ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 178-2 ครบเดือน
นางหวงอมยิ้มเอ่ยว่า “ยังมีเวลาอีกกว่างานเลี้ยงจะเริ่ม คุณชายน้อยมาหลับตอนนี้จึงจะดีเจ้าค่ะ! รอจนนอนหลับพอแล้วจะได้สดชื่น อีกประเดี๋ยวพอถึงเวลางานเลี้ยงก็จะได้อุ้มออกไปพอดีเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยกำชับอย่างไม่วางใจว่า “ท่านอาท่านตามออกไปด้วย จะต้องคอยดูให้ดี อย่าให้พวกที่ดูสะเพร่าๆ มาอุ้มเขา หากทำร่วงแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่”
“ฮูหยินน้อยท่านวางใจเถิด ยามอยู่ข้างหลังจะต้องเป็นฮูหยินอุ้ม เมื่อออกไปข้างนอกนั้นเป็นท่านประมุขอุ้มออกไปด้วยตนเองเจ้าค่ะ… เวลานี้ทั้งสองท่านล้วนยินดีจนหุบปากไม่ลงแล้ว บอกว่าจะดูแลคุณชายน้อยให้ดี ไม่ให้คนมาแตะต้องเลยเจ้าค่ะ หลานชายบุตรในสายตรงของตระกูลเสิ่น แขกทั่วๆ ไปจะมาอุ้มได้ที่ใดกัน? หากมิใช่คนที่มีฐานะเช่นเดียวกันเกรงว่าแม้แต่เข้ามาดูใกล้ๆ สักหนก็ยังยากเลยเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มพลางว่า “ท่านดูต้นไม้หยกที่เพิ่งยกเข้าในข้างนอกสิเจ้าคะ ได้ยินว่าท่านประมุขเป็นคนสั่งให้คนเอาออกมาจากในคลังด้วยตนเองเชียวนะเจ้าคะ!”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าพ่อสามีสั่งให้คนนำของมาส่งด้วยตนเอง จึงเอาห่อผ้าห่อตัวส่งให้นางหวงและออกไปนอกห้อง พอไปถึงในโถงกวาดตามองดู ปรากฏว่าในโถงเต็มไปด้วยแสงจากอัญมณีและหยกซึ่งทอออกมาจากต้นไม้หยกต้นหนึ่ง บ้านฝั่งแม่ของนางไม่ต่ำต้อยกว่าบ้านสามี ต้นไม้หยกนี้เพียงมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าใช้ปะการังทำเป็นกิ่งก้าน ใช้แผ่นหยกทำเป็นใบ ข้างบนใช้อัญมณีและหยกสีแดงๆ ม่วงๆ เขียวๆ ส้มๆ ทำเป็นดอกไม้ ยามนี้นำมาวางไว้โถงช่างระยิบระยับจับตาคนนัก
เครื่องทองมุกหยก เว่ยฉางอิ๋งล้วนไม่ขาดเหลือ แต่สิ่งที่นางยินดีก็คือความความหมายของต้นไม้หยกที่พ่อสามีนำมามอบให้ ต้นดอกกล้วยไม้หยกทำให้มีหน้ามีตา นับแต่โบราณมา มักใช้ต้นกล้วยไม้หยกมาอธิบายถึงบุตรหลานที่ดีงาม เสิ่นเซวียนนำต้นไม้หยกนี้มามอบให้ เห็นชัดว่าเขาหวังเป็นล้นพ้นให้หลานเติบโตมาเป็นผู้มีความสามารถ
หลังจากยินดีปรีดา เว่ยฉางอิ๋งก็ระมัดระวังตัวขึ้นมาอีก ถามนางหวงว่า “ท่านอาไปสอบถามมาแล้วหรือไม่? ครั้งซูหมิงครบเดือน ท่านพ่อได้กำนัลต้นไม้หยกเช่นนี้ให้หรือไม่?”
ฮูหยินซูยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เวลานี้ฮูหยินน้อยยิ่งรอบคอบขึ้นแล้ว” หลังจากชมไปคำหนึ่งก็พูดต่อไปว่า “ฮูหยินน้อยโปรดวางใจ แม้จะบอกว่าท่านประมุขคาดหวังกับบ้านเรามากกว่า แต่อย่างไรบ้านใหญ่ก็เป็นบุตรชายคนแรก ท่านประมุขสนับสนุนให้พี่น้องปรองดองกัน แล้วจะให้แต่บ้านเราได้อย่างไรเจ้าคะ? ครั้งคุณชายหลานคนโตครบเดือน ท่านประมุขก็มอบต้นไม้ที่คล้ายคลึงกันให้ต้นหนึ่ง ข้าน้อยไปสอบถามกับหม่านโหลวบ่าวข้างกายของฮูหยินมาแล้ว ต้นไม้ที่คุณชายน้อยของเราได้รับนี้ ยังเตี้ยกว่าของคุณชายหลานคนโตตั้งหนึ่งชุ่นเจ้าค่ะ!”
เตี้ยกว่าหนึ่งชุ่นกลับไม่เป็นไร เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากหัวเราะ กล่าวว่า “ทางซูหมิงก็มี เช่นนั้นข้าก็วางใจได้แล้ว ฉะนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกินหน้าเกินตาอันใด”
นางหวงยิ้มรับ กล่าวว่า “ใกล้ถึงเวลาแล้ว ฮูหยินจะนำคุณชายไปขึ้นเกี้ยวเล็ก แล้วไปที่เรือนหลักก่อนเลยหรือไม่เจ้าคะ?”
หลานชายคนโตอายุจะสิบขวบแล้วเพิ่งจะได้ต้อนรับหลานชายคนที่สอง จวนราชครูย่อมต้องจัดงานฉลองให้ใหญ่โต ดังนี้แล้วพื้นที่ในเรือนจินถงก็จะไม่พอ …ฐานะของเว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่เพียงพอจะต้อนรับแขกทุกคนที่มาแสดงความยินดี ฉะนั้นเสิ่นเซวียนสามีภรรยาจึงเป็นคนจัดงานฉลองครบเดือนนี้ และย่อมต้องแบ่งจัดงานที่เรือนด้านหน้าและเรือนหลัก
ฮูหยินซูสวมชุดรวมงานฉลองและนั่งสง่าอยู่ในตำแหน่งหลักในห้องโถงรอการมาถึงของหลานชาย แม้เสิ่นซูจิ่ง เสิ่นซูหมิงหลานๆ จากบ้านใหญ่และบ้านสองจะรุมล้อมอยู่ตรงหน้านาง และกำลังสนทนาจ้อกแจ้กจอแจกันอยู่ แต่เห็นชัดว่าฮูหยินซูคำนึงถึงหลานชายคนใหม่มากกว่าสักหน่อย …เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะอุ้มบุตรชายเข้าประตูมาก็ถูกนางเรียกอย่างร้อนใจว่า “อยากเอาแต่ถือพิธีรีตองอยู่เลย เจ้าเพิ่งจะคลอดได้ครบเดือน รีบมานั่งเร็ว!” แล้วลูบมือเสิ่นซูหมิง กำชับเบาๆ ไปว่า “ตอนนี้น้องชายพวกเจ้ากำลังนอน พวกเจ้าเงียบๆ กันหน่อย อย่าให้เขาตื่นล่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งเอาห่อผ้าห่อตัวเด็กให้นางหวงส่งให้ฮูหยินอุ้ม ตนเองก็ยังคงยืนกรานจะคำนับฮูหยินซู แล้วแย้มยิ้มพลางบอกให้เสิ่นซูจิ่งซึ่งกำลังนั่งลงคำนับนางลุกขึ้น และพาหลานชายหลานสาวลุกขึ้นด้วย จากนั้นก็ไปนั่งที่ที่นั่งถัดไปจากตวนมู่เยี่ยนอวี่ เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากยิ้มเอ่ยว่า “สะใภ้มาสายไปสักหน่อย ให้ท่านแม่และพวกพี่สะใภ้ต้องรออยู่ที่นี่ เป็นการเสียมารยาทยิ่งนัก”
“เจ้าอย่าพูดเช่นนี้” ตวนมู่เยี่ยนอวี่ได้ฟังแล้วก็หันหน้ามา ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยกับนาง “พวกเรารวมทั้งท่านแม่ล้วนอยากเห็นหลานชายจึงตื่นแต่เช้ามเร่งที่นี่ เจ้าเพิ่งจะครบเดือน อย่าว่าจะดูแลจัดการตนเอง ทั้งยังต้องดูแลหลานชาย ความจริงเจ้ามาถึงยามนี้ก็นับว่าเช้ามากแล้ว”
เพราะคำพูดนี้เป็นพี่สะใภ้รองที่มักมาหาเรื่องหาราวตนเองเสมอมา เว่ยฉางอิ๋งจึงมองนางด้วยสายตาประหลาดใจคราวหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างนบนอบว่า “ขอบคุณ พี่สะใภ้รองอยากมากที่เข้าใจเจ้าค่ะ ข้ากำลังคิดว่าหลังจากได้ออกไปแล้วก็จะไปขอบคุณพี่สะใภ้รองอยู่ทีเดียว! ในวันที่ข้าคลอด ต้องลำบากพี่สะใภ้รองแล้วเจ้าค่ะ! ดึกดื่นค่ำมืดต้องกลับไปบ้านแม่เพื่อเชิญคุณหนูแปดของบ้านท่านมา! บุญคุณครานี้ข้าล้วนไม่รู้ว่าจะทดแทนท่านเช่นใดจึงจะดี! ไม่คิดว่าวันนี้ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณท่านเลย กลับให้ท่านต้องมาปลอบข้าอีกแล้ว!”
ตวนมู่เยี่ยนอวี่ได้ฟังก็พอใจเป็นหนักหนา แต่ปากกลับบอกว่า “น้องสะใภ้สามเจ้าพูดเช่นนี้ก็เห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกลแล้ว พวกเราเป็นทั้งคู่สะใภ้กัน และยังเป็นคนในครอบครัวเดียวกันด้วย มีสิ่งใดต้องตอบแทนไม่ตอบแทนกันเล่า? เจ้าพูดเช่นนี้ข้ากลับไม่อยากฟังนะ…”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังเกรงอกเกรงใจกันอยู่นั้น จู่ๆ เสิ่นซูหมิงก็ร้องเสียงดังขึ้นมาอย่างดีอกดีใจว่า “ตื่นแล้ว! น้องชายตื่นแล้ว!”
เพราะก่อนหน้านี้ ฮูหยินซูขอให้ทุกคนเงียบสักหน่อย อย่าได้เสียงดังรบกวนหลานตัวน้อยที่เพิ่งอายุครบเดือน เวลานี้คนในโถงล้วนพูดจากันเสียงเบาๆ ฉะนั้นเสียงนี้จึงดังกังวานเป็นพิเศษ …นางหลิวรีบตำหนิว่า “เจ้าเสียงเบาหน่อย!”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็สะดุ้งตกใจ เป็นห่วงลูกชายจึงพรวดพราดลุกขึ้น กลับเห็นว่าเสิ่นซูหมิงกำลังคลานอยู่ตรงหน้าท่านย่า ชะโงกหัวเข้าไปจ้องลูกผู้น้องที่อยู่ในห่อผ้า และมิได้สนใจคำตำหนิของมารดา หัวเราะฮิๆ สนทนากับท่านย่าว่า “ตาของน้องเหมือนท่านพ่อ”
“เหมือนท่านอาสามของเจ้าต่างหาก” ฮูหยินซูยิ้มพลางเอ่ยแก้ให้เขา …ความจริงแล้วเสิ่นจั้งลี่และเสิ่นจั้งเฟิงสองพี่น้องล้วนหน้าตาเหมือนเสิ่นเซวียน ในเมื่อหลานตัวน้อยนี้เหมือนคนคนหนึ่ง ย่อมต้องเหมือนอีกสองคนด้วย ทว่าในเมื่อเป็นลูกของ เสิ่นจั้งเฟิง ย่อมต้องนำมาเทียบกับเสิ่นจั้งเฟิง
เสิ่นซูหมิงจึงว่า “และเหมือนท่านปู่ด้วย” แล้วบอกว่าอีกว่า “คิ้วก็เหมือน”
เขาคลานดูอยู่ข้างนี้ อีกข้างหนึ่งก็เป็นคุณหนูหลานรองเสิ่นซูโหรว ส่วนคุณหนูหลานสามเสิ่นซูเยวี่ยก็ยืนอยู่ตรงหน้าฮูหยินซู จับเข่าท่ารย่าเอาไว้และมองดูอย่างอยากรู้อยากเห็น หลานทั้งสามรวมทั้งฮูหยินซูก็พอดีห้อมล้อมห่อผ้าเอาไว้จนหมด ยังมีคุณหนูหลานคนโตเสิ่นซูจิ่งและคุณหนูหลานสี่เสิ่นซูเหยียนที่ไม่มีที่ยืนแล้ว
เสิ่นซูจิ่งอายุสิบเอ็ดขวบแล้ว เดิมทีมารดาของนางก็อบรมสอนสั่งจนรู้ความมีมารยาท และมีความเป็นพี่สาวคนโตยิ่งนัก แต่ไรมาไม่เคยไปยื้อแย่งสิ่งใดกับน้องชายน้องสาว เวลานี้เห็นว่าทุกคนล้วนอยากเห็นลูกผู้น้องตัวน้อย นางก็รู้ความและขยับออกให้เสียตั้งนานแล้ว แต่เสิ่นซูเหยียนซึ่งมีอายุน้อยที่สุดและตัวเตี้ยที่สุดกลับไม่ยินยอม แรกเริ่มนั้นนางอาศัยว่าอายุน้อยและตัวเล็กเบียดไปเบียดมาคิดจะเบียดตัวเข้าไปดู แต่จนใจที่พี่ชายและพี่สาวทั้งสองคนล้วนอยากดู ลูกผู้น้องตัวน้อยจึงไม่ยอมขยับให้นาง เสิ่นซูโหรวพี่สาวแท้ๆ ของนางยังหันหน้ามาอบรมนางว่า “เจ้าอายุน้อยที่สุด เจ้าก็ควรดูทีหลังสุด!”
เด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองตาปริบๆ รออยู่เนิ่นนานก็ไม่เห็นว่าจะถึงคราของตนเสียที ปากนางก็เบะออกกำลังจะร้องไห้ …ดีที่ปกติแล้วเสิ่นซูจิ่งคอยช่วยพวกผู้ใหญ่พาน้องๆ เล่นกัน จึงคุ้นเคยกับนิสัยใจคอของน้องสาวสองสามคนนี้ยิ่งนัก เมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปอุ้มนางขึ้นมา ปลอบว่า “เหยียนเอ๋อร์จะดูน้องเหมือนกันใช่หรือไม่? ซูหมิงเจ้าขยับหน่อย ให้เหยียนเอ๋อร์ได้ดูน้องบ้าง …จะว่าไปเหยียนเอ๋อร์ก็มีน้องชายแล้วนี่! มาเถิด พวกเรามาดูด้วยกัน น้องน่ารักหรือไม่?”
เสิ่นซูจิ่งจะปลอบลูกผู้น้องให้เลิกร้องไห้ จึงพูดไปเรื่อยเปื่อย เมื่อนางหลิวได้ฟังจึงลอบขมวดคิ้ว แล้วกวาดหางตาไปทางตวนมู่เยี่ยนอวี่อย่างไม่มีซุ่มเสียง ปรากฏว่า ตวนมู่เยี่ยนอวี่พลันมีสีหน้าหนักอึ้ง แล้วมองหลานสาวคนโตด้วยสายตาเยือกเย็นคราวหนึ่ง …เห็นชัดว่าที่เสิ่นซูจิ่งบอกว่า ‘เหยียนเอ๋อร์ก็มีน้องชายแล้ว’ เมื่อฟังอยู่ในหูของตวนมู่เยี่ยนอวี่ย่อมเป็นการเย้ยเยาะว่าบ้านสองยังไร้บุตรชายจนทุกวันนี้
___________________________