ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 191 ซ่งอวี่วั่ง
นับไปแล้วซ่งอวี่วั่งอายุมากกว่าฮูหยินซ่งสี่ปี ทว่าด้วยเหตุที่เขาเป็นทายาทชายเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เสียไปแต่เล็กของตวนหุ้ยกง ซ่งผิงซิน ทั้งยังเป็นบุตรชายจากภรรยาเอกด้วย ตวนหุ้ยกงจึงกล่อมเกลาบ่มเพาะบุตรชายผู้นี้มาอย่างที่เรียกว่าทุ่มเทจนหมดกำลัง กระทั่งยอมออกจากราชการตั้งแต่นานมาแล้วเพื่อปูทางให้แก่บุตรชาย ฉะนั้นหากเทียบกับขุนนางชั้นสูงคนอื่นๆ ซ่งอวี่วั่งก็นับว่าได้มาเป็นขุนนางขั้นหนึ่งตั้งแต่อายุยังน้อย และได้เป็นถึงเสนาบดีตรวจการที่สูงส่ง
เขาและฮูหยินซ่งเป็นพี่น้องแท้ๆ จึงมีหน้าตาคล้ายคลึงกัน เขาใบหน้าขาวนวลมีเคราน้อยๆ คิ้วงามดวงตายาว ยามมองไปมีความเป็นสุภาพบุรุษ กริยาท่าทีสง่างามสุขุมลุ่มลึกดังบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ได้รับการอบรบปลูกฝังมานานปี และให้ความใกล้ชิดสนิทสนมกับหลานสาวลุงผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะย่อตัวลงคารวะ ก็พลันถูกเขาประคองขึ้นมา แล้วบอกให้นางลุกขึ้นและไปนั่งเสีย จากนั้นก็เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าแต่งมาอยู่ที่เมืองหลวงได้ปีกว่าแล้ว ด้วยการงานที่ยุ่งวุ่นวายนัก พวกเราลุงหลานกลับเพิ่งได้มาพบกันคราแรก ช่างน่าเสียดายนัก” เมื่อได้ยินคำ เว่ยฉางอิ๋งจึงขอขมาที่ตนมาพบท่านลุงช้าเกินไป ซ่งอวี่วั่งอมยิ้ม กล่าวว่า “ก่อนนี้เจ้าก็เคยมา เพียงเพราะข้ามีกิจยุ่ง จึงคลาดกันพอดี จะโทษเจ้าได้อย่างไร?” แล้วถามถึงทุกๆ คนที่เฟิ่งโจว โดยเฉพาะถามถึงประเด็นสำคัญเรื่องสุขภาพของเว่ยเจิ้งหงและการร่ำเรียนของเว่ยฉางเฟิง
เมื่อได้ยินว่าแม้เว่ยเจิ้งหงจะไม่หายดี แต่หลายปีมานี้สุขภาพก็ยังพอใช้ ส่วน เว่ยฉางเฟิงก็ฝากตัวเป็นศิษย์ของเว่ยซือกู่ ทั้งยังได้รับความชื่นชมจากทั้งอาจารย์และเว่ยฮ่วน ซ่งอวี่วั่งพลันมีสีหน้ายินดี กล่าวว่า “ความสง่างามและความรู้ของบิดาเจ้าเป็นที่ชื่นชมของผู้คน ช่างน่าเสียดายจริงๆ …ดีที่ฉางเฟิงมีพรสวรรค์ไม่เลวเลย ทั้งยังได้ไหว้ครูเป็นศิษย์อาจารย์มีชื่อ ระยะนี้ข้าเองก็ได้ยินชื่อเสียงของเขามาบ้าง และเคยอ่านบทกวีที่เขาเขียนมาบ้าง นับเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมจริงๆ”
เว่ยฉางอิ๋งรีบถ่อมตัวแทนน้องชาย “นั่นล้วนเป็นเพราะท่านอาจื้อเจี่ยวอบรมสอนสั่งมาดี และท่านปู่ก็คอยเข้มงวดกับเขา ไม่อาจรับคำชมของท่านลุงได้จริงๆ เจ้าค่ะ”
ซ่งอวี่วั่งจึงชมว่านางรู้จักมารยาท และหันมาสนทนากับนางเรื่องบทกวีเลื่องชื่อสักหน่อย …วิชาความรู้ของเว่ยฉางอิ๋งห่างไกลกับน้องชายนัก นางจึงอดเหงื่อตกไม่ได้ ดีที่ซ่งอวี่วั่งก็เพียงแค่เอ่ยถึงไปลอยๆ เท่านั้น ทั้งมีซ่งไจ้สุ่ยคอยช่วยแก้สถานการณ์ให้ จึงพอจะโต้ตอบกลับไปได้บ้าง
ภายหลังซ่งอวี่วั่งมองออกว่าหลานลุงผู้นี้คล้ายไม่ชำนาญเรื่องบุ๋นเท่าใด เพียงอยู่ในระดับมาตรฐานของสตรีมีตระกูลทั่วไปเท่านั้นจึงไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก แล้วกลับมาสนทนาเรื่องทั่วๆ ไปอีกครั้ง สนทนาปราศรัยกับไปดังนี้กว่าหนึ่งชั่วยาม ซ่งไจ้สุ่ยก็เอ่ยเตือนบิดาว่า “ฮูหยินซูจะให้ฉางอิ๋งกลับไปให้เร็วหน่อยเจ้าค่ะ เวลานี้ควรให้คนจัดเตรียมสำรับอาหารได้แล้วเจ้าค่ะ”
ซ่งอวี่วั่งจึงสั่งความลงไป แล้วถามเว่ยฉางอิ๋งว่าอยู่ที่บ้านสามีเป็นเช่นใดบ้าง เอ่ยถึงเสิ่นซูกวงว่า “หลานชายตาน่ารักยิ่งนัก ทั้งยังแข็งแรงมาก ข้าเห็นว่าท่านราชครูรักใคร่เขายิ่งนัก”
ซ่งไจ้สุ่ยจึงยิ้มแล้วว่า “ในบ้านเสิ่นยามนี้ ฉางอิ๋งได้ดีเพราะบุตรชาย หาไม่วันนี้ก็คงจะออกมาไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!”
เนื่องจากเว่ยฉางอิ๋งเพิ่งได้พบท่านลุงเป็นหนแรกยังไม่คุ้นเคยกันนัก จึงไม่กล้าเอ็ดลูกผู้พี่ต่อหน้าเขา ซ่งอวี่วั่งได้ยินคำนี้แล้วพลันขมวดคิ้วน้อยๆ กำชับไปว่า “เดิมทีเจ้าก็เป็นบุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ ชั้นตระกูลมิได้ด้อยกว่าตระกูลเสิ่น ขอเพียงรักษาคุณธรรมของภรรยา หากตระกูลเสิ่นมีเรื่องใดเสียมารยาท บิดาเจ้าอยู่ไกลถึงเฟิ่งโจวจึงไม่สะดวกไปบอกกล่าว ทว่าสามารถมาบอกกล่าวกับข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะไปทวงถามความยุติธรรมกับบ้านเสิ่นให้เจ้าเอง”
“ขอบพระคุณท่านลุงเจ้าค่ะ” เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ยินพลันอบอุ่นขึ้นมาในใจ รีบคารวะขอบคุณ แล้วว่า “หลานอยู่ที่เรือนหลัง ไม่ใคร่ได้พบกับพ่อสามี แต่ก่อนนี้แม่สามีก็ปฏิบัติต่อหลานตามจารีตธรรมเนียม ยามนี้เพราะมีกวงเอ๋อร์จึงยิ่งใจกว้างและมีเมตตาเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”
ซ่งอวี่วั่งพยักหน้าพลางลูบเครา กล่าวว่า “ข้าและแม่ของเจ้าเป็นพี่น้องกันแท้ๆ จึงมองทั้งเจ้าและฉางเฟิงเหมือนกับไจ้สุ่ย เจ้ามีเรื่องใดไม่ต้องเกรงใจ หากข้าไม่อยู่ที่จวน ก็สามารถฝากให้ไจ้สุ่ยมาบอกได้”
เว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องขอบคุณยกใหญ่
ผ่านไปสักพักก็มีบ่าวมาบอกว่าอาหารเย็นพร้อมแล้ว
เพราะซ่งอวี่วั่งจะอยู่ทานอาหารเย็นกับหลานสาวและบุตรสาว นางฮั่วจึงไม่ได้มาหา …เมื่อเห็นว่าทั้งซ่งไจ้เจียงและซ่งไจ้เถียนล้วนไม่อยู่ เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยพลางถามถึงคำหนึ่ง
ซ่งไจ้สุ่ยบอกว่า “ระยะนี้ทั้งพี่ใหญ่และพี่รองมีกิจยุ่งนัก จนถึงยามจุดตะเกียงจึงค่อยกลับมา”
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าซ่งอวี่วั่งและซ่งไจ้สุ่ยมิได้เห็นว่าที่พวกเขากลับตอนค่ำมืดเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ฟ้าก็ยังคงสว่างอยู่ ซ่งอวี่วั่งเดินไปส่งสองสามก้าวแล้วให้ซ่งไจ้สุ่ยไปส่งเว่ยฉางอิ๋งถึงหน้าประตูหลัง
ระหว่างทางเว่ยฉางอิ๋งจึงเอ็ดนางว่า “ท่านไปบอกต่อหน้าท่านลุงว่าข้าได้ดีเพราะลูกชาย ท่านลุงยังหลงนึกว่าเหตุใดข้าจึงถูกรังแก และล้วนต้องอาศัยกวงเอ๋อร์จึงพอจะมีชีวิตสุขสบายอยู่ในบ้านสามีได้!”
ซ่งไจ้สุ่ยชี้นิ้วหานาง กล่าวว่า “ข้าไม่เคยพบเคยเห็นคนแล้งน้ำใจยิ่งกว่าเจ้าแล้ว! ก็มิใช่เพราะข้าหวังดีหรอกหรือ? เมื่อครู่นี้ผู้ใดนั่งอยู่ต่อหน้าข้าแล้วเป็นกังวลว่าหากกลับไปจะไปพูดกับแม่สามีเช่นใด? ข้าก็ช่วยหาที่พึงพิงให้เจ้าในทันใดแล้วอย่างไร เกิดแม่สามีเจ้าทำให้เจ้าลำบากขึ้นมา ก็บอกให้ท่านพ่อไปออกหน้าให้เจ้า ไม่ดีหรือไร?”
เว่ยฉางอิ๋งร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิง กล่าวว่า “พอแม่สามีต่อว่าข้าสองสามคำ แล้วข้าก็จะรีบยกท่านลุงมาอ้างได้ในทันใดหรือ? สะใภ้บ้านใดจะถูกประคบประหงมปานนี้”
“เจ้านี่โง่จริง” ซ่งไจ้สุ่ยผลักท้องนางเบาๆ หนหนึ่ง เอ็ดไปว่า “ครานี้เจ้ากลับไปก็ให้ไปชี้แจงเรื่องขององค์หญิงอันจี๋เสียก่อน จากนั้นค่อยๆ เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานของน้องชายสามีเจ้าและฮั่วชิงหลิงสักเล็กน้อย หากแม่สามีเจ้าไม่รับปาก เจ้าก็อย่าขืนไปพูดอีก แล้วข้าจะหาโอกาสที่ท่านพ่อจะอยู่ที่เรือนเขียนจดหมายไปส่งเจ้า แล้วเจ้าก็มาบอกกับท่านพ่อข้า ให้ท่านพ่อเป็นคนเอ่ยเรื่องหมั้นหมายแทนตระกูลฮั่ว …อย่างไรเสียแม่สามีเจ้าก็ต้องไว้หน้าท่านพ่อข้ากระมัง? เช่นนี้ก็มิใช่ว่าเรียบร้อยแล้วหรือ?”a
เว่ยฉางอิ๋งถอนใจเอ่ยกว่า “เรื่องที่ข้าต้องกังวลยามนี้ไม่เพียงแค่แม่สามีจะตอบรับหรือไม่เท่านั้น! ยังมีเรื่องของน้องสาวและน้องชายสามีอีก!”
“นั่นมันเป็นเรื่องของเจ้าเองแล้ว” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยหน้าระรื่นบนความทุกข์ของนาง “ผู้ใดใช้ให้ก่อนนี้เจ้าทำการส่งเดชเล่า?” แต่แม้จะพูดไปดังนี้ ก่อนจะขึ้นรถซ่งไจ้สุ่ยก็ยังช่วยนางออกความคิดอยู่ดี “วันนี้เจ้าทำเช่นใดต่อฮูหยินกู้ กลับไปก็ทำเช่นเดียวกันกับน้องสาวและน้องชายของสามีเล่า! เล่าความเป็นมาตามจริง ถามพวกเขาว่าจะให้เจ้าขอมาอย่างไร จะให้ชดใช้เช่นใด… อย่างไรพวกเขาต้องไว้หน้าพี่สะใภ้เช่นเจ้าสักน้อย”
เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่รับน้ำใจจากนาง ขึ้นรถไปพลางเอ็ดนางไปพลาง “นี่นับเป็นความคิดเห็นใดกัน? เดิมทีข้าก็คิดจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว …ท่านมีที่ดีกว่านี้หรือไม่?”
“ได้กำไรแล้วยังว่าขาดทุนอีก! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าน่ะแล้งน้ำใจ” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ย “ต่อให้มีความคิดดีกว่านี้ก็ไม่บอกเจ้าแล้ว” แล้วปล่อยผ้าม่านรถลง กล่าวว่า “กลับไป กลับไปเสียเถิด อย่าได้กลับช้าแล้วพวกพี่สะใภ้เจ้าจะค่อนแคะเอา”
เว่ยฉางอิ๋งยกชายม่านรถขึ้นสั่งความว่า “กลับไปวานบอกพี่สะใภ้ใหญ่ให้ข้าสักคำว่าข้ากลับแล้ว”
“รู้แล้วรู้แล้ว” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเลินเล่อเช่นเจ้าหรือไร? ไม่ว่าเจ้าจะเตือนหรือไม่ แล้วจะไม่ไปบอกกับพี่สะใภ้ใหญ่สักคำรึ?”
เว่ยฉางอิ๋งกลับไปถึงจวนราชครู ก็พอดีว่าฮูหยินซูกำลังทานอาหารอยู่ เว่ยฉางอิ๋งจึงล้างมือแล้วเข้าไปช่วยดูแล
ฮูหยินซูจึงถามนางว่า “เจ้ากินข้าวที่บ้านซ่งมาแล้วหรือยัง? หากยังไม่กินก็ให้ไปบอกข้างล่างว่าให้พวกเขาจัดสำรับให้เจ้าอีกชุดแล้วมากินด้วยกัน ที่นี่ให้พวกนางดูแลเป็นพอแล้ว”
“ขอบพระคุณท่านแม่ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ สะใภ้ทานจากที่เรือนของท่านลุงมาแล้วเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ
ฮูหยินซูพยักหน้า และปล่อยให้นางคอยช่วยปรนนิบัติ
จนทานอาหารเสร็จแล้ว บ่าวยกน้ำชาเข้ามา เว่ยฉางอิ๋งรับมาและยกให้ฮูหยินซูกลั้วปาก แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าให้นางซับมุมปาก ฮูหยินซูจึงถามนางถึงเรื่องทางจวนซ่ง ด้วยเหตุที่ระหว่างเว่ยฉางอิ๋งคอยปรนนิบัติแม่สามีทานอาหารอยู่นั้นก็คอยคิดหลายครั้งว่าจะพูดอย่างไรดี แต่ก็ล้วนรู้สึกว่าคงไม่อาจพูดให้เรื่องทุเลาลงได้ จึงบอกกับนางไปเหมือนตอนที่ปฏิบัติต่อฮูหยินกู้เสียเลย นางบอกว่า “จะว่าไปแล้วสะใภ้ยังต้องขอขมาท่านแม่เจ้าค่ะ…”
ฮูหยินซูกลับไม่ประหลาดใจ จึงสั่งให้บ่าวออกไป แล้วเอ่ยตามตรงว่า “ฮั่วเจ้าอวี้จะต้องสมรสกับองค์หญิงแล้วรึ?”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าเลิ่กลั่ก คิดในใจว่าต่อไปแม่สามีจะว่าอย่างไรหนอ?
แล้วได้ยิน ฮูหยินซูบอกว่า “เจ้าพูดมาให้ละเอียดซิ”
เมื่อได้ฟังจนจบ สีหน้าของฮูหยินซูก็เปลี่ยนไปมาอยู่เนิ่นนาน พลันเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นตามความเห็นเจ้าแล้ว ฮั่วชิงหลิงมีคุณสมบัติพอเป็นสะใภ้ตระกูลเสิ่นหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งจับทางไม่ถูกว่ายามนี้แม่สามีมีอารมณ์เช่นใด จึงเอ่ยอย่างระมัดระวังไปว่า “ก่อนหน้านี้สะใภ้เพียงเคยพบนางในงานเลี้ยงมาสองครา และไม่เคยสนทนาลึกซึ้งกับนางมาก่อน จึงไม่ทราบแน่ชัดว่านิสัยที่แท้จริงของคุณหนูผู้นี้เป็นเช่นใดเจ้าค่ะ ฉะนั้นสะใภ้ก็ไม่กล้าพูดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูมองนางคราหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นก็รอจนข้าให้คนไปสอบถามให้แน่ชัดก่อนค่อยว่ากันเถิด”
คำพูดนี้ก็หมายความวาหากฮั่วชิงหลิงเป็นเช่นนางต้องการได้ ก็จะรับปากแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งขอบคุณฟ้าดินแล้วพาเสิ่นซูกวงกลับมาที่เรือนจินถง
อีกฟากหนึ่ง ในจวนเว่ย นางหมิ่นเองก็ขอบคุณฟ้าดินเช่นกัน พลางปิดประตูแอบยินดีอยู่ในห้อง “นังเด็กนั่นติดกับแล้วจริงๆ! ขอสวรรค์ดลให้หลิวรั่วเหยียนั่นช่วยออกความคิดทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ให้นางสักสองสามความคิด จะได้จัดการให้นางโงหัวไม่ขึ้นอีกเลยเป็นดี! ข้าและน้องสะใภ้รองจะได้ไม่ต้องมาคอยหวาดกลัวอยู่ทุกวี่วันว่าทั้งพ่อสามีและท่านพี่ รวมทั้งน้องชายสามีจะเกิดเปลี่ยนใจกลับมารักใคร่นั่งเด็กนั่นขึ้นมาอีก และต้องให้พวกสะใภ้เราต้องทนถูกลบหลู่ดูแคลนหมอบอยู่ใต้เท้านาง!”
นางคิดแล้วก็ลงมือโดยพลัน สั่งให้บ่าวออกไปจนหมด แล้วคุกเข่าลงข้างเตียงภาวนาอ้อนวอนต่อฟ้าด้วยใจจริงในทันใด…
ภายในเรือนของคนที่นางภาวนาถึง เว่ยฉางเจวียนจับจ้องไปยังหลิวรั่วเหยียที่ปลอมตัวด้วยการแต่งกายเป็นสาวใช้อย่างความประหลาดใจ เนิ่นนานจากนั้นจึงเอ่ยว่า “เหตุใดท่าน…ท่านจึงได้มาในครานี้?”
“หากข้าไม่ได้มาดูเจ้าก็วางใจไม่ได้เลยจริงๆ แต่คนเฝ้าประตูบ้านเจ้าไม่ยอมให้ข้าเข้ามาสักครา” หลิวรั่วเหยียขบริมฝีปาก …เวลานี้ฟ้าใกล้มืดแล้ว จึงสามารถมองเห็นได้ว่าในดวงตานางมีแสงวิบวับดังแก้วผลึก นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ารู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่ควรออกความคิดให้เจ้า ต่อให้เจ้ารบเร้าถาม ข้าก็ควรสงบปากไม่พูดเสีย …ข้าไม่คิดจริงๆ ว่าจะเรื่องราวจะเป็นถึงขั้นนั้น ข้านึกว่า …นึกว่าอย่างมาก็เพียงถูกลงโทษสักหน และหากเจ้าบอกว่าเป็นข้าบอกเจ้า ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ถูกลงโทษแล้วด้วย เวลานี้เจ้าไม่อยากพบข้า ข้าก็รู้ ข้าเพียงคิดว่ายามคนเฝ้าประตูเอ่ยถึงเจ้า…คล้ายว่า …คล้ายว่าไม่ค่อยเคารพยำเกรง? ข้าจึงเป็นกังวลนัก …ข้า…”
ดูคล้ายว่านางจะเสียใจหนักหนา ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบา พลางก้มหน้าลงไป และค่อยๆ พูดไม่ออก
เว่ยฉางเจวียนนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน จึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ฟ้าก็มืดแล้ว ท่านเป็นคุณหนูมีตระกูล มาปลอมตัวแอบเข้ามาเช่นนี้ หากเรื่องแพร่ออกไปจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของท่าน”
“เดิมทีเป็นข้าทำร้ายเจ้า แล้วเวลานี้ผู้ใดจะสนใจเรื่องเหล่านั้นกัน?” เมื่อหลิวรั่วเหยียเห็นว่าที่สุดนางก็เอ่ยปากแล้ว จึงรีบเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง
คงเพราะเงยหน้าขึ้นมาอย่างเร่งร้อน น้ำตาหยดโตๆ สองหยดพลันร่วงลงมาอาบใบหน้าขาวกระจ่างของนาง …เมื่อเว่ยฉางเจวียนคิดถึงวันคืนที่ถูกหมางเมินเย็นชาตลอดมา ดวงตาของนางพลันร้อนผ่าว ทั้งมีเสียงสะอื้นอยู่ในน้ำเสียง “ก็ไม่อาจโทษท่านได้ทั้งหมด ความจริงแล้วข้าไม่ดีเอง ทุกครั้งท่านล้วนตักเตือนข้า ข้าควรจะฟังท่าน แต่ข้า…ข้า…เวลานี้….ท่านแม่…”
“ข้าเห็นว่าที่เรือนเจ้านี้ดูเงียบเหงานัก ตลอดทางที่มาก็ไม่มีคนเลย” หลิวรั่วเหยียเอ่ยเสียงเบา “แม้เวลานี้จะเป็นช่วงไว้ทุกข์ แต่ข้าเห็นว่าที่เรือนเจ้าก็ดูเงียบเหงาเกินไปสักหน่อย …คงเพราะ พี่สะใภ้ทั้งสองเสียใจมากเกินไป ยามนี้เรื่องงานบ้านจึงไม่มีคนดูแลกระมัง?”
คำคำนี้กลับถามจี้ใจดำของเว่ยฉางเจวียน!
นางพลันมีน้ำตาไหลอาบหน้าในทันใด พึมพำว่า “หากพวกนางเสียใจที่ท่านแม่จากไปมากมายจริงๆ แล้วเหตุใดตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงคอยแต่มาเหยียบย่ำข้าเช่นนี้?!”
____________________
เพื่อเป็นการตอบแทนนักอ่านที่สนับสนุนเราเสมอมา
เราขอมอบโค้ดเหรียญทองให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่นักอ่านผู้โชคดีที่เข้ามาอ่านนิยายในตอนนี้
*โค้ดมีจำนวนจำกัด และต้องเติมภายในวันที่ 31 มกราคม 2564
คุณนักอ่านสามารถเติมเหรียญได้ในเมนู *กรอกรหัสโปรโมชัน* ในแอปแอนดรอยด์ หรือ ในหน้ากระเป๋าเงินในเว็บไซต์ (https://fictionlog.co/i/payment) ทั้งนี้ โค้ดเหรียญทองต้องพิมพ์เป็นตัวใหญ่ ไม่มีสัญลักษณ์อื่นนอกจาก – _ และไม่มีเว้นวรรคทั้งหน้าและหลังโค้ด
สวัสดีปีใหม่ 🙂