เพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างบุตรสาวของตนและแม่สามี จึงจัดการให้นางหมิ่นไปตรวจอาการกับแพทย์หลวงอย่างลับๆ อีกหน ปรากฏว่าแพทย์หลวงที่รับทองไปจำนวนมากและสัญญาว่าแม้ตายก็จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปแม้แต่น้อยก็ให้ข้อสรุปเหมือนกับที่หวงเฉี่ยนซิ่วพูดออกมาทุกประการ ทั้งยังเตือนนางหมิ่นด้วยความหวังดีว่าให้รีบรับเลี้ยงดูบุตรชายของอนุเสีย เลี้ยงดูเขาให้ใกล้ชิดสักหน่อย แพทย์หลวงผู้นี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์แม้แต่น้อยนิดกับแม่เฒ่าซ่ง จึงไม่มีทางพูดเท็จ
หลังจากนางหมิ่นรู้เรื่อง นางพลันนึกถึงนางโจวคู่สะใภ้ของตนทันใด …นางโจวยังมีหนทางที่น่าเชื่อถือกว่าของนางหมิ่น เพราะอาแท้ๆ ของนางก็คือแม่เลี้ยงของ ตวนมู่ซินเหมี่ยว ศิษย์เพียงคนเดียวของจี้ชวี่ปิ้ง อาศัยหน้าตาของท่านอาซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกัน ให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวพิสูจน์ความสงสัยของนางหมิ่นและความหวาดกลัวของนางโจว…
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรนางหมิ่นและนางโจวก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่สามีจึงทำกับพวกตนเช่นนี้? แม้จะไม่พอใจที่ตนเป็นหลานสะใภ้ที่แม่เฒ่าซ่งเป็นคนเลือกมา และลำดับชั้นตระกูลก็ไม่ทัดเทียมตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว ทั้งฐานะในตระกูลของของบิดาและพี่ชายก็ไม่ได้สูงนัก …ทว่าในเมื่อแต่งเข้าบ้านมาแล้ว อย่างไรก็เป็นภรรยาเอกของเว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยนี่!
เว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยไม่มีบุตรชายจากภรรยาเอกเสียที จะเป็นผลดีต่อการช่วงชิงตำแหน่งประมุขตระกูลของเว่ยเซิ่งอี๋เช่นนั้นหรือ? แม้พวกนางมิได้เป็นคนคล่องแคล่วฉลาดเฉลียวเท่าใด แต่ก็ยังเข้าใจหลักการข้อนี้
ภายหลังก็ยังเป็นหวงเฉี่ยนซิ่วที่มาอธิบายอย่างละเอียดไขข้อข้องใจของพวกนาง “ฮูหยินน้อยทั้งสองล้วนเป็นฮูหยินผู้เฒ่าเลือกสรรมาเอง ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องชื่นชมที่ฮูหยินน้อยทั้งสองมีมารยาทรู้จักธรรมเนียม แต่ไม่แน่ว่าฮูหยินรอก็จะคิดเช่นนี้ ครั้งฮูหยินน้อยแต่งเข้าบ้านมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็กลับไปเฟิ่งโจวพร้อมกับท่านประมุขของเราแล้ว หาได้อยู่ที่เมืองหลวงไม่ ในทางแจ้งฮูหยินรองไม่อาจต่อต้านความต้องการของฮูหยินผู้เฒ่า แต่ในทางลับนั้น…”
รอยยิ้มหวงเฉี่ยนซิ่วเปี่ยมไปด้วยความสงสาร ทำให้คู่สะใภ้ทั้งสองคนเย็นยะเยือกไปทั้งใจ “ความหมายของท่านอาคือ?”
“ขอให้ข้าน้อยพูดคำแสลงใจสักคำ ในเมื่อฮูหยินรองไม่พอใจฮูหยินน้อยทั้งสองท่าน ย่อมอยากให้คุณชายทั้งสองแต่งงานใหม่เจ้าค่ะ แต่ว่าฮูหยินน้อยทั้งสองคนไม่มีเรื่องใดให้ตำหนิติติงได้ เมื่อยังมีฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ ฮูหยินรองก็ไม่อาจให้ฮูหยินน้อยหย่าร้างไปโดยไม่มีความผิดเช่นนี้กระมังเจ้าคะ?” หวงเฉี่ยนซิ่วยิ้มจางๆ พลางเอ่ยช้าๆ “ในเมื่อไม่อาจให้หย่าร้างไปได้ เช่นนั้นจึงทำได้เพียงให้ฮูหยินน้อยไร้….ดังนี้แล้ว!”
ครานั้นนางหมิ่นและนางโจวได้ฟังเสียจนเย็นวาบไปทั้งหัวใจ พลันกุมมือกันและกันโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาแม้สักคำ
ได้ยินเพียง หวงเฉี่ยนซิ่วพูดต่อไปว่า “ทว่าหากฮูหยินน้อยทั้งสองท่านเหลือบุตรชายบุตรสาวเอาไว้ อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลซ่ง จะอย่างไรก็ยังเป็นบุตรในสายหลัก! เช่นนี้แล้ว แม้คุณชายทั้งสองจะแต่งงานใหม่กับสะใภ้ที่ฮูหยินรองโปรดปราน ฮูหยินน้อยทั้งสองท่านโปรดคิดดู ขอเพียงเป็นบ้านที่รักใคร่บุตรสาว เมื่อมอบบุตรสาวเข้าไปเพิ่มในบ้านผู้อื่นแล้ว ก็นับเป็นการก้มหัวให้คราวหนึ่ง หากอดีตภรรยาของคนผู้นั้นยังมีบุตรธิดาทิ้งเอาไว้ จะไม่ยิ่งทำให้คนที่แต่งเข้าไปใหม่ลำบากใจหรือเจ้าคะ?”
“ที่แท้แล้ว ตลอดมาแม่สามีคิดจะให้พวกเรายอมสละตำแหน่งให้แก่คนที่มาภายหลัง และมิต้องเหลือบุตรธิดาทิ้งไว้ขวางหูขวางตาเช่นนั้นรึ?” นางหมิ่นยังคงจำจดว่าครานั้นนางโจวเอ่ยถามไปทั้งน้ำตาท่วมตา “ทว่า ในเมื่อเป็นดังนี้ ตั้งหลายปีแล้ว เหตุใดแม่สามีจึงยังคงให้พวกเรากินยาให้เป็นหมันอีก แต่กลับไม่ยอมลงมือจัดการเสียที? ข้ายอมตายเสียตอนนี้เลยยังดีเสียกว่า…”
หวงเฉี่ยนซิ่วถอนหายใจขัดคำคร่ำครวญด้วยความเศร้าเสียใจของนาง “จะว่าไปก็ล้วนเป็นเพราะบ่าวไม่ดีเอง ความจริงแล้ว ครั้งฮูหยินน้อยทั้งสองยังไม่แต่งเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าก็มีจดหมายมากำชับบ่าวให้ดูแลฮูหยินน้อยทั้งสองท่านให้ดี ทว่าหลังจาก ฮูหยินน้อยสองท่านแต่งเข้าบ้านมาแล้ว เมื่อบ่าวไปมาหาสู่กับฮูหยินน้อยทั้งสอง ฮูหยินรองก็จะตำหนิฮูหยินน้อยทั้งสอง นานวันเข้าจึง… ทว่า แม้บ่าวจะไม่อาจป้องกันยาเป็นหมันนี้ หากฮูหยินรองทำร้ายฮูหยินน้อยทั้งสองจนถึงแก่ชีวิต บ่าวนึกคิดเอาเองว่าในเมื่อตนเคยรับใช้อยู่ในจวนนี้มานานปี ก็คงไม่ถึงกับถูกปิดหูปิดตาไปได้…”
เมื่อคิดถึงว่าหลังพวกตนแต่งเข้าบ้านมาก็จงใจห่างเหินกับหวงเฉี่ยนซิ่วด้วยต้องการเอาใจแม่สามี… เดิมทีคิดว่าในเมื่อเป็นสะใภ้ของนางตวนมู่แล้ว ต่อให้แม่เฒ่าซ่งไม่ชอบนางตวนมู่ และเป็นคนเลือกตนเองมาแต่งเข้าบ้าน แต่หากตนเองไม่ออกนอกลู่นอกทาง พยายามปรนนิบัตินางตวนมู่อย่างสุดจิตสุดใจ อย่างไรก็คงสามารถทำให้นางตวนมู่มองตนเองใหม่ได้
แต่แล้วความทุ่มเทตั้งใจเคารพเทิดทูลด้วยเห็นว่าตนต่ำต้อยเช่นนี้ กลับแลกมากด้วยบทลงเอยที่ไม่อาจตั้งท้องได้ไปชั่วชีวิต! หากมิใช่ว่าแม่เฒ่าซ่งทิ้งคนเอาไว้คนหนึ่ง หากไม่มีนางหวงคอยดูอยู่ข้างๆ แม้แต่ชีวิตตนก็จะรักษาเอาไว้ไม่ได้!
….ขณะนึกถึงความหลังเหล่านี้ นางหมิ่นจึงเล่าเรื่องตั้งแต่นางรู้ว่าหมิ่นอีนั่วมาที่บ้าน จึงรีบเอาดอกดารารัตน์ไปส่งไว้ในห้องของเว่ยฉางเจวียน ภายหลังเว่ยฉางเจวียนโยนดอกไม้ทิ้ง หมดสติ และยังมีเรื่องที่ตนรายงานต่อเว่ยฉางอวิ๋นให้นางโจวฟังรอบหนึ่ง
นางโจวขมวดคิ้วพลางว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ว่าเมื่อพี่ชายใหญ่ได้ยินว่านังเด็กเว่ยฉางเจวียนนั่นเป็นลมไปแล้วยังรู้สึกเป็นห่วงนักหนาหรือเจ้าคะ?”
“ก็มิใช่หรือไร?” นางหมิ่นขบริมฝีปาก เพราะเวลานี้ล้วนให้คนอื่นๆ ออกไปนอกห้องหมดแล้ว ทั้งสองคนนั่งเอนตัวอยู่บนตั่ง เข้าไปพูดกันจนแทบจะชิดติดอยู่ข้างหู เพื่อไม่คนมาได้ยินเข้า กระซิบกระซาบเสียงเบาว่า “ข้าว่าแปลกนัก ก่อนหน้านี้ นังเด็กนี่ถูกรักเอาใจเพียงนั้น เหตุใดพอแม่สามีเสีย ทุกคนในบ้านก็พากันชิงชังนางขึ้นมา?”
“หึ!” นางโจวขบฟัน กล่าวว่า “ว่ากันว่าสามีภรรยาเป็นคนคนเดียวกัน พวกเราแต่งเข้ามาหลายปีนี้ ทั้งเอาใจพ่อแม่สามี ทั้งปรนนิบัติสามี ดูแลเรือนหลังบำรุงขวัญอนุทั้งหลาย ทั้งยังต้องคอยอบรมเลี้ยงดูพวกชั้นต่ำที่นังจิ้งจอกพวกนั้นคลอดออกมาอีก! ปรากฏว่า…เวลานี้แม้แต่พวกเรา เขาก็ยังปิดเรื่องนี้ไว้อย่างมิดชิดชนิดไม่มีรอยรั่ว! ปรากฏว่าสิ่งที่ท่านอาหวงว่าไว้ไม่ผิดจริงๆ ทุกคนในบ้านสองแห่งนี้ ไม่เคยเห็นพวกเราเป็นคนมาแต่ไร!”
นางหมิ่นเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าว่า พวกเราเอาเรื่องนี้ไปบอกกับท่านอาหวงเสียเลยดีหรือไม่?”
“…ไปบอกไม่ได้เจ้าค่ะ” นางโจวนิ่งคิดสักพักจึงเอ่ยพลางส่ายหน้า “พี่สะใภ้ใหญ่ท่านคิดดูสิเจ้าคะ ในเมื่อพวกพ่อสามีก็ยังปิดบังพวกเราเลย เห็นชัดว่าไม่เชื่อใจพวกเรา หากพวกเราไปบอกท่านอาหวง กลับจะถูกจับได้คาหนังคาเขาน่ะสิ …แล้วเราสะใภ้ทั้งสองคนจะมีทางมีชีวิตรอดที่ใด? และเวลานี้ก็ไม่สะดวกเหมือนเมื่อครั้งท่านอาหวงอยู่ในจวนด้วย!”
นางหมิ่นกลับสูดหายใจลึกๆ หนหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงหนักว่า “เจ้าพูดถูก…แต่ในเมื่อการที่คนทั้งบ้านต่างพากันชิงชังนังเด็กเว่ยฉางเจวียนในยามนี้เป็นเรื่องเสแสร้ง หากถึงยามที่ไม่ต้องแสร้งทำแล้ว ลำพังแค่เรื่องที่พวกเราค่อยๆ เมินเชยต่อนางในไม่กี่วันมานี้ ยังมีเรื่องที่ข้าทำนางโกรธเสียจนเป็นลมในวันนี้อีก แล้วนางจะยอมปล่อยพวกเราไปหรือ? โดยเฉพาะที่ข้า…ก่อนนี้ครั้งนางตวนมู่นังแก่ชั่วนั่นยังอยู่ พวกเราสะใภ้ทั้งสองคนก็ยังแทบจะลงคลานเข่าไปหานางถึงเพียงนั้น แต่นางกลับยังคอยมาระบายอารมณ์กับพวกเราอยู่ตลอดเวลา ประสาอะไรที่เวลานี้ไปล่วงเกินนาง?”
“เรื่องนี้…” นางหมิ่นลังเลอยู่เนิ่นนาน จึงพึมพำไปว่า “เกรงว่าไม่ได้กระมัง? วันนี้ ตอนท่านพี่ได้ยินว่านังเด็กนั่นไปลมไป ก็โพล่งถามออกมาว่านางเป็นอันใดมากหรือไม่แล้ว หากกำจัดนางไปจริงๆ แล้วท่านพี่และน้องชายรองจะปล่อยพวกเราไปรึ?”
นางโจวพลันหยัดตัวขึ้นมานั่ง พึมพำเบาๆ ว่า “เฮ่อ น่าเสียดายที่ท่านอาหวงไม่ได้อยู่ในจวนแล้ว พวกเราสองคนก็ล้วนไม่ใช่คนที่จะไปทำร้ายผู้ใด อุตส่าห์ได้โอกาสงามเช่นนี้ แต่กลับคิดหาวิธีดีๆ ไม่ได้ …ถ้าไม่ฆ่านาง แล้วจะคอยเอาใจนาง ทนรับอารมณ์นางเหมือนแต่ก่อนต่อไปรึ? ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ”
“ข้าเองก็ไม่อยากทนรับอารมณ์นางแล้วเช่นกัน หรือว่าตลอดหลายปีมานี้พวกเรายังทนรับอารมณ์พวกนางแม่ลูกมาไม่พออีก?” นางหมิ่นเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ดีชั่วอย่างไรก็ทนมาได้จนแม่สามีตายแล้ว เวลานี้แม้แต่น้องสามีก็ยังจัดการอันใดไม่ได้ แล้วพวกเราจะได้ปกครองจวนนี้อย่างจริงแท้ได้อย่างไร? นังเด็กนั่นมันโชคดีจริงๆ ข้าคิดว่าวันนี้จะจับผิดนางแล้วเชือดไก่ให้ลิงดู เอานางมาเป็นฐานสร้างอำนาจสักหน่อยเชียว! ไม่คิดว่าพอถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มนางกลับมาเป็นลมไปเสียนี่!”
นางโจวปลอบนางว่า “อย่าเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ พวกเราก็ไม่รู้ว่าที่นางถูกคนทั้งบ้านชิงชังเอาล้วนเพราะพวกเขาแสร้งทำนะเจ้าคะ!”
ระดับความเฉลียวฉลาดของพวกนางทั้งสองคนต่างก็พอๆ กัน แม้ลับหลังจะด่า นางตวนมู่และเว่ยฉางเจวียนหนแล้วหนเล่า แต่วางแผนกันอยู่เป็นนานก็หาวิธีดีๆ ออกมาไม่ได้ เมื่อคิดว่าถ้าวันหนึ่งเว่ยฉางเจวียนเกิดกลับมาเป็นที่รักของใครๆ อีก ทั้งสองคนก็จะมีจุดจบที่น่าอนาถ …กระทั่งไม่ต้องรอจนถึงวันนั้น เวลานี้เว่ยเซิ่งอี๋พ่อลูกล้วนพากันแสดงออกว่าชิงชังเว่ยฉางเจวียน เพียงคิดก็รู้ว่าเป็นการแสดงละครตบตาให้ทางเฟิงโจวและเว่ยฉางอิ๋งดู
วันดีคืนดีเมื่อพวกเขาไม่ต้องแสดงละครตบตาแล้ว ตนเองซึ่งเป็นสะใภ้ที่ แม่เฒ่าซ่งเป็นคนเลือกมาทั้งสองคนก็จะต้องถูกบีบจนตายตามรอยเท้านางตวนมู่ไปด้วยหรือไม่?
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว แต่ที่สุดยามร้อนรนกลับเกิดปัญญา นางหมิ่นพลันตบมือหนหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าคิดวิธีหนึ่งได้แล้ว!”
_______________________