ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 201-1 ดูออก
รอจนเขาไปแล้ว เว่ยเจิ้งอินจึงผ่อนลมหายใจออกมา แย้มยิ้มให้หลานสาวพลางว่า “ที่สุดยามนี้ก็รู้แล้วว่าเหตุใดเขาจึงถูกรับเข้ามาอยู่ในรุ่ยอวี่ถัง ท่านอารองของเจ้าถึงขั้นใช้กลยุทธ์ถอนฟื้นจากใต้กระทะ[1] แต่ก็ดีที่เขาเข้ามารับมือได้ทันการ” แต่ก็เสียดายเล็กน้อย “เพียงแต่คนผู้นี้ก็ปิดปากสนิทนัก ข้าอยากสอบถามให้ละเอียดสักหน่อยว่าเขาทำให้อารองของเจ้าเปลี่ยนใจได้อย่างไรก็กลับไม่ได้เสียนี่”
“ข้าขอเดานะเจ้าคะ!” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากยิ้ม “เดิมทีท่านอารองคิดจะถอนฟื้นจากใต้กระทะ ทว่าเมื่อยามนี้เห็นเว่ยซินหย่งเข้าเมืองหลวงมา รู้ว่าไม้นี้ไม่ได้ผลแล้ว ย่อมไม่อยากเกษียณตัวจากราชการแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยเจิ้งอิน กล่าวว่า “โดยหลักการใหญ่ๆ แล้วเป็นดังนั้น แต่ในรายละเอียดย่อมไม่ง่ายดายเพียงนั้นแน่” แล้วเอ่ยถามคล้ายมีความในใจว่า “ข้าได้ยินคำที่เว่ยซินหย่งเอ่ยตอนเพิ่งเข้ามา คล้ายว่าเขามีความบาดหมางบางอย่างกับเจ้า …คล้ายว่าเจ้าเคยเอาดาบเอากระบี่ไปจ่อคอเขามาก่อน?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกแล้วอย่างไร เขาเคยถูกข้าขู่เอาชีวิตมาแล้ว”
“ข้าก็นึกว่าเจ้าเพียงพูดจาข่มขู่เขาเท่านั้น นี่เจ้าถึงกับเคยลงไม้ลงมือเชียวรึ?” โดยปกติแล้วเว่ยเจิ้งอินเป็นกุลสตรีสงบเสงี่ยม ของมีคมที่สุดที่เคยสัมผัสมาก็คงจะเป็นกรรไกรตัดด้ายตอนปักผ้าเท่านั้นแล้ว เมื่อมาได้ยินหลานสาวเอ่ยดังนี้ก็พูดไปอย่างไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “เจ้านี่! จริงๆ เชียว …มิน่าเล่าพอเขาเริ่มเอ่ยจึงมีแต่ความประชดประชันในน้ำเสียง! ทว่าเจ้าเคารพนบนอบกับเขาได้เพียงนี้ ข้าว่าเขาเองก็คงจะประหลาดใจเช่นกันกระมัง?”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “คงเป็นเพราะตอนที่ได้พบเขาก่อนหน้านี้ข้าเคยข่มขู่เขา …อื่ม ความจริงแล้วข้าก็ไม่ได้ยกย่องเขาเท่าใดนะเจ้าคะ! เขาจึงคิดแค้นอยู่ในใจ”
เว่ยเจิ้งอินอดสอบถามถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นสองสามคำไม่ได้ แล้วถลึงตาใส่นาง “นี่เจ้าเสี่ยงเกินไปแล้ว! ในเมื่อคาดการณ์ว่าผู้ที่เชิญไปพบไม่น่ามีเจตนาดี แต่เจ้ากลับปลอมตัวเป็นฉางเฟิงไปตามนัด นี่ถ้าเกิดว่า…”
“อย่างไรก็ไม่อาจให้ฉางเฟิงไปเสี่ยงกระมังเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ “ท่านอาหญิงรองท่านลองคิดดู ท่านย่าและท่านพ่อท่านแม่ข้าล้วนเห็นทั้งข้าและฉางเฟิงเป็นดังชีวิต ข้าถูกหมั้นหมายให้แต่งมาอยู่แดนไกลตั้งแต่อยู่ในผ้าอ้อม ท่านปู่ท่านย่าและท่านพ่อท่านแม่ล้วนอยู่ที่เฟิ่งโจว หากไม่มีฉางเฟิงแล้ว หรือว่าข้าจะพาพวกเขาติดตามมาอยู่ที่บ้านเสิ่นได้? ทว่าฉางเฟิงเป็นชาย สามารถคอยอยู่เฝ้าพวกเขา เมื่อเป็นดังนี้ หากไม่มีข้าแล้ว พวกเขาก็จะเพียงเสียใจคราวหนึ่ง อย่างไรก็ยังสามารถผ่านไปได้ แต่หากไม่มีฉางเฟิงแล้ว ทุกเรื่องก็จะดีไปไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยเจิ้งอินเห็นนางพูดคำนี้ด้วยท่าทีสงบนิ่งยิ่งนัก รู้ว่านี่เป็นคำจากใจจริง จึงทอดถอนใจ กล่าวว่า “เป็นเวรเป็นกรรมแท้ๆ …ดีที่คนดีสวรรค์คุ้มครอง และเพราะท่านพ่อมีสายตาเฉียบคม เลือกเสิ่นจั้งเฟิงมาเป็นสามีเจ้า เจ้าจึงไม่ได้รับกรรมกับสิ่งที่ไม่ได้ก่อ” นางรู้สึกว่าแม้เรื่องนี้จะไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เรียกร้องสิ่งใดคืนมาไม่ได้ แต่เห็นชัดว่าหลานสาวก็ไม่ชอบได้ยินคนเอ่ยถึงเรื่องนี้ จึงกลับมาพูดเรื่องธุระสำคัญ “ข้าเห็นว่าเจ้ามีท่าทีเคารพนับถือเขาเสียอย่างยิ่ง เคารพนับถือจนดูออกจะจงใจเกินไป นี่มันเรื่องใดกัน?”
“แม้นับไปแล้วคนผู้นี้จะเคยช่วยข้าและฉางเฟิงมาก่อน ตามหลักแล้วข้าควรต้องขอบคุณเขายิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดข้ากลับสำนึกขอบคุณเขาไม่ลง” เว่ยฉางอิ๋งทอดถอนใจ “คงเพราะอุปนิสัยของคนผู้นี้กระมังเจ้าคะ…ท่านอาหญิงรอง ท่านลองคิดดูว่าพอเอ่ยปากเขาก็พูดเรื่องของฮั่วเจ้าอวี้ขึ้นมาเพื่อสิ่งใด?”
เดิมทีเว่ยเจิ้งอินก็มีความคิดของตนเองอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินหลานสาวกล่าวเช่นนี้ นางจึงบอกว่า “ข้าเองก็ยังไม่รู้จักเขาดีนัก กำลังจะถามเจ้าอยู่ทีเดียว”
“เห็นชัดว่าเขาจงใจใช้เรื่องนี้มาข่มข้า” เว่ยฉางอิ๋งเบ้มุมปากพลางว่า “ตัดไม้ข่มนาม…. พอเอ่ยปากก็พูดถึงเรื่องผิดพลาดที่ข้าทำไปด้วยความเลอะเลือน จะได้ทำให้ท่าทีของข้าอ่อนลง ยิ่งถ้าจู่โจมไปถึงในใจข้าได้เป็นดีที่สุด จะได้เดินตามความคิดหรือสิ่งที่เขาบอกเป็นนัยได้โดยง่าย ตอนอยู่ระหว่างหุบเขานอกเมืองเฟิ่งโจวก่อนหน้านี้ ท่านพี่เว่ยชิงไปพบเขาพร้อมกับข้าเป็นครั้งแรก เขาก็ชอบใช้ไม้นี้!”
เว่ยเจิ้งอินยิ้มพลางว่า “ฉะนั้นที่นอกเมืองเฟิ่งโจวครานั้น เจ้าจึงเอามีดไปจ่อคอเขา?”
“ก่อนเขาจะเอ่ยปากข้าก็ลงมือแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางหัวเราะ “ท่านย่าและท่านแม่ล้วนเคยสอนข้ามา หากได้พบเจอกับคนชนิดที่พอเอ่ยปากก็ใช้วิธีตัดไม้ข่มนามกับเรา ก็อย่าได้ทำตามเขาโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เขาจูงจมูกไปได้ หลานจึงเตรียมตัวมาเช่นนี้แต่แรกแล้ว ต้องให้สิ่งที่สนทนากันเป็นไปตามความคิดของข้าได้เป็นดี…ก็เหมือนกับได้ยินพวกหมอดูตามถนน ที่พอเอ่ยปากก็บอกว่า ‘ระยะนี้เจ้าจะมีเคราะห์หนัก’ ก็ทำให้คนตกอกตกใจ และมิใช่ว่าล้วนฟังคำเขาไปทุกสิ่งแล้วหรือ? ครั้งหลี่ว์ปู้เหวย[2]ได้พบกับคุณชายที่โดดเด่นกว่าคนทั่วไปคราแรก ก็มิใช่ว่าเป็นดังนี้หรอกหรือเจ้าคะ?”
“นี่กลับจริงดังว่า คนข้างกายข้าก็ยังเคยเจอในเมืองหนหนึ่ง” เว่ยเจิ้งอินได้ฟังแล้วก็หัวเราะพู่ออกมาและว่ามาดังนี้
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “เรื่องเลอะเลือนที่สุดที่ข้าทำในระยะนี้ก็คือเรื่องของฮั่วเจ้าอวี้แล้ว เว่ยซินหย่งไม่เอ่ยเรื่องอื่นกลับมาเอ่ยเรื่องนี้ แล้วจะเป็นเพราะเขาหวังดีต่อข้าที่ใดกัน? เพราะเขาหวังจะใช้เรื่องนี้มาบั่นทอนจิตใจให้ข้ารู้สึกผิดและอับอาย หลังจากนั้น ข้าก็คิดถึงแต่เรื่องนี้ ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ประการแรกเพราะไม่มีแก่ใจไปตอบโต้คำที่เขาจะเอ่ยต่อไป ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็จะถูกเขาจูงจมูกไป ประการที่สองเมื่อเสียหน้าต่อหน้าเข้า ต่อให้คิดโต้แย้งกับเขาก็ยากจะข่มเขาอยู่”
แล้วเบะปาก “คราก่อน แต่ต้นจนจบเขาก็ล้วนเป็นเช่นนี้!”
เว่ยเจิ้งอินจึงถามว่า “แล้วครานั้นเจ้าก็มีท่าทีเกรงอกเกรงใจเช่นนี้หรือ?”
“หาใช่ไม่เจ้าค่ะ!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย “คราวนั้นเพิ่งจะถูกลอบสังหาร แม้ข้าจะไปตามนัดแทนฉางเฟิง แต่ก็ไม่รู้ว่าท่านลุงเจียงส่งฉางเฟิงกลับไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ แม้ไม่อยากให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำก็ยากนัก เมื่อเห็นว่าเขาต้องการจะข่มขวัญข้า แล้วข้าจะให้เขาอยู่ดีมีสุขได้ที่ใด?”
แม้ไม่แน่ใจว่ายามเว่ยฉางอิ๋งดุดันขึ้นมาเป็นเช่นใดบ้าง แต่เว่ยเจิ้งอินกลับรู้ว่ามารดาที่เก่งกล้าสามารถของตนรักหลานสาวผู้นี้เพียงใด หากคนเช่นแม่เฒ่าซ่งจะเอาอกเอาใจเด็กสักคน เพียงคิดก็รู้แล้วว่ายามคนที่ถูกเอาใจผู้นั้นเอาแต่ใจขึ้นมาแล้วจะกัดไม่ยอมปล่อยเพียงใด เว่ยเจิ้งอินยิ้มพลางว่า “ดูท่าว่าภายใต้เงื้อมมือเจ้า เว่ยซินหย่งผู้นี้คงลำบากไม่น้อยเลย” แล้วถามอีกว่า “เช่นนั้น เหตุใดครานี้จึงเกรงอกเกรงใจเขาเสียยิ่งนักเล่า?”
“ประการแรกเพราะท่านอาอยู่ที่นี่ มีท่านอาดูอยู่! ข้ากลับไม่อยากถูกท่านอาเอ็ดว่าข้าไม่มีกริยาเช่นกุลสตรี” เว่ยฉางอิ๋งพูดเล่นไปคำหนึ่ง “ประการที่สองท่านปู่ท่านย่าก็เอาเขามาอยู่ในรุ่ยอวี่ถังแล้ว ท่านย่ายังเขียนจดหมายมากำชับข้าเป็นการเฉพาะว่าอย่าทำให้เขาลำบาก ในทางกลับกันต้องคอยช่วยเหลือเขาด้วย นานๆ ครั้งจะมีเรื่องที่ข้าพอจะทำได้ หากมาทะเลาะกับเขาขึ้นมาครานี้ นอกจากไม่มีประโยชน์ใดแล้ว ไม่แน่ว่าอาจทำลายแผนการของท่านปู่ท่านย่าด้วยเจ้าค่ะ ไยต้องทำเล่า?”
………………………………
[1] กลยุทธ์ถอนฟื้นจากใต้กระทะ คือ กลยุทธ์ที่ใช้เมื่อพิจารณาว่าตนเสียเปรียบ แล้วอาศัยจังหวะ โอกาสทำลายขวัญของศัตรู ใช้ไม้อ่อนด้านไม้แข็ง
[2] หลี่ว์ปู้เหวย เป็นพ่อค้าที่ชักนำให้คุณชายที่ดูมีความโดดเด่น (แท้จริงแล้วเป็นองค์ชายตกยาก)ทำตามแผนการของตน จนที่สุดสามารถสนับสนุนให้เขาได้เป็นองค์รัชทายาท และได้ขึ้นครองราชย์ในที่สุด ซึ่งกษัตริย์พระองค์นี้ก็คือพระบิดาของจิ๋นซีฮ่องเต้ในเวลาต่อมา