ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 186 เรื่องอภิเษกขององค์หญิง (1)
…ที่สุดแล้ว เว่ยฉางอิ๋งยังต้องพยายามพูดกลบเกลื่อนเสิ่นจั้งหนิงไปพักใหญ่จึงสามารถไล่นางไปได้ แต่กลับไตร่ตรองเรื่องที่เสิ่นจั้งหนิงบอกว่านางเอาปิ่นทองด้ามหนึ่งและรบเร้าองค์หญิงอันจี๋ไม่ยอมเลิกราจึงสามารถแลกกับดอกไม้อัญมณีขององค์หญิงอันจี๋มาได้ แม้ภายนอกนั้นองค์หญิงอันจี๋จะมีชื่อเสียงเรื่องความดุร้าย แต่ความจริงแล้วสถานการณ์ในวังของนางกลับลำบากแสนเข็ญยิ่งนัก การอภิเษกถือเป็นโอกาสเดียวที่นางมี
ในเรื่องสำคัญเช่นนี้ องค์หญิงอันจี๋จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก รอบคอบแล้วรอบคอบอีก องค์หญิงเองก็เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่านางไม่เร่งร้อน เพราะปีนี้องค์หญิงเพิ่งจะปักปิ่นเท่านั้น! แต่จู่ๆ ก็มาถามถึงตนกับเสิ่นจั้งหนิงเอายามนี้ แม้ไม่ได้ให้ เสิ่นจั้งหนิงรู้เรื่องราวที่แท้จริง ทว่าก็ทำให้เห็นว่าองค์หญิงกำลังร้อนใจแล้ว
ตลอดหลายวันมานี้ องค์หญิงทั้งคลอดบุตรทั้งอยู่เดือน จึงต้องเหินห่างกับเรื่องต่างๆ มากมายอย่างขาดไม่ได้ ครานี้เมื่อไตร่ตรองดูถึงสาเหตุที่องค์หญิงอันจี๋เกิดร้อนใจขึ้นมา … จู่ๆ ก็คิดหาต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ไม่ได้ แต่เว่ยฉางอิ๋งก็รู้ว่าบ้านสามีกำลังวางแผนการโค่นล้มองค์รัชทายาท ส่วนอีอ๋องก็คิดจะมาแทนที่องค์รัชทายาท …แม้แต่สามีของท่านอาหญิงใหญ่ พอพระมารดาจี้อ๋องมาจากไปในอย่างพอดิบพอดีเช่นนี้ ก็ยังมองออกว่าเขามีความทะเยอทะยานแสดงออกมาให้เห็น…
องค์หญิงอันจี๋เป็นพระธิดาองค์เดียวของท่านหญิงเจินอี้ สองแม่ลูกล้วนไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้ ทั้งท่านหญิงเจินอี้ก็ไม่มีบ้านฝั่งแม่ที่มีชื่อเสียงอันใด ว่ากันตามหลักแล้วเรื่องใหญ่เช่นการล้มล้างองค์รัชทายาทก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกันนาง แต่สรรพสิ่งยากคาดเดา อย่างเช่นว่าอดีตสนมฮั่วปีนั้นเป็นถึงหนึ่งในสี่ของสนมขั้นหนึ่งเต็มขั้น เมื่อเทียบกันแล้วนอกจากมีตำแหน่งสูงกว่าท่านหญิงเจินอี้ชั้นหนึ่งแล้ว บ้านฝั่งมารดาของนางก็ยังคือตระกูลฮั่วแห่งอวิ๋นเสียทีเดียว!
อดีตสนมฮั่วก็มิใช่ว่ามีเพียงองค์หญิงหลิงเซียนเพียงผู้เดียว สองแม่ลูกไม่เคยไปหาเรื่องหาราวกับใคร แต่ก็กลับไปพัวพันกับการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายหกอย่างน่าประหลาด? ตราบจนองค์ชายหกสิ้นพระชนม์ เขาก็ยังไม่ใช่องค์รัชทายาท เป็นเพียง องค์ชายพระองค์หนึ่งที่ฮ่องเต้โปรดปรานเท่านั้น
เมื่อมีตัวอย่างให้เห็นอยู่ก่อนหน้า เกรงว่าองค์หญิงอันจี๋จะได้กลิ่นผิดปกติบางอย่าง เวลานี้หากนางไม่รีบหาทางหนีไปจากเรื่องนี้ก็จะไม่อาจวางใจได้
อุปนิสัยขององค์หญิงพระองค์นี้ เข้ากับเว่ยฉางอิ๋งได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นก็จัดการเรื่องราวมาจนถึงขั้นนี้แล้ว หากจะอยู่เฉยไม่แยแสนางก็กระไรอยู่ ปัญหาคือเวลานี้ เว่ยฉางอิ๋งยังคงไว้สวมชุดไว้ทุกข์ให้อาสะใภ้ จึงไม่เหมาะจะเข้าวังแต่อย่างใด องค์หญิงอันจี๋เป็นสตรีที่ยังไม่แต่งงาน และต้องไว้ทุกข์ให้พระมารดาจี้อ๋องเก้าเดือน จึงไม่เหมาะจะเอ่ยเรื่องอภิเษก …ช่วงเวลาที่นางตวนมู่และพระมารดาจี้อ๋องเสียไปห่างกันเพียงสองวัน รอจนออกทุกข์แล้วก็ยังอีกตั้งสี่เดือนทีเดียว! ผู้ใดจะรู้ว่าในช่วงเวลาสี่เดือนนี้จะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง?
เว่ยฉางอิ๋งไตร่ตรองไปมา กลับคิดถึงคนคนหนึ่งที่อาจจะเข้ามาเป็นตัวเชื่อมระหว่างกลางได้ วันเวลาก็พอดิบพอดี จึงเรียกนางหวงมาตรงหน้าและสั่งความเสียงเบาว่า…
จากนั้นสองวัน องค์หญิงหลิงเซียนนำผลอิงเถาไปมอบที่ต่างๆ ในวังหลวง แล้วบอกอีกว่าห้องครัวในจวนของนางคิดค้นอาหารตำหรับใหม่ขึ้นมา โดยมีผลอิงเถาเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งต้องนำมาย่างรวมกับส่วนประกอบอื่นๆ มีรสชาติแปลกใหม่นัก เพียงแต่เก็บรักษาไม่ใคร่สะดวก จะต้องกินในทันที อยากให้ทุกพระองค์ในวังมาลองชิมในจวนขององค์หญิง หากว่าดีก็จะนำไปถวายในวัง
นางอวิ๋นให้คนที่มาส่งผลอิงเถากลับไปอย่างเกรงใจแต่ดูเฉื่อยชา เมื่อกลับเข้ามาในท้องพระโรงก็พูดกับฮองเฮาว่า “ทำมาเป็นบอกว่าจะนำมาถวายในวัง ก็มิใช่ว่าต้องการจะประจบให้ฮ่องเต้โปรดปรานหรอกรึ?”
“ปล่อยนางไปเถิด!” เวลานี้ฮองเฮากู้ต้องคอยจับตาดูจี้อ๋องและยังต้องคอยจับตาดูอีอ๋อง หาได้มีแก่ใจไปสนใจองค์หญิงหลิงเซียน “นางจะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่โปรดปราน ดีชั่วก็เป็นเพียงองค์หญิงพระองค์หนึ่ง ทั้งยังแต่งออกไปและมีลูกชายลูกสาวแล้ว ต่อให้จู่ๆ ฮ่องเต้เกิดโปรดนางขึ้นมา อย่างดีก็เพียงกำนัลเงินทองแพรพรรณเป็นเกียตริเล็กๆ น้อยๆ หานับเป็นสิ่งใดได้ไม่”
นางอวิ๋นรู้ว่าเวลานี้ฮองเฮากำลังรำคาญพระทัยกับจี้อ๋องและอีอ๋องที่กำลังหมายปองตำแหน่งผู้สืบราชบัลลังก์ จึงเข้าใจและไม่ไปเอ่ยคำพูดทำนองนี้อีก
ทางฟากตำหนักหมิงกวง เหยาเถาบอกกับสนมเอกเติ้งว่า “แม้จะบอกว่าทุกแห่งในวังล้วนได้รับเหมือนกัน แม้แต่ตำหนักโต้วจิ่นก็ยังได้รับด้วย แต่หม่อมฉันสังเกตดูแล้ว ของที่ส่งไปให้ทางฮ่องเต้นั้นดีที่สุดเพคะ ส่วนของเรา ข้างบนดูแล้วก็เหมือนกับของที่อื่น ครึ่งล่างกลับไม่แตกต่างกับขององค์ฮ่องเต้ เห็นชัดว่าองค์หญิงหลิงเซียนทรงจดจำพระสนมเอกเอาไว้แล้วเพคะ”
สนมเอกเติ้งเอ่ยอย่างพึงพอใจว่า “นางจำได้ เช่นนั้นก็ไม่เสียแรงที่ข้าช่วยสนับสนุนบุตรสาวของในครานี้”
เหยาเถารีบเอ่ยสำนับไปว่า “อาหารที่องค์หญิงตรัสถึงเกรงว่าก็จะทำมาเพื่อ พระสนมเอกด้วยนะเพคะ!”
“ข้าหาได้มีเวลาไปที่จวนนางไม่” สนมเอกเติ้งแย้มยิ้มพลางว่า “ฮ่องเต้ทางนั้น นางก็ยิ่งไม่มีหวังใหญ่ อยากมากก็คงจะเป็นชิงซินที่อายุยังน้อยและไม่มีกิจใด จึงจะไปร่วมวงกับนางที่จวน เพียงแต่หากชิงซินไปก็คงไม่มีเรื่องดีอันใด …หวังแต่ว่าครานี้บุตรสาวนางอย่าได้ทำให้ชิงซินไม่พอใจอีกเป็นดี”
เรื่องราวเป็นดังที่สนมเอกเติ้งคาดไว้ไม่มีผิด ผลอิงเถาที่องค์หญิงหลิงเซียน นำมาแสดงความกตัญญูนี้ ฮ่องเต้ก็เพียงเอ่ยชมไปอย่างราบเรียบคำหนึ่งเท่านั้น ฮ่องเต้ทรงตอบกลับไปอย่างเอื่อยเฉื่อยว่าโอรสธิดาของฮ่องเต้มีมากมาย กระทั่งมีโอรสธิดาอีกมากมายที่จำชื่อไม่ใคร่ได้ด้วยซ้ำ องค์หญิงหลิงเซียนเป็นพวกที่ไม่เป็นที่รัก ฮ่องเต้ย่อมคร้านจะไปเกียรติใด …อาหารตำรับใหม่ฮ่องเต้ก็หาใช่คนประเภทเห็นแก่กิน อาหารชั้นเลิศในวังเดิมทีก็มีอยู่ไม่น้อย เหตุผลนี้ยังไม่สามารถดึงดูดฮ่องเต้ได้
ในเมื่อฮ่องเต้ยังไม่ให้เกียรติ ทั้งฮองเฮาและเหล่าสนมทั้งหมดจึงพากันปฏิเสธตามไปด้วย กลายเป็นบรรดาองค์หญิงเสียอีก …โดยเฉพาะองค์หญิงชิงซินที่พอได้ยินเรื่องอาหารตำรับใหม่ที่พระพี่นางบอกก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากได้ยินแล้วก็บอกกับฮองเฮาในทันใดว่าจะไป
เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ฮองเฮากู้ย่อมต้องปล่อยตามใจพระธิดา ทว่าคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงอันจี๋ก็จะไปด้วย
องค์หญิงชิงซินได้ยินข่าวนี้ก็เบ้ปาก ครั้งก่อนพี่นางน้องนางสามพระองค์เสด็จไปถวายพระพรพระธิดาเฉิงเสียนผู้เป็นลูกผู้พี่ในวันออกเรือน ไม่นึกว่าเพิ่งจะเข้าไปในจวนอ๋อง ยังไม่ทันได้พบกับพระธิดาเฉิงเสียนเลย องค์หญิงชิงซินก็ทะเลาะกับองค์หญิงอันจี๋ด้วยเรื่องของเว่ยฉางอิ๋งเสียแล้ว ไม่ทันสองคำองค์หญิงชิงซินก็ถูกองค์หญิงอันจี๋ตีเอา ต้องล้มจนหัวเข่าถลอก …หลังจากกลับวังมาองค์หญิงอันจี๋ไปรับโทษอย่างสบายใจ แต่ตอนที่นางกำลังรับโทษอยู่นั้น องค์หญิงชิงซินกลับวิ่งไปเยาะเย้ยนาง และเกือบจะถูกนางชกให้อีกครั้ง…
องค์หญิงตัวน้อยพระชันษาเพียงสิบเอ็ดขวบถูกประคบประหงมในฝ่ามือตลอดมา แม้คำพูดรุนแรงสักคำก็ยังไม่เคยฟังมาก่อน ไม่คิดว่าถัดขึ้นไปจากนางกลับมีพระพี่นางที่ดุร้าจอยู่หนึ่งพระองค์ องค์หญิงชิงซินอายุยังน้อยนัก เมื่อถูกจัดการมาสองรอบ แต่กลับเห็นว่าองค์หญิงอันจี๋ยังคงเป็นพี่สาวนางต่อไปอย่างอยู่ดีมีสุข ทั้งไม่กลัวว่าจะถูกลงโทษ นางจึงรู้สึกค่อนข้างกลัวพี่นางพระองค์นี้ เวลานี้มาได้ยินว่าองค์หญิงหลินชวนไม่ไป มีเพียงพระพี่นางอันจี๋และตนเองที่อยากไป พลันรู้สึกไม่ยอมใจขึ้นมาและบอกกับฮองเฮาว่า “ลูกไม่อยากให้อันจี๋ไปด้วย เสร็จแม่ให้นางอยู่ปรนนิบัติเจินอี้ที่ตำหนักโต้วจิ่นสิเพคะ!”
ฮองเฮากู้ย่อมต้องรับปากพระธิดา รอจนองค์หญิงอันจี๋มาบอกว่านางก็อยากไปที่จวนขององค์หญิงหลิงเซียน จึงบอกไปอย่างเฉยชาว่า “ข้าได้ยินมาว่าสองวันมานี้พระมารดาของเจ้าร่างกายไม่ใคร่แข็งแรง เจ้าเป็นเด็กที่กตัญญูมาโดยตลอด เหตุใดครานี้จึงมีแก่ใจจะไปข้างนอกเล่า?”
“พระวรกายกายของพระมารดาไม่สู้ดี และไม่อยากอาหารมาโดยตลอด อาหารที่ห้องครัวเล็กทำก็ล้วนไม่ถูกปากเพคะ” องค์หญิงอันจี๋เอ่ยอย่างสงบ “ฉะนั้นลูกคิดว่าเมื่อทางพระพี่นางมีอาหารตำรับใหม่ หากว่าดีก็จะขอจากพระพี่นางมาชุดหนึ่งเพื่อให้พระมารดาได้ลองเสวยดูให้ช่วยเจริญอาหารเพคะ”
ฮองเฮากู้จึงว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้ เจ้าก็ไม่ก็ไม่ต้องไปด้วยตนเองโดยเฉพาะ ข้าจะส่งคนไปที่จวนของหลิงเซียนแล้วคัดลอกวิธีทำมาให้เจ้าเป็นพอแล้ว”
“ลูกขอบพระทัยเสร็จแม่!” องค์หญิงอันจี๋กล่าวขอบพระทัยในพระเมตตาของ ฮองเฮาไปก่อน จากนั้นพลันเปลี่ยนท่าทีแล้วเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ของในห้องครัวเล็ก นอกจากข้าวสาร เส้นหมี่และผักสดที่ไม่ใคร่แล้ว ก็ไม่มีของที่พอจะใช้การได้เลยสักอย่าง ลูกได้ยินว่าอาหารตำรับนี้ของพระพี่นางต้องมีวัตถุดิบซับซ้อน เกรงว่าของในห้องครัวเล็กกลับจะทำออกมาได้ไม่ถึงครึ่งเสียด้วยซ้ำ….ดังนี้ หากมีเพียงวิธีปรุง ลูกกลับกลัวว่าห้องครัวเล็กจะทำได้เพียงแต่ดูเท่านั้นกระมังเพคะ?”
คำพูดนี้ทำเอาฮองเฮากู้เองก็ยากจะหาทางไปได้ หน้านางเขียวๆ แดงๆ อยู่พักหนึ่งจึงบอกว่า “ทางตำหนักของเจ้า เหตุใดจึงขาดเหลือถึงเพียงนี้? สำนักเครื่องต้นช่างเลอะเลือนนัก!”
นางอวิ๋นรีบต่อบันไดให้ฮองเฮาลง “หลายวันมานี้องค์ฮองเฮาทรงปวดพระเศียร จึงผ่อนคลายเรื่องต่างๆ ภายในวัง ปรากฏว่าคนเหลานี้กลับหละหลวมขึ้นมาเสียแล้ว!”
“ที่แท้เป็นดังนี้หรือเพคะ? เวลานี้เสด็จแม่ยังสบายดีอยู่หรือไม่เพคะ?” องค์หญิงอันจี๋รีบเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
ฮองเฮากู้ทอดถอนใจบอกว่า “วันนี้ดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว ก่อนหน้านี้มักจะเวียนหัว จึงไม่ใคร่สนกิจต่างๆ นัก ไม่คิดว่าจะทำให้พวกเจ้าแม่ลูกต้องลำบากแล้ว!”
องค์หญิงอันจี๋คิดในใจว่าเบี้ยของตำหนักโต้วจิ่นก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งถูกตัดไปวันสองวัน หรือเสด็จแม่ท่านจะปวดหัวทุกวันเช่นนั้น …ทว่านางก็รู้ว่าตนเองแม่ลูกไม่มีทางสู้กับฮองเฮาได้ จึงทำเป็นเชื่อคำพูดนี้ และพูดเอาใจฮองเฮาสักพัก จึงว่า “เสด็จแม่อย่าไปลงโทษนางในเหล่านั้นเลยเพคะ คาดว่าพวกนางคงจะมีกิจยุ่งนัก จึงได้ทำการพลั้งพลาดเพคะ”
องค์หญิงอันจี๋เตือนสติมาดังนี้ ฮองเฮากู้ก็ไม่สามารถและไม่สมควรไม่บอกว่าไม่มีความผิดแล้ว “ต่อให้มีงานยุ่งเพียงใด เหตุใดจึงละเลยกระทั่งตำหนักของท่านหญิงขั้นหนึ่งที่อยู่ในวัง?”
จึงไปเรียกคนจากสำนักเครื่องต้นมาในทันใดแล้วตำหนิไปรอบหนึ่ง พลางสั่งการอย่างเด็ดขาดให้พวกนางเร่งนำของไปเติมให้ที่ตำหนักโต้วจิ่น แล้วหันมาปลอบ องค์หญิงอันจี๋คราวหนึ่ง พร้อมกับนำเสื้อผ้าและอาหารกำนัลให้นางเป็นการปลอบใจ …รอจน องค์หญิงอันจี๋ไปแล้ว ฮองเฮาจึงทอดถอนใจกับนางอวิ๋นว่า “ข้าก็นึกว่านางวันๆ เอาแต่คอยเฝ้าพระมารดา เหตุใดจึงคิดจะไปที่จวนของหลิงเซียนกัน? ที่แท้ก็จะใช้โอกาสนี้มาทวงถามกับข้านี่เอง”
นางอวิ๋นกลับมาเตือนสติฮองเฮาว่า “หลายวันก่อนอีอ๋องยังบอกว่าลูกอยากปรนนิบัติดูแลแต่มารดากลับไม่อยู่เสียแล้ว จึงต้องคอยดูแลท่านหญิงเจินอี้ให้ดีๆ อยู่เลยนะเพคะ! ปรากฏว่าตู้อาหารของทางองค์หญิงอันจี๋กลับขาดเหลือถึงเพียงนั้น แต่เขากลับไม่รู้ และยังต้องให้องค์หญิงอันจี๋มาฟ้องโดยอ้อมๆ อีกเพคะ”
ฮองเฮากู้พลันตระหนักขึ้นมาได้จึงตบมือแล้วบอกว่า “มิผิด! ปากเอาแต่พร่ำบอกว่าตนเองกตัญญูเพื่อประจบให้ฮ่องเต้ทรงชมเชยเขา ไม่คิดว่าพอย้อนกลับมาที่แท้แล้วเจินอี้ก็ยังโชคดีที่มีบุตรสาวแท้ๆ อยู่คนหนึ่ง! คนที่ไม่ซื่อสัตย์ไม่กตัญญูดังนี้ แล้วจะไม่ให้ฮ่องเต้ทรงทราบได้อย่างไร?”
ในตำหนักเว่ยยางกำลังหารือกันว่าจะใช้เรื่องนี้ไปจัดการอีอ๋องเช่นใด ยิ่งจัดการไปถึงสนมเอกเติ้งให้หนักๆ สักหนได้เป็นดีที่สุด แม้องค์หญิงอันจี๋จะได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้ แต่เมื่อนางกลับไปที่ตำหนักโต้วจิ่นก็กลับมีท่าทีไม่สดใส
ท่านหญิงเจินอี้สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของพระธิดา พลันสั่งให้บ่าวซ้ายขวาออกไปแล้วเอ่ยถามเสียงเบาๆ ขึ้นมา
สองแม่ลูกประคับประคองซึ่งกันเรื่อยมาตลอดหลายปี ล้วนหวังวาเมื่อองค์หญิงอันจี๋อภิเษกก็จะรับท่านหญิงเจินอี้ไปปรนนิบัติที่จวนขององค์หญิง …นับแต่นั้นก็จะไม่ต้องไถ่ถามถึงวันคืนที่ไม่สงบสุขอีกเลย ดังนั้นระหว่างคนทั้งคู่ย่อมไม่มีเรื่องใดปิดบังกัน
องค์หญิงอันจี๋จึงเล่าเรื่องแต่ต้นจนจบให้ฟัง “…ไม่นึกว่า เว่ยฉางอิ๋งยังต้องไว้ทุกข์ให้อาสะใภ้ไม่เหมาะมาเข้าวัง ส่วนลูกก็ไม่มีเหตุผลไปหานาง ยิ่งไปกว่านั้นลูกก็ยังต้องไว้ทุกข์ให้พระมารดาจี้อ๋องด้วย! จึงทำได้เพียงฝากคำกับเสิ่นจั้งหนิงน้องสามีของนางไปบอกนางอ้อมๆ คำหนึ่ง เวลานี้พระพี่นางหลิงเซียนนำผลอิงเถามามอบให้ ทั้งยังเชิญข้าไปที่จวน ลูกคิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเว่ยฉางอิ๋ง น้องชายของนางก็มิใช่ว่าหมั้นหมายกับธิดาของพระพี่นางหลิงเซียนหรอกหรือเจ้าคะ? ข้าจึงอยากจะไปดูว่าเป็นดังนี้หรือไม่ ไม่คิดว่ากลับถูกเสด็จแม่ขัดขวาง …เวลานี้พระเชษฐาสิบเอ็ดนับวันยิ่งเข้าใกล้สนมเอกเข้าไปทุกที ลูกได้ยินเสียงร่ำลือบางอย่างจากในวังจึงรู้สึกกลัวนัก คิดว่าอย่างไรก็ควรคิดหาทางอภิเษกให้เร็วๆ ได้เป็นดี เพื่อมิให้เหมือนกับพี่นางหลิง…เพื่อมิให้ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องเพคะ แต่สำหรับคนภายนอกนั้นลูกเองก็ไม่ทราบชัดแจ้งนัก และกลัวว่า…”
ท่านหญิงเจินอี้อดปวดใจขึ้นมาไม่ได้ “ล้วนเป็นเพราะแม่ไม่ได้ความ จนทำให้เจ้าต้องพลอยลำบากไปด้วย!”
_____________________