ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 188-1 เรื่องอภิเษกขององค์หญิง (3)
หากข่าวนี้ไม่นับว่าเป็นข่าวดี เช่นนั้นข่าวดีก็คงมีน้อยเต็มทนแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งรับจดหมายและของมาด้วยความยินดีเต็มหัวใจ และกำนัลนางอย่างใจกว้างด้วยเงินแท่งหนึ่งคู่ …รอจนหม่นโหลวไปแล้ว นางก็เปิดจดหมายออกอ่านอย่างแทบทนรอไม่ไหว
คงเพราะเรื่องสงครามที่ทางซีเหลียงอยู่ในภาวะคับขันนัก และเสิ่นจั้งเฟิงต้องเขียนจดหมายในระหว่างมีกิจวุ่นวายนัก ตัวอักษรจึงเขียนหวัดเสียอย่างยิ่ง โดยรวมแล้วก็บอกเล่าว่าเขาปลอดภัยดี จากนั้นก็สอบถามเรื่องการตั้งครรภ์และคลอดบุตรของนาง ถามว่าทั้งแม่ละลูกปลอดภัยแข็งแรงดีหรือไม่ เสิ่นเซวียนสามีภรรยาเป็นเช่นใด …เมื่อสอบถามเรื่องต่างๆ ในบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงเขียนถ้อยคำหวานๆ มาอีกสองประโยค แล้วเล่าถึงของที่เขาส่งมาเป็นของกำนัลในวันเกิดของนาง
เพราะทางซีเหลียงไม่ได้ผลิตสิ่งใด ก่อนนี้ เสิ่นจั้งเฟิงคิดจะส่งของกำนัลวันเกิดให้ภรรยาสักหน่อย แต่จนใจเหลือที่หาของที่เหมาะสมไม่ได้เลย แต่กลับเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาและแม่ทัพเสิ่นหยิวเจี่ยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาวางแผนหลอกซุ่มโจมตีข่านมู่ซิวเอ่อร์ของพวกหรง แม้มู่ซิวเอ่อร์จะหนีรอดไปได้ ทว่าพวกเขาก็สามารถสังหารสิบเหยี่ยวแห่งกระโจมอ๋องของเขาลงได้ พวกทหารเก็บหยกสีโลหิตขนาดเท่าเล็บหัวแม่มือชิ้นหนึ่งมาได้จากตัวของเหยี่ยวแห่งกระโจมอ๋องคนหนึ่ง เพราะหยกมีสีสันงดงามนัก รู้ว่าเป็นของมีค่าไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าเก็บเอาไว้เองและนำมามอบให้เพื่อแลกกับความชอบ
เสิ่นจั้งเฟิงมาเห็นเข้าที่ที่พักของเสิ่นหยิวเจี่ย จึงเอามีพกเล่มหนึ่งของตนแลกมา แล้วนำไปให้ช่างทำเป็นต่างหูรูปนกสยายปีกที่ นอกจากจะเป็นของกำนัลในวันเกิดของภรรยาแล้ว ก็ยังทำให้เข้าชุดกับปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้คู่นั้นที่ฮูหยินซูเคยมอบให้นางก่อนหน้านี้ด้วย
เมื่ออ่านจดหมายจบแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็เปิดกล่องบุผ้าปักที่ส่งมาพร้อมกับจดหมายด้วยความเปรมปรีดิ์ แต่กลับเห็นว่าเนื้อหยกของต่างหูรูปนกสบายปีกนั้นงดงามยิ่งนักจริงดังว่า สีสันงดงาม สดใสเป็นประกาย ประหนึ่งโลหิตสดๆ ที่ยังไม่แห้งแข็งเช่นนั้น แต่ปัญหาก็คือ …นอกจากฝีมือการแกะสลักนกสยายปีจะไม่ทัดเทียมกับปิ่นที่ฮูหยินซูมอบให้คู่นั้นแล้ว แม้แต่แป้นต่างหูที่เป็นทองคำก็ยังมองดูออกว่าฝีมือของช่างหยาบกระด้างนัก
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นการทำให้หยกสีโลหิตชั้นดีต้องเสียราคา…
ไม่เพียงแค่เว่ยฉางอิ๋งเท่านั้น ทั้งพวกของนางหวงที่ห้อมล้อมกันเข้ามาดูด้วยความรู้สึกว่า ‘ปิ่นหยกชั้นเลิศเหนือเครื่องประดับอื่นที่ฮูหยินกำนัลให้ ปกติแล้วใส่กับเครื่องประดับอื่นได้ยาก ที่สุดเวลานี้คุณชายก็นำต่างหูที่คู่กันได้มาเพิ่มให้แล้ว’ แต่เมื่อมาเห็นต่างหูคู่นี้แล้วกลับรู้สึกผิดหวังกันอย่างหนัก และรู้สึกจากใจจริงว่าเสิ่นจั้งเฟิงทำให้หยกนี้เสียราคาจริงๆ หยกสีโลหิตชั้นเลิศปานนั้น แม้แต่ในตระกูลสูงศักดิ์เองก็ยังยากจะพบเห็นได้สักหน ถ้าคุณชายท่านหาช่างฝีมือที่เหมาะสมในซีเหลียงไม่ได้ ก็สามารถส่งหยกทั้งชิ้นมา แล้วพวกเราค่อยนำไปให้ช่างสกุลเยี่ยในเมืองหลวงทำสิเจ้าคะ…
ทว่านี่เป็นของที่เสิ่นจั้งเฟิงมอบให้ ทั้งยังต้องเร่งส่งจากซีเหลียงมาให้ทันกำหนดด้วย หลังจากเว่ยฉางอิ๋งผิดหวังไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ยังเอามาใส่ทันทีด้วยความชื่นชอบ แล้วสั่งคนให้ไปเอากระจกมา ส่องกระจกดูซ้ายขวาแล้วถามว่า “งามหรือไม่?”
ทุกคนย่อมไม่ไปขัดความสุขของนาง พากันบอกว่างามนัก
เพราะจดหมายและต่างหูคู่นี้ หลังจากเว่ยฉางอิ๋งได้รับมาแล้วก็อารมณ์ดีหนักหนาติดต่อกันไปหลายวัน
แต่เมื่อถึงปลายเดือนห้า จู่ๆ ก็มีข่าวข่าวหนึ่งแพร่ออกมาจากในวังหลวง ซึ่งทำให้นางรู้สึกประหลาดใจยิ่ง นั่นก็คือท่านหญิงเจินอี้ล้มป่วยหนัก หนักจนเจียนตายเลยทีเดียว
ฮ่องเต้ล้วนมองสนมที่ไม่เป็นที่รักเหมือนไม่มีตัวตน แม้ท่านหญิงเจินอี้จะเป็นท่านหญิงขั้นหนึ่ง จวบจนเวลานี้ฮ่องเต้ก็ไม่ไปเยี่ยมนาง
ทว่าองค์ฮองเฮาและพระสนมเอกที่มีชื่อเสียงว่าดีงามย่อมต้องไปแสดงน้ำจิตน้ำใจสักหน่อย เมื่อพวกนางไป ท่านหญิงเจินอี้ก็ใช้ลมหายใจสุดท้ายของนางร้องขอเรื่องเรื่องหนึ่งกับพวกนาง นั่นก็คือ …หวังว่าจะสามารถเห็นพระธิดาได้อภิเษกก่อนที่ตนจะตาย
โดยนามแล้วท่านหญิงเจินอี้ยังรับเลี้ยงดูองค์ชายสิบเอ็ดเซินปั๋วที่ได้รับพระยศเป็นอี๋อ๋อง ตามหลักจึงไม่เหมาะจะเอ่ยถึงเพียงองค์หญิงอันจี๋แต่ไม่เอ่ยถึงเซินปั๋ว แต่ ท่านหญิงเจินอี้เองก็มีเหตุผลว่า “สนมต่ำต้อยมีชาติกำเนิดที่แร้นแค้น ทั้งตนเองก็ยังโง่เง่านัก แล้วจักอบรบองค์หญิงได้เช่นไร? ทั้งยังได้ยินมาว่าหลายปีมานี้ อิ๋งเอ๋อร์เคยไปเสียมารยาทกับบรรดาสตรีชั้นสูง จึงรู้สึกเป็นกังวลกับนางยิ่งนัก! ดีที่ปั๋วเอ๋อร์เป็นองค์ชาย หลังจากสิบชันษาแล้วก็ย้ายไปอยู่ที่ตำหนักเจียมู่ มีอาจารย์และสหายที่ดีคอยให้คำชี้แนะ จึงไม่ถึงกับถูกสนมต่ำต้อยถ่วงให้เสียการ เวลานี้สนมต่ำต้อยจึงหวั่นใจว่าตนเองล้มป่วยด้วยโรคนานามาตลอดหลายปีนี้ทั้งยังเป็นคนไม่มีความรู้ จึงทำให้อิ๋งเอ๋อร์มีชื่อไม่ดีงามข้างนอก วันหน้าก็จะไม่มีคนบ้านใดต้องการนาง…”
นางพูดเช่นนี้ ในฉากหน้าแล้วไม่ว่าจะเป็นฮองเฮาหรือสนมเอกล้วนต้องไปปลอบโยนนางอย่างขาดเสียมิได้ ล้วนบอกว่าความจริงแล้วองค์หญิงอันจี๋ไม่ได้เลวร้ายอันใด ขอให้ท่านหญิงเจินอี้ทำใจให้สบายและดูแลรักษาตนเองให้ดี
ทว่าเป็นตายอย่างไร ท่านหญิงเจินอี้ก็ไม่ยอมเชื่อคำนี้ ยืนกรานว่าตนเองจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่องค์หญิงอันจี๋ที่มีชื่อเสียงข้างนอกว่าดุร้ายนี้จะไม่มีคนเอา จะต้องได้เห็นองค์หญิงอันจี๋อภิเษก หรืออย่างน้อยก็ต้องหมั้นหมายเรียบร้อยแล้วจึงจะนอนตายตาหลับ ขอให้ฮองเฮาและสนมเอกช่วยทำให้นางสมหวังให้จงได้
ฮองเฮาและสนมเอกเห็นนางว่ามาดังนี้ ต่างก็คาดเดาอยู่ในใจว่านางน่าจะมีคนที่หมายตาเอาไว้แล้ว จึงเอ่ยปากสอบถามขึ้นมา
แต่พวกนางกลับไม่ได้รับปาก แล้วท่านหญิงเจินอี้จะยอมปริปากได้อย่างไร? พอยึดยื้อกันไปมาดังนี้ ว่าแล้วท่านหญิงเจินอี้ก็กระอักเลือดออกมา …อันจี๋ที่หลบอยู่หลังม่านกันลมพลันร้อนรนขึ้นมาทันใดและวิ่งเข้ามา ทางหนึ่งก็มาดูแลนาง อีกทางหนึ่งก็บอกว่าตนเองไม่อยากอภิเษก และจะอยู่รอปรนนิบัติพระมารดาแล้วจะอยู่ตัวคนเดียวไปชั่วชีวิตต่างๆ นานา … และท่านหญิงเจินอี้ก็ฟุบหน้าลงกับตั่งนอนวิงวอนต่อทั้งน้ำตา…
เกิดเรื่องชุลมุนวุ่นวายภายในตำหนักโต้วจิ่น ในใจของฮองเฮาและสนมเอกก็ว้าวุ่นไม่แพ้กัน พวกนางจึงพากันขอตัวพอผ่านๆ แล้วหลบออกไปก่อน เมื่อกลับมาถึงตำหนักของตนก็อดจะเรียกบ่าวคนสนิทเข้ามาหารือไม่ได้ “ดูอาการเจินอี้แล้วน่าจะอยู่ได้อีกไม่นานจริงดังว่า และคนข้างนอกก็มองอันจี๋ประหนึ่งเป็นน้ำบ่าไหลหลากและสัตว์ร้ายเช่นนั้น ไม่รู้จริงๆ ว่าวันหน้าจะมีบ้านใดกล้ารับนางไป”
“ท่านหญิงเจินอี้ไม่เป็นที่รักมานานแล้ว องค์หญิงอันจี๋ก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของ ฮ่องเต้ด้วย ฉะนั้นสิ่งที่ทั้งสองแม่ลูกปรารถนาก็ต้องอาศัยเพียงความเมตตาจากตำหนักเวยยางและตำหนักหมิงกวงสองตำหนักแล้วเพคะ” บ่าวคนสนิทของทั้งสองตำหนักล้วนมาว่าดังนี้ “ฉะนั้นวันนี้นางจึงวิงวอนอย่างหนักหนาสาหัสเพื่อให้องค์ฮองเฮาและพระสนมเอกยอมรับปากเพคะ”
“เพียงแต่ข่าวที่ข้าได้รับมาก่อนหน้านี้บอกว่าคนที่อันจี๋หมายตาก็คือเว่ยฉางเฟิง” คนที่พูดดังนี้คือสนมเอกเติ้ง นางขมวดคิ้วพลางว่า “เวลานี้เว่ยฉางเฟิงหมั้นหมายกับซูเนี่ยนชูบุตรสาวของหลิงเซียน ซึ่งนับว่าเป็นหลานน้าของอันจี๋ไปแล้ว ฉะนั้นตอนนี้เจินอี้อยากให้อันจี๋อภิเษกกับผู้ใดกันนะ?”
——————————-