ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 187-2 เรื่องอภิเษกขององค์หญิง (2)
“….” ในอกที่เคยมีแต่ความคับข้องใจของท่านหญิงเจินอี้พลันพองโตขึ้นมา …การแต่งงานขององค์หญิงอันจี๋จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชะตาชีวิตของสองแม่ลูก เมื่อไม่เป็นที่รักมาสิบกว่าปีท่านหญิงเจินอี้จึงไม่เคยหวังว่าจะได้กลับมาเป็นที่รักอีกตั้งนานมาแล้ว และด้วยเหตุนี้นางจึงใส่ใจเรื่องการแต่งงานของพระธิดาเป็นที่สุด และกลับไม่ได้ใส่ใจในเรื่องอื่นอีกเลย …แม้พวกสตรีชั้นสูงจะไม่ได้เข้ามาประจบสอพลอกันทุกคน ทว่าก็ไม่ได้อดทนจะมาร่ำไรกับพวกสนมที่แม้จะมีฐานสูงส่งแต่ก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปราน และที่สำคัญที่สุดก็คือไม่มีชาติกำเนิดสูงส่งเช่นนาง ยิ่งจะไม่มาแนะนำบุตรหลานของพวกตนให้นางด้วย
เรื่องราวต่างๆ ของบุตรหลานคนมีตระกูลในเมืองหลวงที่ท่านหญิงเจินอี้รู้ล้วนเป็นเมื่อครั้งสิบกว่าปีก่อนที่นางยังไม่ถูกหลงลืมและองค์หญิงอันจี๋ยังเล็กอยู่เท่านั้น ซึ่งในตอนนี้ผู้คนเหล่านั้นก็อ่อนกว่าองค์หญิงอันจี๋เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ดังนั้นแล้วนางจึงไม่อาจช่วยเหลือบุตรสาวในเรื่องนี้ได้เลย หาไม่แล้วองค์หญิงอันจี๋ก็จะไม่ออกหน้าเอง โดยการไปไหว้วานเว่ยฉางอิ๋ง สตรีชั้นสูงที่ยังเยาว์วัยซึ่งนางจับพลัดจับผลูไปช่วยมาหนหนึ่ง
….เนิ่นนานหลังจากนั้น ท่านหญิงเจินอี้ขบริบฝีปาก กล่าวว่า “ในเมื่ออิ๋งเอ๋อร์อยากเดิมพัน เช่นนั้นแม่ก็จะเดิมพันกับเจ้าด้วย! เจ้าไม่ต้องไปเอ่ยเรื่องนี้ด้วยตนเอง เป็นอิสตรีในเมื่อยังมีบิดามารดาอยู่แล้วตนเองไปออกปากเรื่องนี้ยิ่งทำให้เจ้าลำบากนักแล้ว แม่จะไปพูดให้เจ้าเอง!”
องค์หญิงอันจี๋ตกตะลึง จากนั้นก็เอ่ยอย่างร้อนใจว่า “ไม่ได้ สุขภาพของพระมารดาท่าน…” ท่านหญิงเจินอี้ถูกฮ่องเต้หลงลืมไว้บนเมฆชั้นเก้าตั้งนมนานกาเลแล้ว หลายปีมานี้ล้มป่วยเจียนตายมาหลายครั้ง ฮ่องเต้ก็ยังไม่สนพระทัยเลย แล้วจะยังมีหน้าตาใดไปช่วยพูดแทนพระธิดาได้อีก? เพียงแต่องค์หญิงอันจี๋ใจไม่แข็งพอจะพูดตรงๆ ได้ จึงอ้างเรื่องสุขภาพของนางขึ้นมาแทนเท่านั้น แต่ท่านหญิงเจินอี้กลับตบที่หลังมือนางแล้วแย้มยิ้มน้อยๆ “เด็กโง่ ก็เพราะสุขภาพร่างกายของแม่ไม่ได้ความ แม่จึงหวังให้เจ้าได้อภิเษกเสียไวๆ ให้ความปรารถนาของแม่เป็นจริงเสียที!”
… ในเรือนจินถง เว่ยฉางอิ๋งเห็นคนที่องค์หญิงหลิงเซียนส่งมาส่งผลอิงเถา คนที่มาบอกกับนางอย่างขอขมาลาโทษว่า องค์หญิงอันจี๋ไม่อาจไปที่จวนองค์หญิงหลิงเซียนได้ “…ได้ยินว่าเป็นองค์ฮองเฮาขัดขวางไม่ให้มาเจ้าค่ะ องค์หญิงของพวกเราเกรงว่าหากถามถึงหรือเชิญมาเป็นการพิเศษก็จะทำให้องค์ฮองเฮาทรงสงสัยเอา จึงได้แต่รับรององค์หญิงชิงซิน และไม่ได้เอ่ยถามเรื่องอื่นเจ้าค่ะ”
“ครานี้รบกวนองค์หญิงหลิงเซียนจริงๆ แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าองค์หญิงอันจี๋ไม่อาจมาที่จวนองค์หญิงหลิงเซียน ยิ่งไปกวานั้นก็ยังเป็นเพราะฮองเฮากู้ขัดขวางเอาไว้ ใจก็เต้นขึ้นมาน้อยๆ แต่จากนั้นก็คิดได้ว่าหากฮองเฮากู้รู้เรื่องนี้ ต่อให้ไม่ชอบ ก็ไม่อาจทำอันใดตนได้ …เวลานี้ทั้งจี้อ๋องและอีอ๋องล้วนอยู่ในเมืองหลวงทั้งคู่ ฮองเฮาจะมาวุ่นวายเรื่องสองพระองค์นี้ก็ยังไม่ทันแล้ว! ฮองเฮาที่เห็นแก่เรื่องส่วนรวมเพียงนั้นจะต้องมาก่อเรื่องใดในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้พูดเรื่องที่ตนเองช่วยสอบถามเรื่องตัวเลือกพระสวามีของ องค์หญิงอันจี๋ออกไปก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด
หลังจากบอกกล่าวถึงความซาบซึ้งใจแล้วก็ให้บ่าวขององค์หญิงหลิงเซียนกลับไป เว่ยฉางอิ๋งตั้งสติใคร่ครวญอยู่นานก็คิดวิธีอื่นที่จะติดต่อกับองค์หญิงอันจี๋ไม่ได้ และไม่รู้ว่าสถานการณ์ในวังตอนนี้เป็นเช่นใด …คิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ออก แล้วแม่นมเจ้าก็อุ้มเสิ่นซูกวงเข้ามา บอกว่า “วันนี้เป็นวันเกิดของฮูหยินน้อย ข้าน้อยพาคุณชายน้อยมาโขกหัวคารวะฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”
วันนี้เป็นวันเกิดของเว่ยฉางอิ๋งจริงดังว่า ทว่าตอนนี้นางยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนานา ทั้งถัดขึ้นไปก็ยังมีญาติผู้ใหญ่ ทั้งตนเองก็ยังต้องไว้ทุกข์ จึงไม่มีแก่ใจไปจัดงานฉลองอันใด ทางเรือนนางจึงให้นางหวงเป็นคนลงมือทำบะหมี่หนึ่งชาม บ่าวในเรือนเข้ามาโขกหัวอวยพร และนางก็มอบเงินให้เล็กๆ น้อยเป็นพอแล้ว ฮูหยินซูและทุกคนในบ้านเสิ่นกลับมีน้ำใจส่งของกำนัลมาให้ เว่ยเซิ่งอี๋และเว่ยเจิ้งอิน อาทั้งสองของนางก็ยังไม่ลืมมาอวยพรไว้ล่วงหน้าแล้ว
เมื่อได้ยินว่าเว่ยฉางอิ๋งตัดสินใจว่าจะไม่จัดงานเลี้ยง ท่านอาทั้งสองก็รู้ว่าประการแรกนางมีงานยุ่ง ประการที่สองการเป็นสะใภ้ไม่เหมือนเป็นคุณหนู ต้องดูความต้องการของผู้ใหญ่ก่อนจึงสามารถตัดสินใจว่าวันนี้จะให้มีการรับรองแขกเหรื่อหรือไม่ และรู้ว่าไม่ต้องให้บุตรธิดามาด้วยตนเอง จึงเพียงให้คนมามอบของกำนัลสักชิ้นเท่านั้น ฉะนั้นเรือนจินถงในวันนี้ก็ยังคงเงียบสงบ ไม่มีการฉลองอันใดเป็นพิเศษให้เห็น
“เขายังเล็กเพียงนั้น จะคารวะเป็นที่ใด?” เมื่อได้ยินนางเจ้าเอ่ยเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ แล้ววางเรื่องของ องค์หญิงอันจี๋ไว้ข้างๆ ก่อน ยกมือขึ้นเป็นทีว่าให้นางเจ้าส่งห่อผ้ามา แต่นางเจ้ากลับอุ้มห่อผ้านั้นแล้วคำนับไปหลายหนจึงค่อยส่งให้นาง นับว่าเสิ่นซูกวงคารวะนางแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่านางเข้ามาประจบเอาใจ พลันเม้มปากยิ้มและทำตามความต้องการของนาง จึงส่งสัญญาณบอกฉินเกอว่าอีกสักพักให้กำนัลเงินจำนวนหนึ่งแก่นาง เมื่อรับห่อผ้ามาก็มองดูบุตรชายอย่างละเอียด เวลานี้เสิ่นซูกวงนอนหลับเพิ่งตื่น กำลังสดใสอารมณ์ดี เด็กเล็กๆ ในวัยนี้เติบโตรวดเร็วนัก ผิดกับตอนที่เนื้อตัวเหยี่ยวย่นเมื่อครั้งเพิ่งคลอดออกมาเป็นคนละคนทีเดียว เขาเบิกตาสีดำใสแจ๋วกลมโตจดจ้องมองมารดาอย่างสงสัยใคร่รู้ เว่ยฉางอิ๋งเองก็มองเขาด้วยความรักเต็มหัวใจ เด็กเล็กๆ ที่เพิ่งครบเดือนมีผิวพรรณขาวเนียนนุ่มนวล ไร้รอยด่างดำมลทินใด ปากเล็กๆ สีแดงระเรื่อยยู้เข้ามาน้อยๆ น่ารักน่าชังนัก มุมปากยังมีคราบน้ำลายคราบหนึ่ง …เว่ยฉางอิ๋งเอาผ้าเช็ดให้เขาอย่างระมัดระวัง ผ้าปักลายดอกกุหลาบแสนงามพลันดึงดูดความสนใจที่เขามีต่อมารดาไปในทันใด
เมื่อเห็นว่าเขาพยายามลดตาลงมามองที่ผ้าเช็ดหน้า เว่ยฉางอิ๋งจึงรีบเอาผ้ามาไว้ตรงหน้าให้เขาดู …ผ่านไปสักพัก เสิ่นซูกวงก็ไม่อยากมองผ้าเช็ดหน้าแล้ว นางหวงจึงบอกว่า “คุณชายน้อยยังเล็กนัก เวลานี้ยังมองได้ไม่ไกลเจ้าคะ ฮูหยินน้อยลองเอาของสวยๆ งามๆ ขยับเข้าไปใกล้สักหน่อย ดูว่าคุณชายน้อยชอบสิ่งใด?”
เพราะเสิ่นซูกวงยังเล็กนัก เมื่อเย้าหยอกเขาไปสักพัก ไม่นานเขาก็มีท่าทีอ่อนล้าแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจูบแก้มเขาหนหนึ่งแล้วส่งให้นางเจ้าไป พลางกำชับนางเบาๆ ว่าให้ดูแลเขาให้ดี
เวลาผ่านไปดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ได้ให้ความสำคัญใดกับวันนี้เท่าใด ไม่คิดว่าพอตกเย็น จู่ๆ หม่านโหลวซึ่งเป็นบ่าวของฮูหยินซูก็มาหาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า แล้วกล่าวทักทายเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นซูกวงก่อน เมื่อรู้ว่าทุกสิ่งเรียบร้อยดี จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าน้อยนำข่าวดีมาให้ฮูหยินน้อยสามเจ้าค่ะ ฮูหยินเป็นคนบอกข้าน้อยเองเชียวนะเจ้าคะ ลำพังแค่ข้าน้อยวิ่งมาแจ้งข่าวนี้ ฮูหยินน้อยสามต้องไม่มีทางไม่ดีต่อข้าน้อยเป็นแน่”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางว่ามาดังนี้ก็รู้ว่าจะต้องเป็นข่าวดีแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นข่าวที่มาจากทางฮูหยินซูด้วย …นางไตร่ตรองในทันใด จึงลองถามไปว่า “เกี่ยวกับท่านพี่ใช่หรือไม่?”
หม่านโหลวพลันตบมือหนหนึ่ง ยิ้มแล้วว่า “ฮูหยินน้อยปราดเปรื่องเช่นนี้ ข้าน้อยอุตส่าห์จะอุบเอาไว้ก่อนก็กลับไม่สำเร็จ!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามด้วยความยินดีเหนือคาดว่า “เป็นข่าวดีใด?” นางกำลังคิดว่า หรือว่า เสิ่นจั้งเฟิงจะกลับมาก่อนสักหน? หรือไม่ก็บอกว่าเสิ่นจั้งเฟิงต้องกลับมาแล้ว ด้วยก่อนหน้านี้ซูอวี๋อู่และเผยไค่ต้องมาพักรักษาตัวอยู่ที่คฤหาสน์จี้ นางย่อมเป็นกังวลถึงเขาขึ้นมานักหนา
แต่ในเมื่อหม่านโหลวดีใจเพียงนี้ ทั้งยังเล่าเรื่องล้อเล่นที่ฮูหยินซูบอกมา ฉะนั้น เสิ่นจั้งเฟิงจะต้องไม่เป็นไร
ปรากฏว่าหม่านโหลวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คุณชายสามอยู่ไกลถึงซีเหลียง แต่ก็ยังคงจำวันเกิดของฮูหยินน้อยสามท่านได้นะเจ้าคะ! จึงส่งคนนำจดหมายและของมาให้ท่านเจ้าค่ะ คนที่มาเร่งมาให้ทันวัน ที่สุดวันนี้ก็เข้าเมืองมาแล้วเจ้าค่ะ! ยามนี้ข้าน้อยนำจดหมายและของมามอบให้ท่านแล้ว! ท่านว่านี่มิใช่ข่าวดีหรือเจ้าคะ?”
____________________