ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 198-2 หลี่ว์เฉิง
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเสียงหนักว่า “ข้ารู้แล้ว…ยังมีเรื่องอื่นจะบอกอีกหรือไม่?”
หลี่ว์เฉิงส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปก่อนเถิด ไปพักสักหน่อย ข้าจะเขียนจดหมาย เมื่อตระเตรียมของกำนัลเรียบร้อยแล้วค่อยให้เจ้านำกลับไปด้วย” เว่ยฉางอิ๋งยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง หลี่ว์เฉิงจึงออกไปตามคำนาง
เมื่อรอจนเขาไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงสั่งคนที่เหลืออกไป เหลือไว้เพียงนางหวงและหารือว่า “เว่ยซินหย่งถึงกับถูกรับมาเป็นบุตรบุญธรรมในรุ่ยอวี่ถัง ดูท่าว่าท่านย่าไม่เพียงไม่วางใจท่านอารอง เกรงว่าเป็นเพราะท่านอารองทางนี้จะไม่ซื่อตรงเสียแล้ว หาไม่คนเช่นเว่ยซินหย่งก็ไม่น่าเชื่อใจเช่นกัน แล้วไยท่านย่าจึงมาส่งเสริมเขาเช่นนี้?”
นางหวงคิดอยู่พักใหญ่จึงบอกว่า “แม้เว่ยซินหย่งจะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทว่าก็ยังหนุ่มแน่น ยิ่งไปกว่านั้นตราบเท่าทุกวันนี้เขาก็ยังไม่มีชื่อเสียงชัดเจน แม้จะมีพี่น้องแท้ๆ อยู่ผู้หนึ่ง แต่ก็หาได้เป็นบุคคลใหญ่โตที่สามารถเรียกเมฆเรียกฝนได้ ข้าน้อยคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนรอบคอบมาแต่ไร ในเมื่อใช้สอยเขาแล้ว ย่อมต้องเตรียมแผนการรับมือเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางขมวดคิ้วว่า “มิใช่ว่าข้าไม่เชื่อท่านย่า ข้าก็เพียงคิดว่าด้วยอุปนิสัยของท่านย่าไม่น่าจะเอาเขามาใช้สอยได้โดยง่าย ในเมื่อเวลานี้ใช้สอยเขาแล้ว เกรงว่าคงเพราะคำนึงถึงสถานการณ์ยามนี้นั่นเอง แต่ในจดหมายของทั้งท่านย่าและท่านแม่ล้วนไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย หลี่ว์เฉิงก็ไม่ได้พูดถึง …เมื่อคิดถึงเรื่องที่ฉางเฟิงได้รับสมรสพระราชทานก่อนหน้านี้ ข้าก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทุกครา”
นางเอ่ยเสียงหนักว่า “ท่านอาท่านลองคิดดู ท่านอาสะใภ้รองตายอย่างไร ไม่แน่ว่าคนข้างนอกจำนวนหนึ่งก็รู้อยู่แก่ใจ แล้วประสาอะไรกับบ้านท่านอารองทั้งบ้าง? แม้ท่านอารองอาจมิได้รักใคร่ท่านอาสะใภ้ลึกซึ้งปานใด ทว่าก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ในเมื่อแม้แต่ภรรยาเอกของตนก็ยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้ ลำพังแค่ประเด็นนี้ก็เกรงว่าท่านอารองคงไม่เป็นสุขแน่นอน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกลูกผู้พี่ชายหญิงและเว่ยฉางเจวียน เรื่องนี้เป็นความแค้นสังหารมารดาเชียวนะ! ตลอดมาท่านย่าทั้งใช้สอยและป้องกันท่านอารองในเวลาเดียวกัน เมื่อมาลงมือเช่นนี้ ท่านอารองต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก …ท่านปู่คิดเสมอว่าท่านอารองเป็นคนมีความสามารถยิ่ง ข้าคิดว่าในเมื่อท่านรองได้รับการชมเชยจากท่านปู่เช่นนี้ ย่อมไม่มีทางมองไม่ออกว่าท่านย่ากำลังตัดสินใจทำสิ่งใด แล้วเขาจะเดินตามความประสงค์ของท่านย่าไปทุกเรื่องได้อย่างไร?
นางหวงกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยหมายความว่า?”
“ท่านอารองไม่ยินยอมถูกท่านย่าจูงจมูก ย่อมต้องวางแผนอื่นเป็นทางออกไว้” เว่ยฉางอิ๋งคลึงหว่างคิ้วพลางเอ่ย “เดิมทีท่านอารองและจือเปิ่นถัง ทั้งยังมีท่านลุงบุตรจิ้งผิงกงคล้ายมีการร่วมมือกัน แต่เวลานี้ท่านจิ่งเฉิงโหวอยู่ที่เฟิ่งโจว อีกทั้งครานี้ยังถูกท่านปู่บีบให้ส่งมอบเว่ยซินหย่งออกมาด้วย ท่านลุงบุตรจิ้งผิงกงเสียไปแล้ว คนที่ท่านอารองจะเลือกได้ในเวลานี้หากมิใช่ตระกูลหลิวดังคราก่อน เช่นนั้น ก็เป็นฮ่องเต้แล้ว!”
นางหวงอุทานออกมาว่า “เวลานี้ฮูหยินน้อยนับวันจะพิจารณาเรื่องต่างๆ ได้รอบคอบขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
“เวลานี้ท่านปู่ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เลือกท่านอารอง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลิวก็ดี ฮ่องเต้ก็ช่าง ล้วนไม่มีหนทางจะบีบให้ท่านปู่เปลี่ยนใจได้” เว่ยฉางอิ๋งไม่เข้าใจคำชมของนางพลางเอ่ยไปอย่างตั้งอกตั้งใจ “ในเมื่อท่านอารองพลาดหวังจากตำแหน่งประมุขตระกูลแล้ว ทั้งฐานะและคุณค่าของเขาสำหรับทั้งสองข้างก็ไม่สูงด้วย ต่อให้เขายอมขายรุ่ยอวี่ถัง แล้วตระกูลหลิวและฮ่องเต้ล้วนคำนึงถึงแผนการของท่านปู่ ก็ไม่แน่ว่าจะกล้ารับปากเรื่องใดกับเขา ข้าได้ยินมาว่าระยะนี้ทั้งบ้านท่านอารองเงียบเหงายิ่งนักนี่?”
“หลังฮูหยินรองเสียไป ฮูหยินน้อยรองและฮูหยินน้อยสามก็เข้ามาดูแลเรือน และถึงขั้นไม่ดีต่อคุณหนูเจ็ดด้วยเจ้าค่ะ” นางหวงเอ่ย “หลังจากข้าน้อยกลับไปเฟิ่งโจว ฮูหยินรองก็จัดการทั้งจวนใหม่ทั้งหมด จึงมีคนของเราเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนและซ่อนตัวอยู่ในมุมที่ไม่เป็นที่สังเกตนัก เพื่อมิให้ถูกพบเห็น จึงพยายามไม่ส่งข่าวใดออกมา ข่าวที่ข้าน้อยได้มาในระยะนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอันใด โอ๊ะ มีเรื่องหนึ่ง คล้ายว่าคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวจะปลอมตัวเป็นสาวใช้ไปพบกับคุณหนูเจ็ดเจ้าค่ะ”
แววตาของเว่ยฉางอิ๋งนิ่งลงทันใด กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องแต่เมื่อใดกัน? เหตุใดไม่ได้บอกข้า?”
นางหวงรีบอธิบายว่า “เพิ่งจะได้รับข่าวมาวันนี้เจ้าค่ะ คนส่งข่าวระมัดระวังตัวเกินไป ด้วยเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ต้องไปหลอกถามเอากับคนที่ยอมเปิดปาก เมื่อแน่ใจได้เจ็ดแปดส่วนแล้วจึงกล้ามาแจ้งข่าวเจ้าค่ะ”
ครั้นแล้วจึงเล่าเรื่องราวที่รู้มาทั้งหมดให้นางฟังโดยคร่าวๆ ว่า “ก่อนฮูหยินรองจะเสีย คุณหนูใหญ่ก็ค่อนข้างรังเกียจคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวผู้นี้อยู่แล้ว และไม่อนุญาตให้คุณหนูเจ็ดไปใกล้ชิดกับนาง แต่คุณหนูเจ็ดไม่ฟัง …หลังจากฮูหยินรองเสียไป คุณหนูใหญ่กลับมาไว้อาลัยที่บ้านมารดา ตอนจะกลับไปบ้านสามีจึงกำชับคนเฝ้าประตูทั้งประตูหน้าและหลังเอาไว้ว่าห้ามปล่อยให้คุณหนูหลิวสิบเอ็ดเข้ามาพบ คุณหนูเจ็ดในจวน ปรากฏว่าไม่ทราบว่าคุณหนูหลิวสิบเอ็ดผู้นั้นไปพบประตูที่มุมกำแพงได้อย่างไร แล้วมอบเงินแก่คนเฝ้าประตูมุมกำแพงให้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยนางเข้าไปพบคุณหนูเจ็ดในจวน ได้ยินว่าค้างอยู่หนึ่งคืนจึงกลับไปเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยขึ้นมาทันใดว่า “คนที่ประตูมุมกำแพงซื้อตัวได้ง่ายดายก็ยังแล้วไป เรือนที่เว่ยฉางเจวียนพักอยู่ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ใกล้กับประตูมุมนี้ เข้าออกไปตลอดทาง หลิวรั่วเหยียจะไม่ถูกคนพบเห็นหรือ? ต้องเป็นพี่สะใภ้ทั้งสองคนที่มาดูแลจวนในเวลานี้หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้นจงใจปล่อยนางเข้าไปมากกว่า?”
นางหวงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินน้อยสายตาแหลมคมนัก เรื่องเป็นดังนี้เจ่าค่ะ แม้ข้าน้อยไม่ได้รับข่าวคราวเกี่ยวฮูหยินน้อยทั้งสองท่าน ทว่ากลับรู้ว่าพวกนางมิได้ชอบ คุณหนูเจ็ดเจ้าค่ะ”
“หากเพียงไม่ชอบเว่ยฉางเจวียน ก็ควรให้คนไปพบเจอเข้าตอนที่หลิวรั่วเหยียจะจากไป เพื่อให้เว่ยฉางเจวียนได้รับโทษ” เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญสักพักแล้วบอกว่า “แต่พวกนางก็มิได้ทำดังนั้น แต่กลับช่วยเว่ยฉางเจวียนปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เสียอีก …คงมิใช่ว่าการพบกันของหลิวรั่วเหยียและเว่ยฉางเจวียนหรือเป้าหมายของหลิวรั่วเหยียจะตรงกับความต้องการของพวกนางพอดี?!”
เรื่องนี้เพราะนางหวงไม่ได้รับข่าวสารจึงไม่อาจแน่ใจได้ จึงไม่กล้าพูดให้ชัดแจ้ง เพียงแต่บอกว่า “ฮูหยินน้อยทั้งสองล้วนเป็นคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเลือกมา ฮูหยินรองไม่ใคร่ชอบพวกนางมาแต่ไร และพวกนางยิ่งโน้มเอียงมาทางฮูหยินผู้เฒ่ามากกว่าสักหน่อยเจ้าค่ะ ทว่าเวลานี้เกรงว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่นและกลัวจะเป็นการบีบคั้นจนพวกของนายท่านรองร้อนใจขึ้นมา ข้าน้อยจึงไม่กล้าติดต่อกับคนข้างกายของฮูหยินน้อยทั้งสอง ด้วยกลัวว่าจะส่งผลร้ายต่อแผนการของฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
“…ดีชั่วอีกสองสามวันเว่ยซินหย่งก็จะมาถึงแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพัก จึงบอกว่า “อาศัยเวลาสองวันนี้ ข้าจะลองคิดใคร่ครวญดู รอจนเขามาถึงเมืองหลวง เมื่อข้าได้พบเขาจักต้องถามให้กระจ่าง”
_________________________