ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 190-2 ชาติหน้าฉันใด ไม่พรากชั่วกัลป์
ศาลาแห่งนี้สร้างไว้ที่ริมสระบัว ทางด้านใต้ของศาลาก็สร้างลงไปในน้ำส่วนหนึ่ง เพราะเวลานี้ดวงอาทิตย์คล้อยไปทางตะวันตกแล้ว จึงม้วนม่านไม้ไผ่ที่เดิมทีปลดให้ลงมากันแดดขึ้นมุมหนึ่ง เมื่อมองผ่านหน้าต่างแก้วหลิวหลี เห็นเพียงดอกและใบบัวชูช่อแน่นขนัดอยู่นอกหน้าต่างทางทิศใต้ และบดบังสะพานเก้าโค้งที่พวกนางเดินผ่านตอนขามาเสียจนมิด
ภายในศาลามีการประดับประดางดงาม มองออกว่าที่นี่เป็นที่ที่เอาไว้ตอนรับแขกคนสนิท มีภาพและตัวอักษรที่ซ่งอวี่วั่งเขียนเองหลายภาพแขวนอยู่ทั้งสี่ทิศ ซ่งอวี่วั่งกลับมิได้ชำนาญด้านการเขียนพู่กัน และไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขายกย่องภาพและตัวอักษรของเขา หากมิใช่ที่ที่เอาไว้ต้อนรับแขกคนสนิท ตามหลักแล้วก็จะไม่แขวนของที่ตนเองทำเอาไว้ เพื่อมิให้ถูกผู้เชี่ยวชาญเยาะเอา
เว่ยฉางอิ๋งมองดูสองสามหน เนื้อหาในภาพโดยมาแล้วเกี่ยวกับดอกบัว ทั้งสี่ฤดูในหนึ่งปีล้วนมีทั้งหมด …คงเป็นเพราะข้างนอกของศาลานี้เป็นสระบัวนั่นเอง
นอกจากของที่ประดับประดาทั่วไปแล้ว ในมุมหนึ่งก็ยังวางหีบน้ำแข็งเอาไว้ไล่ไอร้อนด้วย ทั้งยังวางผลไม้เอาไว้ภายใน จึงมีกลิ่นหอมสดชื่นแผ่ซ่านออกมา
สองพี่น้องยิ้มหัวเราะกันเสียงเบาๆ อยู่สักพัก แต่กลับไม่เห็นซ่งอวี่วั่งมาเสียที ซ่งไจ้สุ่ยรู้สึกประหลาดใจจึงส่งคนไปสอบถาม พักใหญ่จากนั้นคนจึงกลับมา และกลับบอกว่า “เมื่อครู่นี้มีแขกมาเยือนเจ้าค่ะ นายท่านจึงต้องออกไปต้อนรับสักพัก ขอให้คุณหนูทั้งสองรออีกสักพักเจ้าค่ะ นายท่านส่งแขกกลับไปแล้วก็จะมาเจ้าค่ะ” แล้วบอกอีกว่า “นายท่านบอกว่าหากคุณหนูผู้น้องรู้สึกเบื่อก็กลับไปพักที่เรือนเจียนเจียก่อนได้เจ้าค่ะ…”
“ไม่ต้องหรอก พวกเรารอท่านลุงอยู่ที่นี่เป็นพอแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งรีบตอบ
ซ่งไจ้สุ่ยย่อมต้องคุ้นเคยกับบ้านตน กล่าวว่า “จริงด้วย ไปๆ กลับๆ ยุ่งยากเปล่าๆ รอที่นี่เถิด หากที่ศาลานี่น่าเบื่อ ข้าจะพาเจ้าไปที่ห้องหนังสือของท่านพ่อ ไปดูว่ามีหนังสือที่ชอบหรือไม่ แล้วพวกเราก็เอามาอ่านฆ่าเวลาสักสองเล่ม”
แล้วนำนางออกไปทางประตูข้างของศาลาซึ่งเป็นระเบียงทางเดินทอดตัวออกไประยะหนึ่ง เมื่อเดินผ่านศาลาเล็กๆ ระหว่างทางศาลาหนึ่งไปก็เป็นห้องหนังสือของซ่งอวี่วั่งที่อยู่ในเรือนทางด้านหลังแล้ว
ห้องหนังสือนี้กว้างใหญ่นัก แสงลอดเข้ามาจากทางหน้าต่างได้เป็นอย่างดี ภายในมีทั้งพู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนหมึกอยู่พร้อมสรรพ ของทุกชิ้นดูประณีตงดงาม ซึ่งส่วนมากแล้วเป็นของโบราณในรัชสมัยก่อน บนชั้นหนังสือมีหนังสือโบราณจัดวางอยู่และครบครันยิ่งนัก
สองพี่น้องหยิบหนังสือออกมาดูตามใจ เว่ยฉางอิ๋งคิดว่าในเมื่อท่านลุงบอกว่าอีกไม่นานก็จะส่งแขกกลับไปแล้ว กลัวว่าคงอ่านไม่ได้สักกี่หน้า จึงเลือกรวมบทกวีของกวีโบราณเล่มบางๆ ออกมา ที่ใดจะคิดว่าทางซ่งอวี่วั่งกลับถูกคนรั้งตัวเอาไว้ จนนางอ่านรวมบทกวีจบแล้วก็ยังไม่เห็นว่ามีคนมาบอก จึงหันหน้ามาคิดจะพูดกับซ่งไจ้สุ่ย แต่กลับเห็นว่านางกำลังถือหนังสืออ่านด้วยท่าทีสนใจและเข้าถึงยิ่งนัก จึงไม่รบกวนนางแล้ว …ดีชั่วอย่างไรห้องหนังสือนี้ก็กว้างมาก จึงเดินไปชมในภายในห้องหนังสือ
นางเดินชมอยู่เป็นนาน จู่ๆ ก็พบว่าบนพนังมีภาพและอักษรแขวนอยู่ภาพหนึ่งและมีชื่อเขียนเป็นชื่อของท่านลุง จึงหยุดดูอย่างละเอียด นางกวาดตามองภาพคราวหนึ่งก่อน กลับเป็นภาพใบและดอกบัวกว้างไกลและมีคลื่นซัดถาโถม เดิมทีดอกบัวก็เป็นดอกไม้แห่งสุภาพบุรุษ ราบเรียบสงบเงียบห่างไกล ทว่าภาพภาพนี้กลับให้ความรู้สึกคลุ้มคลั่งรุนแรง มีสีเขียวของป่าไม้ ดอกไม้แดงจัดจ้านงดงาม ดอกไม้ขาวราบเรียบ เมื่อทั้งสามสีนี้ประสานกันทำให้เกิดความงดงามแสนโศกเศร้าเสียยิ่งนัก
เว่ยฉางอิ๋งมองเห็นแวบแรกก็ต้องสูดหายใจลึกโดยไม่ทันรู้ตัว และรู้สึกใจสั่นหวิวๆ ขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อตั้งสติได้ก็คิดขึ้นมาว่า “ข้างนอกมีภาพดอกบัวที่ท่านลุงวาดอยู่หลายภาพ เหตุใดจึงไม่เหมือนกับภาพนี้เลย? หากมิใช่ว่ามองดูอย่างละเอียดแล้วมีลายพู่กันที่คล้ายกัน เพียงแค่มองเผินๆ ก็กลับเหมือนกับเป็นฝีมือของคนละคนกันเช่นนั้น”
นางอดจะมองขึ้นไปดูอักษรที่เขียนอยู่บนภาพไม่ได้ และมีตัวอักษรเขียนอยู่ไม่น้อยเลย เขียนยาวติดต่อกันเกือบครึ่งหนึ่งของภาพ “ปีหยิ่มสุก[1]กลางคิมหันต์ ลมเย็นผันส่งไอร้อน โสมสว่างพร่างเต็มหอ ข้ายินเพลงกลางดึก ฝันเห็นที่โต๊ะเครื่องแป้งริมหน้าต่าง คล้ายเป็นเงาที่รักเจ้าปรากฏ ดีใจเหลือแสน พลันตื่น ผิดหวังพลันบีบข้อมือ ลุกขึ้นฝนหมึก จรดคำความคำนึง”
ส่วนข้างล่างเป็นเนื้อหา…
“ดอกกระเจียวและกำยานเนิ่นนานไม่ได้เผา กู่ฉินหางไหม้ฝุ่นหนานานปี
กล่องเครื่องประดับสีทองหม่น รอยด้ายแดงบนข้อมือกดลงลึก
ครานั้นแขนนวลหยกเคยสวมยังจำ คำเย้าหยอกกลับจำกัดเพียงสิบสามปี!
ตื่นจากฝันกลางดึกนึกถึงที่รักเจ้า ยินดีนักหวังร่วมเคียงตามสัญญาเช่นวันก่อน
ใต้โคมเพียงเงาเดียวดาย เสียดายนักโฉมตรูบุญน้อยเหลือ จอนผมเหน็บหนาวสองข้างในกระจก ชังนักชีวิตข้ากลับยืนยาว!
แหงนมองฟ้าเอ๋ย อาบแสงจันทร์กลับยิ่งตรมโศก หวนถึงครั้งเพิ่งแต่งเอ๋ย แอบกระซิบกระซาบทั้งค่ำคืน
สัญญาจะดีต่อกันนิรันดร์ ผมหงอกแก่เฒ่าไปด้วยกัน ผ้าห่มนกเป็ดน้ำคู่ยังอยู่ เดือนเต็มฉายส่องจากฟ้า
ประคองรั้วแดงหากแสนทุกข์ใจ หมอบแทบสระบัวเอ๋ยใจเจียนขาด
ใบบัวแน่นแน่นท้องน้ำ ลมเย็นแผ่วแผ่วหอมหวน
แม้ราตรีคลื่นยังโถมโถม รู้ได้กลางวันร้อนผ่าวผ่าว
ก่อนนี้จูงมือเจ้าลงเรือ ส่งสุราชั้นเลิศให้ ดึงฝาไม้เขียวออก ใบไม้แดงสั่นไหว ล่องเข้าลึกในมวลดอกบัว
ครั้นแล้ว นำกู่ฉินไป จัดวางกู่ฉินห้างไหม้ บรรเลงเพลงขลุ่ย ตีกลองเหลี่ยมหยก เก็บฝักบัวปอกกระจับ เล่นน้ำจับปลา บางครากระเซ้าว่า “จับปลาไว้ในมือได้ แต่อนิจจาปลาหนักเหลือ!”
เจ้าแสร้งเคือง ชูใบบัวบนมือขาว วิดน้ำสาดใส่ข้า เสื้อผ้าฤดูร้อนเปียกปอน ทั้งหัวเราะทั้งโต้เถียงกัน เสียงขับร้องไร้ดนตรีบนคลื่นคลอน กระโปรงไยบัววับวามจับแสงคิมหันต์
ยามนี้สระบัวยังคงเดิม แสงเดือนจับนภา แผดเผาเพียงเรือลำน้อย ฉินกลองถูกเก็บซ่อนไว้ เพียงข้าอาดูร!
….พุดตานยังอยู่ คล้ายกุหลาบหอมมาเยือน? เสียงขับร้องไร้ดนตรีแผ่วแผ่ว หากความคำนึงถึงเจ้าแจ่มชัด
กลางราตรีจรดคำทั้งน้ำตา ความในยากเขียนบรรยายได้ ยังจำสัญญาคราก่อน ร่วมเรียงเคียงหมอน เขตแดนยมโลก รอข้าย่างกราย ชาติหน้าฉันใด ไม่พรากชั่วกัลป์!
เว่ยฉางอิ๋งเห็นภาพที่ทั้งโศกเศร้าและรุนแรงนั้นก่อน จากนั้นจึงไปอ่านบทอาลัยที่ลึกซึ้งนี้ พลันอดใจเต้นตึกตักไม่ได้ คิดในใจว่า “มิน่าเล่า ครั้งท่านลุงเสียภรรยาไปนั้นยังหนุ่มแน่น และท่านตาก็มีเขาเป็นบุตรชายจากภรรยาเอกเพียงผู้เดียว แม้จะมี ลูกผู้พี่ชายสองคนและลูกผู้พี่หญิงแล้ว แต่ก็นับว่ายังมีทายาทไม่มากนัก แต่ท่านลุงกลับไม่ยอมแต่งงานใหม่ ที่แท้เพราะท่านลุงรักใคร่ท่านป้าลึกซึ้งเพียงนี้ บทอาลัยนี้แม้จะเขียนเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ทว่าจนยามนี้ก็ยังแขวนอยู่ที่ผนังในห้องหนังสือ มองดูข้างบนแผ่นภาพก็ไม่มีฝุ่นผงจับเลยแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าเพราะคอยทำความสะอาดอยู่เสมอ และเห็นได้ว่าท่านลุงยังคงไม่เคยลืมท่านป้าเลยแม้สักหน จึงไม่อาจมีใจรับผู้อื่นได้อีกแล้ว”
“จวบยามนี้ ที่ข้อมือท่านพ่อยังคงใส่ด้ายแดงอยู่เลย!” ไม่รู้ว่าซ่งไจ้สุ่ยวางหนังสือลงแล้วเดินมาหาตนยามใด นางมองไปที่ภาพวาดนั้นพลางเอ่ยอย่างหงอยเหงา “ได้ยินว่าครั้งท่านแม่ยังอยู่ชอบเอาด้ายแดงมาถักเป็นสายรัดข้อมือให้ท่านพ่อใส่ เพราะถักเอาไว้มากเกินไป ครั้งนั้นท่านพ่อใส่ไม่หมด หลังจากท่านแม่จากไปแล้ว ท่านพ่อก็คอยเอามาใส่เสมอ จวบบัดนี้ก็ยังมีอยู่ ใส่นานแล้วก็ไม่ยอมทิ้ง แต่กลับเอาเก็บไว้”
เว่ยฉางอิ๋งถอนใจว่า “ท่านลุงและท่านป้ารักใคร่กันเพียงนี้ ท่านป้าน่าสงสารจริงๆ”
“นั่นสิ!” ซ่งไจ้สุ่ยเม้มปาก พูดเสียงเบาว่า “อีกประเดี๋ยวเมื่อเจ้าได้พบท่านพ่อก็อย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้ อย่าเอ่ยถึงภาพภาพนี้ …ทุกครั้งที่เอ่ยถึงท่านแม่ แม้ปากท่านพ่อจะไม่พูด ทว่าอย่างไรในใจกลับเจ็บปวดอยู่เป็นนาน”
เว่ยฉางอิ๋งไม่คิดว่าท่านลุงยังคงไม่อาจคลายจากความเจ็บปวดที่ภรรยาเสียไปจวบจนทุกวันนี้ จึงขึงขังขึ้นมาและรีบจดจำเอาไว้ ถามว่า “ทางท่านลุงเป็นอย่างไรแล้วบ้าง?”
“ที่สุดก็ส่งคนไปได้แล้ว” ซ่งไจ้สุ่ยบอก “เจ้าดูภาพนี้เสียเคลิบเคลิ้มเข้าถึงยิ่งนักกระมัง? เมื่อครู่ตงจิ่งมาบอกแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ได้ยิน?”
“ในเมื่อเป็นดังนี้ พวกเราก็กลับไปรอท่านลุงที่ศาลากันเถิด?” เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้รู้สึกจริงๆ ว่าตงจิ่งเข้ามารายงานยามใด นางคิดว่าในเมื่อจวบจนบัดนี้ซ่งอวี่วั่งก็ยังไม่อาจได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงภรรยาที่เสียไปแล้ว และตนเองก็ได้มาเห็นภาพและอักษรที่เขามาเขียนรำลึกถึงภรรยาในห้องหนังสือนี้ อย่างไรก็อย่าให้เขารู้เลยเป็นดี จึงเสนอแนะไปดังนั้น
_____________________
[1] หยิ่มสุก เป็นวิธีเรียกปีชนิดหนึ่งของจีน เป็นการบอกธาตุและพลังของปีนั้นๆ คำแรกเป็นราศีฟ้า(ราศีบน) คำที่สองเป็นชื่อราศีดิน (ราศีล่าง) หยิ่ม เป็นธาตุน้ำ สุก เป็น ปีจอ ธาตุดิน