ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 183-2 เหตุผลง่ายๆ
“….” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไปสักพัก นายบ่าวทั้งสองคนมองไปยังฮูหยินบ้านเผยพร้อมกันโดยไม่รู้ตัว …ฮูหยินบ้านเผยกำลังตั้งหูรอฟัง ด้วยกลัวว่าหากฟังพลาดไปครึ่งค่อนคำก็จะเกิดเรื่องผิดพลาดต่อบุตรชายของตน ครานี้กลับอยากให้ตนเองฟังไม่ได้ยินได้เป็นดี! เมื่อถูกเว่ยฉางอิ๋งและนางหวงมองมาเช่นนี้ นางจึงเลิ่กลั่กและหน้าแดงไปทั้งหน้า แทบอยากจะขุดหลุมที่พื้นและมุดลงไปเสีย แล้วเอ่ยติดๆ ขัดๆ ว่า “เรื่องนี้ …ตอนขามา เพราะ…เพราะว่าลูกชายข้าและคุณชายซูห้าล้วนบาดเจ็บสาหัสนัก พะ…พวก….พวกเราจึงเอาแต่เป็นห่วงลูก เรื่องนี้….จึง….ลืมไปเสียแล้ว!”
…เว่ยเจิ้งอินเชิญจี้ชวี่ปิ้งออกไปจากเมืองหลวงตั้งแต่วันที่สิบสามเดือนสาม เพื่อเร่งไปช่วยคนระหว่างทาง วันนี้ก็จวนจะถึงสิบวันสุดท้ายของเดือนสี่แล้ว
ในหลายวันมานี้ ท่านหมอเลื่องชื่อที่ขึ้นชื่อเรื่องความอารมณ์ร้ายและฝีมือแพทย์สูงส่งในเวลาเดียวกันผู้นี้ ต้องเดินทางเป็นระยะทางไกล ทั้งยั้งต้องลงมือรักษาด้วยตนเอง แล้วต้องออกยาแก้พิษกระเรียนระทมไปอีกหลายชุดเองอีก ปรากฏว่า …นอกจากครอบครัวของคนเจ็บจะยังไม่เอ่ยถึงเรื่องค่ารักษาจนถึงบัดนี้แล้ว ยังคิดจะส่งคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาดูแลคนเจ็บและมากินดื่มเปล่าๆ ปลี้ๆ ในคฤหาสน์จี้อีก! ต่อให้เป็นท่านหมอทั่วไปก็จะต้องโกรธเคืองแล้ว ด้วยนิสัยของจี้ชวี่ปิ้ง เขายังยอมให้หามคนเข้าไปก็นับว่าเป็นบุญล้นเหลือแล้ว…
ฮูหยินบ้านเผยไม่ได้คิดว่าที่แท้แล้วเรื่องราวทั้งหมดมิได้ซับซ้อนเหมือนที่ตนเองคิด …เพียงแค่ก่อนจี้ชวี่ปิ้งจะปิดประตู นางก็ต้องนำตั๋วเงินสองใบที่ภายหลังมอบให้แก่หนีเวยอี แล้วให้นางนำไปมอบให้แก่หนีเทาสามีภรรยานั้นไปมอบให้แก่จี้ชวี่ปิ้ง ก็จะหมดปัญหาแล้ว …แต่นางกลับดีนัก เจ้านายที่แท้จริงยังไม่ได้รับเงินสักแดงเดียว แต่ตนเองกลับหน้าใหญ่หน้าโตกับบ่าวของเขาเสียยิ่งนัก! ครานี้ทำเรื่องน่าเกลียดเสียจนอดจะมุดลงไปในหลุมบนพื้นไม่ได้!
ดีที่เผยเหม่ยเหนียงมากับนางด้วย จึงเข้ามาช่วยอาสะใภ้ไกล่เกลี่ย ทางหนึ่งก็อธิบายกับเว่ยฉางอิ๋งว่า ฮูหยินบ้านเผยมีเผยไค่เป็นบุตรชายแท้ๆ เพียงผู้เดียว นอกจากนี้แล้วแม้แต่บุตรสาวก็ยังไม่มี เมื่อได้ยินว่าชีวิตของบุตรชายมีอันตรายนางย่อมคำนึงถึงแต่ตัวบุตรชาย ฉะนั้นแม้แต่เรื่องค่ารักษาก็ยังลืมเสียแล้ว หาใช่เพราะจงใจผัดหนี้ไม่ …และด้วยชั้นตระกูลของตระกูลเผยก็ไม่มีทางทำเรื่องผัดหนี้เช่นนี้เป็นแน่
ทางหนึ่งก็ปลอบฮูหยินบ้านเผยและตำหนิบ่าวข้างกายนางว่า “ท่านอาสะใภ้เป็นห่วงน้องชายสี่จนลืมเอ่ยถึงเรื่องค่ารักษาของท่านหมอเทวดาจี้ ไยพวกเจ้าไม่รู้จักเตือนสักหน่อย? ไม่มีหัวคิดกันแม้สักนิด!”
เมื่อไกล่เกลี่ยเรื่องให้ผ่านไปดังนี้และฮูหยินบ้านเผยกลับไปแล้ว จึงเร่งมือหาบ่าวที่ฉลาดคล่องแคล่วสองสามคน แล้วให้พ่อบ้านชรานำเงินหนึ่งพันเหลี่ยงจากในบัญชีออกมา …แม้รู้ว่านี่เป็นราคาที่สูงแน่นอน แต่ผู้ใดให้ก่อนนี้นางยัดตั๋วเงินสองร้อยเหลี่ยงให้แก่หนีเวยอีไปเล่า? และในเรือนจินถง นางก็ยังได้ยินจากนางหวงว่าครั้งก่อน เว่ยฉางอิ๋งเชิญจี้ชวี่ปิ้งมารักษาองครักษ์ ทั้งก่อนหลังรวมแล้วจ่ายไปแปดร้อยเหลี่ยง!
และยังต้องกำชับพ่อบ้านชราไปอย่างขาดเสียมิได้ว่า “…นี่เป็นเพียงเงินที่จ่ายไปล่วงหน้าก่อน หากภายหลังไม่พอพวกเราจะเพิ่มให้ทันที เมื่อไค่เอ๋อร์หายดีแล้ว พวกเราจะต้องมีรางวัลอย่างงามไปให้อีก! และต้องไปอธิบายกับท่านหมอเทวดาหรือคนข้างกายท่านหมอเทวดาให้ชัดแจ้งว่าบ้านเราหาได้ต้องการชักช้าต่อท่านหมอเทวดาไม่ ก่อนนี้ล้วนเป็นเพราะเอาแต่ห่วงไค่เอ๋อร์จึงได้ละเลยเรื่องค่ารักษา”
เมื่อฝ่ายเว่ยเจิ้งอินได้ยินว่าฮูหยินบ้านเผยส่งตั๋วเงินไปที่คฤหาสน์จี้แล้วพวกบ่าวก็สามารถเข้าไปปรนนิบัติเผยไค่ได้ นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะโมโหหรือว่าควรจะหัวเราะดี พลางส่ายหน้าแล้วบอกกับแม่นมชวี่ไปว่า “ก่อนนี้จี้ชวี่ปิ้งเคยได้รับผลประโยชน์จากบ้านเราน้อยหรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้เขาเป็นคนขาดเหลือเงินทองที่ใด กลับขี้เหนียวถึงเพียงนี้”
แม่นมชวี่เองก็รู้สึกว่าการที่จี้ชวี่ปิ้งปฏิบัติต่อเว่ยเจิ้งอินและฮูหยินบ้านเผยเหมือนกันเป็นการไม่คำนึงถึงมิตรภาพครั้งเก่าก่อน …แต่หากจะบอกว่าไม่เห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อนเลยแต่อย่างใด หากแต่คนที่ไปเชิญเขาแรกนั้นเป็นฮูหยินบ้ายเผยย่อมไม่มีวันเชิญเขาไปได้ จึงเอ่ยเตือนนางไปว่า “ฮูหยินเองก็มิได้ไม่ได้ขาดเหลือเงินทองเพียงน้อยนิดนั้น ด้วยจี้ชวี่ปิ้งไม่ได้รับอนุญาตให้ไปตามหาญาติที่ซีเหลียงจึงรู้สึกไม่พอใจมาโดยตลอด เขาไม่กล้าเพิกเฉยในเรื่องใหญ่ แต่ในเรื่องเล็กๆ กลับคอยมาหาเรื่องเพื่อระบายอารมณ์ ฮูหยินอย่าได้ถือสาเขาเลยเจ้าค่ะ”
เว่ยเจิ้งอินเองก็ไม่กล้าถือสา …ก็ซูอวี๋อู่ยังคงนอนเจ็บจนลุกไม่ขึ้นอยู่เลยนี่!
…เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป ก็ทำให้ทุกตระกูลในเมืองหลวงพากันหัวเราะ บอกว่า จี้ชวี่ปิ้งเป็นหมอที่อารมณ์ร้ายเพียงนั้น แต่กลับยังมีคนกล้าเบี้ยวเงินเขา โดยเฉพาะที่คนเจ็บยังไม่ทันหายดี แต่กลับกล้าไมเอ่ยถึงค่ารักษาสักคำ
วันที่สามเดือนห้าเป็นวันเกิดของซูอวี๋เฟย ตระกูลซูจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตให้นาง
ตระกูลเสิ่น ตระกูลซูเป็นญาติใกล้ชิดกันมาโดยตลอด คนในรุ่นเดียวกันทางฝั่งจวนราชครูจึงไปร่วมงานด้วย หลังจากวันที่เว่ยฉางอิ๋งคลอด แล้วเผยเหม่ยเหนียงเข้าไปประคองแขนฮูหยินซูก็ลบเลือนรอยร้าวทั้งหมดไปได้ …หรืออย่างน้อยก็ลบเลือนรอยร้าวในฉากหน้าไปได้ และไปมาหาสู่กับทางจวนราชครูมากกว่าเดิมมากในทันทีทันใด ในเมื่อนางมีท่าทีเคารพนบนอบมีมารยาท คนทางนี้จึงไม่เหมาะจะไม่สนใจนาง
เมื่อได้ยินว่าเป็นวันเกิดของหลานสาวบ้านฝั่งมารดาของฮูหยินซู เผยเหม่ยเหนียงเองก็มอบของกำนัลมาให้ชิ้นหนึ่ง หลังจากตระกูลซูรู้เรื่องจึงเชิญนางมาร่วมงานเลี้ยงด้วยอย่างขาดไม่ได้ ดังนี้แล้วพี่สะใภ้บ้านป้าทั้งสามคนและเสิ่นจั้งหนิงจึงมาร่วมงานพร้อมกัน …เว่ยฉางอิ๋งยังคงไว้ทุกข์ให้อาสะใภ้ เพราะนางตวนมู่เสียไปเมื่อเดือนหนึ่ง ต้องรอถึงเรือนเก้าจึงจะออกทุกข์ ในช่วงนี้จึงไม่เหมาะจะไปบ้านผู้อื่น จึงได้แต่เพียงส่งของกำนัลมา
จนถึงเวลาเย็น เมื่อทุกคนกลับไปแล้ว จึงไปคารวะและรายงานเรื่องต่างๆ ต่อฮูหยินซู กลับได้รายงานข่าวดีหนึ่งให้แก่ฮูหยินซูว่า “จู่ๆ น้องสะใภ้สี่ก็ไม่สบายขึ้นมาในงานเลี้ยง ท่านน้าสะใภ้รองจึงรีบส่งคนไปเชิญท่านหมอมาตรวจดู ปรากฏว่าเมื่อท่านหมอจับชีพจรก็บอกว่าน้องสะใภ้สี่ตั้งครรภ์แล้วเจ้าค่ะ!”
คนที่พูดก็คือนางหลิว นางแย้มยิ้มอยู่บนใบหน้าแต่ในใจกลับไม่ใคร่พอใจนัก แอบคิดว่านางเผยผู้นี้ช่างโชคดีจริง ตอนแต่งเข้าบ้านมาก่อเรื่องก่อราวเสียปานนั้น ไม่คิดว่าที่สุดแล้วตระกูลซ่งปลดตวนมู่อู๋เซ่อ แต่ตัวนางเผยนอกจากจะอยู่ต่อไปอย่างปกติสุขแล้ว ยามนี้นางยังมาตั้งท้องเสียอีก นี่หากว่าคลอดหลานชายออกมา หากจะบอกว่าฐานะของนางต้องมั่นคงดังขุนเขาก็ไม่เกินเลยเลยสักนิด!
แม้ฮูหยินซูยังคงไม่พอใจหลานสะใภ้ผู้นี้อยู่บ้าง แต่เพราะเห็นแก่น้ำใจของเสิ่นโจ้วที่ตลอดหลายปีมานี้คอยสนับสนุนและยินยอมเป็นผู้ตามเสมอมา นางจึงรู้สึกดีใจแทนจวนเซียงหนิงปั๋วจากใจจริง แล้วเอ่ยถามอย่างยินดียิ่งนักว่า “จริงรึ!?”
“ท่านแม่ถามดังนี้เหมือนกับตอนที่น้องสะใภ้สี่รู้ข่าวไม่มีผิดเลยเจ้าค่ะ ตอนแรกนั้นน้องสะใภ้สี่ก็ไม่กล้าเชื่อเจ้าค่ะ!” ตวนมู่เยี่ยนอวี่เอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ “ทว่าท่านหมอผู้นั้นบอกว่า น้องสะใภ้สี่ตั้งท้องได้เดือนกว่าแล้ว จึงไม่มีทางตรวจผิดแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูทั้งดีใจทั้งโมโห ทางหนึ่งก็บอกให้เผยเหม่ยเหนียงรีบนั่งลง เพื่อมิให้เหนื่อยเกินไป อีกทางหนึ่งก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เดือนกว่าแล้ว รอบเดือนเจ้าเป็นเช่นใด? อย่าได้เลอะเลือนเหมือนพี่สะใภ้สามของเจ้าเชียว!”
เว่ยฉางอิ๋งอดเลิ่กลั่กจนหน้าแดงไม่ได้
เผยเหม่ยเหนียงเองก็เอ่ยอย่างขัดเขินปนขลาดๆ ไปว่า “ไม่ปิดบังท่านป้า รอบเดือนของหลานสะใภ้ …ไม่เคยมาตามกำหนดเลยเจ้าค่ะ หลานจึงนึกว่าครั้งนี้น่าจะมาช้ามากไปสักหน่อยเจ้าค่ะ!”
“เจ้าเด็กพวกนี้ แต่ละคนเลอะเลือนยิ่งนัก! เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ก็ยังไม่ใส่ใจ! ดีที่ล้วนอยู่ดีไม่มีอันตราย เวลานี้กวงเอ๋อร์คลอดออกมาแล้ว ข้าก็จะไม่ต่อว่าฉางอิ๋งแล้ว เหม่ยเหนียงเจ้านี่ก็จริงๆ เชียว วันนี้ยังไปงานเลี้ยงอีก นี่หากว่าเหน็ดเหนื่อยเกินไป แล้วจะทำเช่นใด?” ฮูหยินซูไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี จึงตำหนิไปเล็กน้อยรอบหนึ่ง และกำชับเผยเหม่ยเหนียงถึงข้อห้ามนานัปการ จากนั้นก็เรียกให้คนยกเกี้ยวเล็กมา บอกว่าต้องพาสะใภ้ใหญ่แห่งจวนเซียงหนิงปั๋วผู้นี้กลับไปที่เรือนด้วยความระมัดระวัง
_____________________