ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 197-1 ได้ยินชื่อเว่ยซินหย่งอีกครา
รอจนเข้าไปนั่งในห้องหนังสือเล็กแล้ว เว่ยฉางอิ๋งแสดงความเป็นห่วงพี่ชายใหญ่ของสามีสองสามคำ “สองวันมานี้พี่ใหญ่สุขภาพไม่ใคร่ดีหรือเจ้าคะ? เพราะข้ายุ่งจนเลอะเลือนแล้ว อยู่ในจวนเดียวกันแท้ๆ แต่กลับไม่รู้ ไม่ทราบว่าเป็นอันใดหรือเจ้าคะ?”
นางหลิวบอกไปอย่างรวบรัดว่า “ในฤดูร้อนทุกๆ ปีเมื่อยู่ในห้องเย็นนานๆ เขาก็ก็มักจะไม่สบายหนสองหน”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ข้ากลับมองไม่ออกว่าพี่ใหญ่คล้ายคนร่างกายอ่อนแอ?”
“ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่านั่นเป็นเรื่องตั้งแต่ก่อนข้าจะแต่งเข้ามา เขาเคยไล่ตามศัตรูกลางหิมะที่ซีเหลียง ปรากฏว่าแม้จะสังหารศัตรูได้ แต่กลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังอยู่ท่ามกลางพื้นหิมะ จึงทิ้งอาการเจ็บป่วยเอาไว้” ดวงตาของนางหลิวมีแววซับซ้อนอย่างหนึ่งออกมา แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “แล้วเจ้าก็รู้ว่าสองเดือนมานี้ในเมืองหลวงอากาศร้อนยิ่งนัก หากไม่วางหีบน้ำแข็งเอาไว้แล้วจะนอนหลับได้ที่ใด? แล้วเขาก็ต้องออกไปทำงานทุกวัน หากนอนหลับไม่ดี แล้วไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าก็จะยุ่งยากอีก ปรากฏว่าวันสองวันมานี้จึงเกิดอาการโรคเก่ากำเริบ จึงทำได้เพียงขอลางานไปก่อน นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด จึงไม่ได้พูดออกไปให้ผู้ใดรู้”
แล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เขาเป็นหนักกว่านี้ ท่านแม่ไปเชิญท่านหมอเทวดาจี้มารักษาจึงได้ดีขึ้นเช่นทุกวันนี้ ทว่าท่านหมอเทวดาจี้บอกว่าเขาบาดเจ็บอยู่ในหิมะนานเกินไป ไม่ว่าจะบำรุงเช่นใดก็จะเป็นเช่นนี้แล้ว”
เห็นชัดว่านางหลิวไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้มากนัก เพียงเล่าความเป็นมาไม่กี่คำก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องงานแล้ว “น้องสะใภ้สามเจ้าดูเรื่องที่ข้าจัดการในยามนี้ ข้าเตรียมเอาไว้เพื่อขอให้เจ้ามาช่วยดูแล เจ้าว่าเป็นเช่นไร?”
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็เพียงสอบถามไปตามมารยาทสักหน่อยเท่านั้น เมื่อเห็นว่าเวลานี้นางหลิวไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องสุขภาพของเสิ่นจั้งลี่มากนักจึงสนทนาเรื่องธุระไปตามนาง
คู่สะใภ้ทั้งสองหารือกันจนถึงเที่ยงจึงกำหนดการงานที่ต่างฝ่ายต้องดูแลได้เรียบร้อย เมื่อดูเวลาแล้วนางหลิวจึงบอกให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่ทานอาหารที่บ้านใหญ่
หากเป็นเมื่อก่อนเว่ยฉางอิ๋งก็จะต้องรับปาก ทว่าเวลานี้ทั้งรู้ว่าเสิ่นจั้งลี่กำลังไม่สบาย กลัวว่าแม้นางหลิวจะพูดเรื่องงานแต่ในใจกลับกำลังเป็นห่วงสามี เว่ยฉางอิ๋งจึงปฏิเสธและบอกว่าที่เรือนยังมีเรื่องรอตนอยู่ …ปรากฏว่านางหลิวก็เอ่ยปากรั้งตัวนางไปพอเป็นพิธีคำสองคำ เมื่อเห็นนางยืนกรานจะไปจึงรับคำนาง
เมื่อกลับไปถึงเรือนจินถง พวกนางหวงก็เตรียมอาหารไว้รอนางแล้ว เว่ยฉางอิ๋งทานไปเรื่อยเปื่อยเล็กน้อย จึงบอกนางหวงเรื่องของเสิ่นจั้งลี่สักหน่อย “เมื่อครู่นี้ข้าไปบ้านใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ และบังเอิญได้พบกับพี่ชายใหญ่ที่ระเบียงทางเดิน คล้ายว่าเขาจะป่วย ท่านอาท่านตระเตรียมของที่พอจะใช้ได้ แล้วให้จูสือนำไปมอบให้กับ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นการแสดงน้ำใจสักหน่อย”
นางหวงรับคำแล้วบอกไปอีกว่า “เมื่อครู่นี้มีคนมาจากทางเฟิ่งโจวและนำจดหมายของฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินมาเจ้าค่ะ เวลานี้จดหมายวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งของฮูหยินน้อยแล้วเจ้าค่ะ และได้จัดห้องในเรือนหน้าไว้ให้คนที่มาส่งจดหมายพักเป็นการชั่วคราวแล้ว เพื่อให้ฮูหยินน้อยไปสอบถามได้อย่างสะดวกเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยความดีใจว่า “ท่านย่าและท่านแม่เขียนจดหมายมาหรือ?” ไม่รอให้นางหวงยืนยันอีกหน นางก็รีบยกชายกระโปรงสาวเท้าไปอย่างรวดเร็ว พุ่งตัวไปในห้องทันใด
นางหวงมองตามหลังนางไปก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “ข้าน้อยเพิ่งจะบอกว่ายามนี้ฮูหยินน้อยดูมีสง่าของนายผู้หญิงปกครองบ้านมากขึ้นแล้ว แต่ครานี้ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเขียนจดหมายมา ก็กลายเป็นเหมือนเด็กสาวตัวน้อยๆ อีกแล้ว”
นางเฮ่อเม้มปากหัวเราะบอกว่า “ให้ฮูหยินน้อยโตขึ้นอีกเท่าใด ยามอยู่ต่อหน้า ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินอย่างไรก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยันค่ำนั่นล่ะเจ้าค่ะ”
“ข้าว่าน้องเฮ่อเองก็เหมือนเด็กสาวตัวเล็กๆ เช่นกัน!” นางหวงได้ยินคำก็มองนางพลางหัวเราะตาหยี
นางเฮ่อตกใจอยู่ในใจ พลางไปบีบกำไลบนแขนที่อยู่ใต้แขนเสื้อโดยไม่รู้ตัว แล้วคิดอย่างตื่นตระหนกนักหนาว่า หรือพี่หวงก็รู้เรื่องกำไลแล้ว? เรื่องนี้… ข้าต้องรีบเอาไปคืนไวๆ เป็นดี! หาไม่แล้วจะต้องถูกหัวเราะเยาะตายแน่!
ในขณะที่นางกำลังร้อนตัวอยู่นั้น ผู้ใดจะรู้ว่านางหวงกลับพูดต่อไปว่า “สองวันก่อนที่ฮูหยินน้อยไปจวนซ่ง คุณหนูใหญ่ซ่งกระเซ้าฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยก็บอกกับคุณหนูใหญ่ซ่งไปดังนี้ และถูกคุณหนูใหญ่ซ่งเยาะเอา ไม่นึกว่าวิธีนี้ฮูหยินน้อยร่ำเรียนมาจากน้องเฮ่อนี่เอง?”
นางเฮ่อจึงได้โล่งออก คิดในใจว่าข้าก็ว่าแล้วตอนนั้นรอบตัวไม่มีคนอื่นอยู่ ต่อให้พี่หวงหลักแหลมปานใด แล้วจะรู้เรื่องนี้ได้ที่ใด? กลับคิดว่าในเมื่อไม่มีคนรู้ ตนเองก็ค่อยๆ ตัดสินใจไปอีกสักสองวันก็แล้วกัน…
ท่านอาทั้งสองสนทนาสัพเหระกันทางนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็วิ่งเข้าไปถึงในห้องแล้ว พอกวาดตาไปก็มองเห็นจดหมายหนาๆ สองฉบับที่มีปิ่นทองอันหนึ่งทับเอาไว้
เว่ยฉางอิ๋งหยิบขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ แกะไปก็คิดไปว่า “เมื่อนับดูวันเวลาแล้วคงส่งมาหลังจากกวงเอ๋อร์ครบเดือน ก็ไม่รู้ว่าท่านแม่และท่านย่าจะเตรียมของแปลกใหม่ใดไว้ให้กวงเอ๋อร์?” ในระหว่างที่แกะจดหมายออกก็ทอดถอนใจอีกว่า “เวลานี้กวงเอ๋อร์ถูกแม่สามีเอาไปเลี้ยง หากมีของมากเกินไปก็ไม่เหมาะจะถือเอาไปให้เขาหมด เพื่อมิให้แม่สามีเข้าใจผิดว่าข้ากลัวว่านางจะดูแลกวงเอ๋อร์ไม่ดีเอา! และก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดถึงจะรับเขากลับมาได้ ถึงยามนั้น ก็ไม่รู้ว่าเขาจะชอบของที่ส่งมาตอนนี้หรือไม่แล้ว?”
นางสะอึกสะอื้นไปพลางเปิดจดหมายออกอ่านอย่างละเอียด จดหมายฉบับนี้เป็นของฮูหยินซ่ง เริ่มจากยินดีที่บุตรสาวเป็นแม่คนเช่นกันแล้ว ถามว่าหลานยายเป็นเช่นใดบ้าง จากนั้นก็กำชับกำชานางมากมายกายกองเกี่ยวกับกฎระเบียบและกลเม็ดของการเป็นสะใภ้ ยังมีกลยุทธ์ในการดูแลปกครองบ้านต่างๆ นานา ลายมือแบบจานฮวาแสนประณีตเขียนมาเต็มสามหน้ากระดาษใหญ่ๆ สุดท้ายจึงเป็นรายการของที่มอบให้แก่หลานยาย และของต่างๆ ที่นำมามอบให้แก่ทุกคนในบ้านเสิ่นไปพร้อมกันด้วย
แน่นอนว่าของที่มอบให้แก่ฝั่งของเว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่อาจขาดได้
เว่ยฉางอิ๋งอ่านจดหมายของมารดากลับไปกลับมาอยู่เนิ่นนาน รู้สึกปวดร้าวในใจนัก ก่อนนี้ครั้งอยู่ที่เฟิ่งโจว ฮูหยินซ่งอดจะดึงตัวนางมาตรงหน้าและบ่นนั่นนี่อยู่ทุกวี่วันไม่ได้ ครั้งนั้นเว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเอือมระอาเป็นนักหนา รำคาญที่จะฟังคำสอนของมารดาเป็นที่สุด ทุกครั้งหากไม่แอบหนีออกไปก็ฟังเสียจนหลับไป …มีครั้งหนึ่งหนักหนาจนเกือบน้ำลายหยดใส่เสื้อมารดาเสียด้วย
เวลานี้ออกเรือนแล้ว ทั้งยังเป็นแม่คนแล้ว จึงสามารถเข้าใจหัวอกของฮูหยินซ่งที่รักใคร่บุตรสาว เป็นดังคำว่าเลี้ยงดูบุตรจึงรู้คุณบิดามารดา เวลานี้เรื่องที่ฮูหยินซ่งย้ำแล้วย้ำอีกก็ไม่ได้มีสิ่งใดแปลกใหม่จากครั้งที่อยู่ที่เฟิ่งโจว แต่เว่ยฉางอิ๋งอ่านแล้วอ่านอีกกลับรู้สึกว่าอบอุ่นใจอย่างพูดไม่ออก
นางลูบไล้จดหมายอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่เนิ่นนาน แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็รีบแกะจดหมายของท่านย่าออกอ่าน
จดหมายของแม่เฒ่าซ่งในท่อนแรกๆ มีเนื้อหาคล้ายๆ กับของฮูหยินซ่ง ข้อแตกต่างเพียงสิ่งเดียวก็คือส่วนบนสุดของหน้าสุดท้าย แม่เฒ่าซ่งไม่ได้เอ่ยถึงรายการของกำนัล …ดูท่าจะเป็นแม่สามีและสะใภ้ทั้งสองคนส่งของขวัญมาด้วยกัน จึงให้ฮูหยินซ่งเป็นคนเขียนรายการมา เรื่องที่แม่เฒ่าซ่งทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแปลกใจเป็นพิเศษก็คือ นางเอ่ยถึงคนผู้หนึ่งที่เว่ยฉางอิ๋งแทบจะลืมไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว นั่นก็คือเว่ยซินหย่ง
คนผู้นี้เป็นบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมและชั้นเชิงลึกล้ำเกินคน มีชาติกำเนิดในจือเปิ่นถังแต่กลับดูคล้ายมีความแค้นฝังใจกับจือเปิ่นถัง พูดได้ยากว่า เว่ยฉางอิ๋งรังเกียจ หรือว่าชิงชัง หรือว่าซาบซึ้งใจ หรือว่ารู้สึกอย่างไรกับเขากันแน่?
จะว่าไปแล้วในการลอบสังหารที่นอกเมืองครั้งนั้น หากมิได้เว่ยซินหย่งยื่นมือเข้ามาช่วย แม้เจียงเจิงจะมีประสบการณ์ในยุทธภพโชคโชนเพียงใด วรยุทธ์ของทั้งเขากับเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงล้วนสูงส่ง แต่ก็ไม่อาจทานกำลังศัตรูไหว ทั้งยังมีภาระที่ต้องคอยปกป้องเว่ยฉางเฟิงโดยไม่อาจละทิ้งไปได้ …ภายใต้การร่วมมือกันของเว่ยเจิ้งหย่าบุตรจิ้งผิงกงที่ล่วงลับไปแล้วกับพวกตระกูลหลิว พวกเขาจะหนีรอดหรือต้องตาย…ล้วนไม่อาจมั่นใจได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเว่ยเจิ้งหย่าก็ดี หรือฝ่ายตระกูลหลิวก็ช่าง ย่อมไม่โง่ไปลงมือกับเว่ยฉางเฟิงเสียในทันใดอย่างง่ายดาย
————————————–