ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 196-1 แม่ลูกจากกันชั่วคราว
เว่ยฉางอิ๋งกลับมาถึงจวนราชครู ฮูหยินซูย่อมต้องไถ่ถามถึงอาการป่วยของซ่งอวี่วั่ง “ท่านเสนาบดีตรวจการเป็นเช่นไร? เป็นอันใดหนักหนาหรือไม่?”
“เรียนท่านแม่เจ้าค่ะ ท่านหมอเทวดาจี้บอกว่าท่านลุงหักโหมงานหนักเกินไป เวลานี้ต้องพักรักษาตัวระยะหนึ่งเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเหลือประโยคหนึ่งไว้ไม่ได้บอก …ว่าคำพูดดั้งเดิมของจี้ชวี่ปิ้งบอกว่าอาการป่วยของซ่งอวี่วั่งนั้นกว่าครึ่งหนึ่งเป็นไข้ใจ
ไข้ใจนี้ เมื่อมองจากท่าทีของพี่น้องตระกูลซ่งทั้งสามแล้ว มีแปดหรือเก้าในสิบส่วนจะต้องเกี่ยวพันกับภรรยาที่เสียไปแล้วของซ่งอวี่วั่ง สตรีซึ่งเป็นทั้งท่านป้าและท่านอาซึ่งเป็นลูกผู้น้องของบิดาผู้นี้เสียไปนานหลายปีแล้ว ซ่งอวี่วั่งเองก็มิได้เป็นคนที่เอาแต่ที่รออยู่ว่างๆ แต่ก็ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องนี้ได้จนบัดนี้ …กอปรกับทางตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานมักเป็นคนที่รักปักใจ สามพี่น้องตระกูลซ่งยังเกินจะรับมือเรื่องนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ยิ่งจนปัญญา
ด้วยฐานะที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจของซ่งอวี่วั่ง แต่เวลานี้กลับยังคงจมปลักอยู่กับความคำนึงถึงภรรยาที่เสียไปแล้วจนถอนตัวไม่ขึ้น เรื่องนี้อดจะทำให้คนบางคนดูแคลนเขาไม่ได้ เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกว่าตนเองซึ่งเป็นเด็กรุ่นหลานไม่จำเป็นต้องมาเอ่ยถึงเรื่องของผู้ใหญ่ ดีชั่วอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ว่าภาพอักษรที่อยู่ในห้องหนังสือของซ่งอวี่วั่งนั้นภาพ คนภายนอกจะไม่อาจล่วงรู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย
ฮูหยินซูถอนหายใจ กล่าวว่า “ท่านเสนาบดีตรวจการต้องตรากตรำทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองอยู่ทุกวัน ลำบากหนักหนาจริงๆ” ถามรายละเอียดไปอีกสองสามคำ แล้วว่า “กวงเอ๋อร์อยู่กับข้าที่นี่ เดิมทีในเมื่อเจ้ากลับมาแล้วก็ควรให้เจ้าพากลับไปด้วย เพียงแต่เห็นว่าเวลานี้นอกจากเจ้าจะต้องดูแลเรือนแล้ว ก็มักมีเรื่องข้างนอกให้เจ้าต้องออกไปทำ กลัวว่าเจ้าจะไม่มีเวลามาดูแลเขา มิสู้เอาเขาไว้กับข้าที่นี่ เพื่อมิให้หากเจ้าพลั้งเผลอแล้วพวกบ่าวจะละเลยเขาเอา เขาเป็นเพียงเด็กเล็กๆ คนหนึ่งทั้งยังบอกกับเจ้าไม่ได้ หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีก็จะไม่มีคนรู้”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง และรู้ขึ้นมาทันใดว่าแม่สามีต้องการจะเอาเสิ่นซูกวงไปเลี้ยงดูเองแล้ว นางแต่งเข้าบ้านมาไม่ถึงปี สามีก็ต้องไปฟาดฟันศัตรูที่ชายแดน ไปครานี้หากไม่มีเรื่องใดผิดพลาดก็ต้องไปถึงสามปีจึงจะได้กลับมา เวลานี้ก็มีเพียงบุตรชายผู้นี้ผู้เดียว ทั้งนางยังเป็นแม่ครั้งแรก ย่อมอาลัยอาวรณ์ตัดใจให้เขาอยู่ห่างกายไม่ได้ แม้จะรู้ว่าหากไม่รับคำก็จะเป็นการล่วงเกินแม่สามี แต่นางก็ยังโพล่งออกไปว่า “เวลานี้กวงเอ๋อร์ยังเล็กนัก มักร้องไห้บ่อยครั้ง สะใภ้กลัวว่าจะรบกวนท่านแม่เจ้าคะ”
ฮูหยินซูบอกว่า “เรื่องนี้จะเป็นไรไป? มีเด็กเล็กที่ใดไม่ร้องไห้โยเยบ้าง? พวกพี่น้องของเฟิงเอ๋อร์ ทั้งพวกของซูจิ่ง ซูหมิง คนใดบ้างที่มิใช่ข้าเห็นดูจนโตมา? ยามเด็กในบ้านร้องไห้โยเยขึ้นมามีแต่จะสงสาร จะรังเกียจได้ที่ใด?”
แล้วเอ่ยอย่างมีนัยยะอีกว่า “พี่สะใภ้ทั้งสองคนของเจ้าดูแลเรือนมานานปี แม้จะมีความชอบแต่ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยนัก สิบกว่าปีมานี้พวกนางทุ่มเทให้กับจวนของเราไปไม่น้อย! ยามนี้ดีชั่วเจ้าก็มาแล้ว ก็ควรจัดการแทนพวกนาง ให้พวกนางได้พักบ้างใช่หรือไม่? ทว่าเจ้าก็ยังเด็กเช่นนี้ จู่ๆ ก็ต้องมาดูแลบ้านเรือน ข้าว่าเจ้าก็คงจะเหน็ดเหนื่อยพอแล้ว แล้วจะยังมีแรงมาดูแลกวงเอ๋อร์ดีๆ หรือ? เวลานี้เฟิงเอ๋อร์ก็อยู่ไกลถึงซีเหลียง หากกวงเอ๋อร์อยู่ที่เรือนจินถงก็มีเพียงเจ้าที่เป็นแม่ที่สามารถพึ่งพิงได้ เมื่อเจ้าไม่มีเวลาดูแลเขา หากกลายเป็นว่าพวกบ่าวเลินเล่อจนเป็นการทำร้ายเขา เจ้าว่าพอถึงยามจะมาเสียใจก็ไม่ทันเสียแล้วหรือไม่? มิสู้เอาไว้กับข้าที่นี่ ข้าเป็นย่าแท้ๆ ของเขา แล้วจะไม่คอยดูเขาดีๆ ให้เจ้าและเฟิงเอ๋อร์หรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งถอนใจอยู่ในใจ รู้ว่าฮูหยินซูพูดจนถึงขั้นนี้ หากไม่รับปากก็จะเป็นการไม่รับความหวังดี จึงรีบบอกว่า “สะใภ้จะคิดว่าท่านแม่ดูแลกวงเอ๋อร์ไม่ดีได้อย่างไรเจ้าคะ? เพียงดูจากบรรดาพี่ๆ น้องๆ ในเรือนก็รู้แล้วว่าท่านแม่เลี้ยงเด็กเก่งเพียงใด ท่านแม่สามารถเลี้ยงดูกวงเอ๋อร์ด้วยตนเองก็นับว่าเป็นวาสนาของเขา สะใภ้ก็เพียงรู้สึกละอายใจ ที่นับแต่แต่งเข้ามากลับไม่เคยช่วยท่านแม่แบ่งเบาภาระและกตัญญูต่อท่านแม่เลย ยามนี้แม้แต่ลูกก็ยังต้องให้ท่านแม่ช่วยเลี้ยงดู จึงรู้สึกผิดต่อท่านแม่เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่านางรับคำแล้ว ฮูหยินซูจึงเผยรอยยิ้มออกมา แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าแต่งเข้ามาไม่ทันถึงปีก็มีกวงเอ๋อร์ นั่นยังไม่นับว่าช่วยแบ่งเบาภาระกับกตัญญูอีกหรือ? เด็กดี เจ้าไม่ต้องคิดมาก คนเป็นแม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเจ้าล้วนเป็นเรื่องสมควรแล้ว วันนี้เจ้าวิ่งหน้าวิ่งหลังก็คงจะเหนื่อย กลับไปพักสักหน่อยเถิด วันพรุ่งยังต้องมาจัดการงานบ้านอีก!”
เว่ยฉางอิ๋งฝืนยิ้มให้แล้วลากลับไป
เมื่อกลับถึงเรือนจินถง พวกนางหวงเห็นว่าเสิ่นซูกวงไม่ได้กลับมาพร้อมกับเว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยไปว่า “ก่อนฮูหยินน้อยจะออกไป ฮูหยินก็ส่งคนมาอุ้มคุณชายน้อยไปแล้ว เวลานี้คุณชายน้อยก็ยังอยู่กับฮูหยินหรือเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งพลันกลัดกลุ้มไม่สบายใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เพิ่งจะเข้ามาในห้องก็บอกว่า “ท่านแม่บอกว่าเวลานี้ข้าต้องวุ่นวายกับงานในเรือน ต้องไม่มีเวลาดูแลกวงเอ๋อร์ให้ดีๆ จึงเอากวงเอ๋อร์ไปเลี้ยงดูแล้ว”
เมื่อนางว่านได้ยินพลันมีสีหน้าผิดหวัง นางเป็นคนซื่อ เมื่อรู้สึกไม่ชอบก็เก็บอาการไว้ไม่ได้ ก่อนเว่ยฉางอิ๋งยังไม่แต่งเข้ามา นางว่านก็เป็นคนดูแลบ่าวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายเสิ่นจั้งเฟิง หลังจากเว่ยฉางอิ๋งแต่งเข้ามาก็พาบ่าวติดตามมาอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะนางหวง นางเฮ่อที่แต่ละคนล้วนเก่งกาจคล่องแคล่วนัก เวลานี้นางจึงว่างไม่มีอะไรจะทำมาตั้งนานแล้ว
เมื่อนับไปแล้วนางว่านก็ยังอยู่ในวัยแข็งแรง คนที่เคยทำงานจนเคยตัวก็ยากจะให้อยู่เฉยได้ และนางเองก็ไม่กล้าไปแย่งงานใดกันนางหวงและนางเฮ่อ อุตส่าห์เฝ้าคอยให้เสิ่นซูกวงลืมตาดูโลก แล้วพอเว่ยฉางอิ๋งอยู่เดือนครบแล้วก็เริ่มมาดูแลงานในเรือน นางหวง นางเฮ่อก็ต้องไปเป็นผู้ช่วยนาง เสิ่นซูกวงทางนี้ย่อมต้องเป็นนางว่านดูแล นางว่านคอยดูแลคุณชายน้อยผู้นี้จนแทบไม่วางตา โดยคิดว่าได้ทำตัวเป็นประโยชน์คุ้มค่านักแล้ว เวลานี้ฮูหยินซูรับเสิ่นซูกวงไปดูแลเอง นางว่านก็ไม่อาจตามไปที่เรือนหลัก กลายเป็นว่าไม่มีหน้าที่ให้ทำอีกแล้ว
นางหวงและนางเฮ่อกลับไม่รู้สึกผิดหวังเช่นนางว่าน ประการแรกพวกนางล้วนมีเรื่องต้องจัดการ ประการที่สองพวกนางรู้สึกว่านี่ก็มิได้เป็นเรื่องไม่ดีอันใด จึงปลอบ เว่ยฉางอิ๋งว่า “ไยฮูหยินน้อยต้องกลัดกลุ้มเช่นนี้? ความจริงแล้วเรื่องที่ฮูหยินพูดก็ไม่ผิด งานในเรือนที่ฮูหยินน้อยรับมาดูแลมีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น หากฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองวางมือทั้งหมดแล้ว ฮูหยินน้อยยิ่งต้องยุ่งกว่ายามนี้มากนัก คุณชายน้อยของเราก็ยังเล็กมาก หากไม่มีคนดูแลต้องไม่ได้การแน่เจ้าค่ะ”
นางหวงบอกอีกว่า “แน่นอนว่าข้าน้อยไม่ได้บอกว่าพี่ว่านไม่ละเอียดรอบคอบพอ ความจริงคือคุณชายน้อยยังเล็กเกินไป ทั้งพี่ว่านก็เป็นคนใจอ่อน หากในพวกบ่าวมีคนใจคด คอยสังเกตดูว่าพี่ว่านเป็นคนเช่นใด แล้วอาศัยจังหวะที่ฮูหยินน้อยไม่ทันระวัง มาทำไม่ดีต่อคุณชายน้อยแล้วจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”
นางว่านอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “เรื่องนี้ไม่น่าเกิดขึ้นได้ ข้าคอยจับตาดูพวกนางไว้ตลอดเชียว!”
นางหวงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ว่าน ยามท่านจับตาดูพวกนางย่อมไม่มีเรื่องผิดพลาด ทว่าคนที่ทั้งฮูหยินและฮูหยินน้อยสามารถวางใจได้เช่นท่านนี้ ในเรือนเราก็มีเพียงท่านผู้เดียว ท่านดูสิทั้งข้าและน้องเฮ่อล้วนต้องคอยช่วยงานฮูหยินน้อยจนปลีกตัวมาไม่ได้ ท่านเพียงผู้เดียวย่อมมีโอกาสที่จะดูแลไม่ทั่วถึง ใช่หรือไม่?”
นางว่านมานึกๆ ดูว่าคนที่จะมาสับเปลี่ยนกับตนก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอให้ทั้ง ฮูหยินซูและเว่ยฉางอิ๋งวางใจได้จริงๆ นางจึงได้แต่เพียงพยักหน้า
“ฉะนั้นมอบคุณชายน้อยให้ฮูหยินดูแลจึงเหมาะสมที่สุด คุณชายทุกคนล้วนเป็นฮูหยินเลี้ยงดูมาจนโต ดูแต่เพียงคุณชายหลายท่านในบ้านเราสิ มีผู้ใดที่เมื่อออกไปข้างนอกแล้วไม่มีผู้คนเยินยอบ้าง? เห็นได้ว่าฮูหยินน้อยเหมาะสมจะอบรบคุณชายเป็นที่สุดแล้ว” นางหวงหันบอกกับเว่ยฉางอิ๋ง “มีฮูหยินดูแลคุณชายน้อยด้วยตนเองฮูหยินน้อยจะได้วางใจ และไปดูแลงานในเรือนได้โดยไม่ต้องมีเรื่องให้พะวงหลัง ฮูหยินน้อยท่านคิดเห็นเช่นใดเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งทอดถอนใจ กล่าวว่า “เรื่องที่ท่านอาพูดมานี้ มีหรือข้าจะไม่รู้? เพียงแต่ …ยามนี้ข้าก็มีเพียงกวงเอ๋อร์เป็นลูกคนเดียว ปกติแล้วมีเรื่องยุ่งมากมายกว่าจะได้อุ้มเขาสักหนก็รู้สึกผิดต่อเขานักหนาแล้ว แล้วเวลานี้ยังจะเอาไปเลี้ยงดูที่เรือนหลักอีก จึงอดรู้สึกตัดใจไม่ได้เท่านั้นเอง”
………………………………..