ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 202-1 จอมคาดเดากู้หน่ายเจิง
ต่อมาอีกหลายวัน เพราะจดหมายของเว่ยฮ่วนและการแนะนำของทั้งเว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยซินหย่งจึงได้เข้าคารวะขุนนางใหญ่โตทั้งหมดในราชสำนัก และล้วนได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดียิ่ง จนถึงกับมีคนสงสัยเกี่ยวกับเรื่องอายุของเว่ยฉีขึ้นมา “คนมีความสามารถดังหยกงาม บ้านใดจะเกี่ยงว่าในสายตระกูลของตนมีมากขึ้นมาอีกสักคนกัน? แต่กลับยอมให้รุ่ยอวี่ถังรับมาเป็นบุตรบุญธรรม คงมิใช่ว่าจิงเฉิงโหวจะแก่จนเลอะเลือนเสียแล้วหรอกนะ?”
ทั้งยังสงสัยบุตรชายทุกคนของเว่ยฉีอีก “หรือเพราะพวกเขาริษยาพี่น้อง จึงไม่ให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมา บีบจนเว่ยซินหย่งทำได้เพียงมาฝากตัวกับรุ่ยอวี่ถังเพื่อให้ตนได้แสดงความสามารถ?”
ข้างต้นนั้นเป็นเพียงเรื่องที่คนทั่วไปดาดเดากัน เมืองหลวงกว้างใหญ่ จะไม่มีเรื่องประหลาดได้อย่างไร ในเมื่อมีคนประหลาดเช่นกู้หน่ายเจิงและปากที่ไม่มีหูรูดของเขา ย่อมต้องมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง…
กู้หน่ายเจิงออกความเห็นอย่างเต็มแรงและเสียงแข็งว่า “ท่านน้าหกของเมียข้าถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมของรุ่ยอวี่ถัง จะมีสิ่งใดน่าประหลาดกัน? พวกเจ้าจะไปรู้อันใด ก็มิใช่ว่าที่แท้แล้วเขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของรุ่ยอวี่ถังอยู่แล้ว?!”
ด้วยความที่เขาเป็นบุตรเขยของบุตรสาวแท้ๆ ซึ่งเป็นที่รักของประมุขตระกูลเว่ย ทั้งยังเป็นหลานน้าของเว่ยซินหย่งด้วย หลังจากทุกคนปากอ้าตาค้างไปแล้ว ก็อดจะรุมล้อมเข้ามาขอคำชี้แนะอย่างระมัดระวังไม่ได้
“แม้ทุกท่านจะไม่เคยพบเขา ทว่าคงล้วนได้ยินมาก่อนว่าบุตรชายคนโตของฉางซานกงซึ่งก็คือท่านลุงแท้ๆ ของเมียข้ามีความสง่างามเหนือผู้คน?” กู้หน่ายเจิงสะบัดมือพับเก็บพัด ด้วยท่าทีรู้ทุกอย่างอยู่เต็มอก เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนพยักหน้า เมื่อเขาพับเก็บพัดไป ก็นำมาตบที่ฝ่ามือคราหนึ่ง กล่าวว่า “นั่นอย่างไร! ท่านลุงใหญ่ของเมียข้า บุตรชายคนโตของฉางซานกงมีความสง่างามเหนือคน แล้วยามนี้ความสง่างามของท่านน้าหกผู้นี้เป็นเช่นใด ทุกคนล้วนได้เห็นกับตามาแล้ว! หรือว่ายังไม่อาจอธิบายเรื่องนี้ได้ชัดเจนอีกหรือ?”
กู้หน่ายเจิงตบโต๊ะไปหลายหน แล้วประกาศความจริงว่า “ไม่แน่ว่าความจริงแล้วท่านน้าหกผู้นี้ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของฉางซานกงท่านตาของเมียข้า เพียงแต่ไม่อาจไม่นำเขาไปเลี้ยงที่จือเปิ่นถังตั้งแต่เล็ก แล้วไหว้วานให้เว่ยจีที่เขาบอกว่าเป็นบิดาแท้ๆ เลี้ยงดูแทนก็เท่านั้น! ยามนี้เว่ยจีเสียไปหลายปีแล้ว เขาก็เติบโตแล้ว ก็ควรจะกลับมาที่บ้านเดิม หากมิได้เป็นดังนี้ ในเมื่อจิ่งเฉิงโหวก็สูงวัยแล้ว แล้วจะปล่อยให้บุตรหลานที่เพียบพร้อมทั้งความสามารถและหน้าตาเช่นนี้มาที่รุ่ยอวี่ถังได้อย่างไร?! นี่ก็ล้วนเป็นเพราะว่าเดิมทีท่านน้าหกก็เป็นสายเลือดของรุ่ยอวี่ถังอยู่แล้ว จิ่งเฉิงโหวรู้ความจริง จึงไม่อาจไม่กลั้นน้ำตาส่งเขากลับมายังตระกูลในสายเดิมได้น่ะสิ!”
…แม้ว่าด้วยฐานะของเขาแล้ว หากพูดถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงของเว่ยฮ่วนและเว่ยซินหย่งก็น่าจะมีพอมีมูลอยู่บ้างเล็กน้อย ทว่าทุกคนที่ห้อมล้อมอยู่ก็มิใช่ว่าไม่มีสมอง ครานี้จึงมีคนปาดเหงื่อและสงสัยว่า “คำของพี่จื่อเลี่ยนี้น่าจะผิดแล้ว หากเว่ยซินหย่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฉางซานกง แล้วไยต้องให้เว่ยจีไปเลี้ยงดูแทนด้วย? เพราะทางสายของฉางซานกงเลี้ยงดูเขาไม่ไหวหรือ?”
“แน่นอนว่าเลี้ยงดูไม่ไหว!” กู้หน่ายเจิงมองคนผู้นั้นอย่างดูแคลน กล่าวว่า “ท่านลุงใหญ่ของเมียข้าก็มิใช่ตัวอย่างแล้วรึ? ท่านน้าหกผู้นี้ก็มีความสง่างามดังดวงเดือน ท่วงทีความสามารถก็มิได้ด้อยกว่า ‘ท่านหงผู้อ่อนแอ’ ในตำนานเลยแม้แต่น้อย! ท่านตาของข้าผู้นั้นย่อมต้องเป็นกังวลว่าเขามีพรสวรรค์สูงส่งเหนือคน จนสามารถเดินตามท่านลุงใหญ่ของเมียข้าได้! ฉะนั้นต้องเอาเขาไปฝากเลี้ยงข้างนอก!”
กู้หน่ายเจิงเอ่ยอย่างหมดคำพูด “น้องชายนี่ช่างซื่อนัก! แล้วเหตุใดต้องไปเลี้ยงดูที่จือเปิ่นถัง …ประการแรกคนทั่วหล้าล้วนรู้ดีถึงความสัมพันธ์ของท่านตาของเมียข้าและจิ่งเฉิงโหว ยิ่งไม่ต้องบอกว่าเดิมทีพวกเขาก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ขอให้จือเปิ่นถังเลี้ยงดูทายาทให้แล้วมีเรื่องใดน่าแปลก? ส่วนเรื่องที่ใช้ฐานะของบุตรหลานของจือเปิ่นถัง มิใช่ว่าข้าจะต่อว่าน้องชายหรอกนะ แต่ที่น้องชายถามเช่นนี้ แตกต่างกับฮ่องเต้ฮุ่ยตี้ในสมัยจิ้นที่บอกว่า ‘เหตุใดไม่กินโจ๊กใส่เนื้อ[1]’ ที่ใด? ไม่เคยได้ยินว่าคนทั่วไปก็เอาบุตรชายของตนไปฝากเลี้ยงที่บ้านผู้อื่นเพื่อให้เขามีชีวิตรอดและเติบโตหรอกหรือ? ทายาททุกคนในรุ่ยอวี่ถังล้วนมีร่างกายแข็งแรง มีเพียงบุตรชายคนโตที่มีความสง่างามที่สุดที่ต้องนอนป่วยตั้งแต่เกิดมา ท่านตาของเมียข้าไม่กล้าให้ทายาทซึ่งมีความสง่างามและความสามารถคนที่สองต้องมีชะตากรรมซ้ำรอยเดิม ด้วยเหตุนี้นอกจากจะเอาเขาไปเลี้ยงดูที่จือเปิ่นถัง ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้ทั้งลำดับและฐานะของทางจือเปิ่นถังด้วย …ยามนี้รอจนเขาเติบโตและแข็งแรงดีแล้ว ก็ต้องรับกลับมาแล้วน่ะสิ!”
“…การคาดเดาของพี่จื่อเลี่ยงคล้ายว่าจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ไกลไปสักหน่อย ทายาททางฝั่งของฉางซานกง ไม่ว่าจะเสียไปแต่เล็กหรือไม่ จนยามนี้ก็ยังรู้ที่มาที่ไป ท่านน้าหกทางฝั่งบ้านมารดาของพี่สะใภ้ก็กลับไม่ได้อยู่ในนั้น และอายุก็ไม่ได้ไล่เลี่ยกับพวกเขากระมัง?”
“น้องชายนี่โง่นัก!” กู้หน่ายเจิงมองทุกคนอย่างสมเพศคราวหนึ่ง พลันเสียงเบาลง กล่าวว่า “แม่เฒ่าซ่งท่านยายของเมียข้าดุร้ายเพียงใด? ท่านน้าหกของเมียข้าต้องไม่ใช่สายเลือดของแม่เฒ่าซ่งเป็นแน่ ฉะนั้น… เหอๆ!”
นิสัยของเจ้าหมอนี้ล้วนมิใช่ความลับอันใดสำหรับทั่วทั้งเมืองหลวง …คุณชายใหญ่ในสายหลักของตระกูลกู้แห่งเมืองหลวงเป็นคนปากไม่มีหูรูดเป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เขาคาดเดาก็เรียกได้ว่านั่งเทียนเขียนเอาอย่างไร้เหตุไร้ผล ทุกครั้งล้วนทำให้ทุกคนต้องตาค้างปากสั่นอย่างไม่รู้สาเหตุ …ฉะนั้นโดยปกติแล้วยามเขาพึมพำสิ่งใด ทุกคนจึงพากันมองดูเป็นเพียงเรื่องขำขัน และครานี้ก็ไม่ยกเว้นด้วยเช่นกัน
ทุกคนเล่าเรื่องที่เขาพูดออกไป ต่างเห็นเป็นเรื่องล้อเล่น และไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง แต่ไม่นึกว่าพอแพร่จากหนึ่งก็กลายเป็นสิบ จากสิบกลายเป็นร้อย ลือไปลือมาก็กลับไม่ได้เอ่ยถึงชื่อของกู้หน่ายเจิง และถูกปั้นเสริมเติมแต่งจนงอกเงยขึ้นมาหลายส่วน บอกว่าครั้งฉางซานกงเว่ยฮ่วนยังไม่เกษียณตัวออกจากราชการเคยมีสัมพันธ์กับสตรีผู้หนึ่งอยู่ระยะเวลาหนึ่ง สตรีผู้นี้ย่อมคือมารดาของเว่ยซินหย่ง ทว่าด้วยความดุร้ายของแม่เฒ่าซ่งจึงมาทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขา เป็นเหตุให้เว่ยฮ่วนไม่อาจไม่ทนกล้ำกลืนทิ้งพวกเขาแม่ลูก …เอ่อ ไม่ใช่ ทอดทิ้งสตรีผู้นั้น แล้วส่งเว่ยซินหย่งไปเลี้ยงดูที่จือเปิ่นถัง
ภายหลัง เว่ยซินหย่งค่อยๆ เติบโตขึ้นในจือเปิ่นถัง ประจวบเหมาะกับที่อิทธิพลของรุ่ยอวี่ถังถดถอยลง ต้องการบุตรหลานที่มีความสามารถมาช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้ตระกูล เช่นนั้นแล้วเว่ยซินหย่งก็มิใช่ว่าต้องกลับสู่บ้านเดิมหรอกหรือ? แต่เวลานี้เพราะแม่เฒ่าซ่งยังมีชีวิตอยู่ และยังคงแค้นเคืองเว่ยซินหย่งแม่ลูก จึงไม่ยอมรับเขากลับมาเป็นบุตรของเว่ยฮ่วน เว่ยฮ่วนจนปัญญาจึงทำได้เพียงดึงเอาน้องชายร่วมท้องที่เสียไปแล้วมาเป็นข้ออ้าง แล้วขอให้ผู้อาวุโสในตระกูลช่วยเหลือ อาศัยวันเกิดของเว่ยซือกู่ พอจะแก้ขัดให้เว่ยซินหย่งซึ่งเป็นสายเลือดของตนได้กลับมาอยู่ในบ้านเดิมได้…
ที่ว่ามานั้นเป็นเพียงเรื่องราวโดยรวม มารดาของเว่ยซินหย่งนั้นมีทั้งที่ว่าเป็นสาวใช้ จนถึงเป็นคุณหนูในตระกูลเล็กๆ จนถึงคณิกาในหอคณิกา จนถึงบุตรสาวของพอค้า จนถึง… โดยสรุปก็คือพูดกันไปจนเหมือนบทละครเช่นนั้น แตกต่างกันไปหลายฉบับล้วนมีหมด
แม้แต่การที่เว่ยซินหย่งเพิ่งมาเป็นบุตรบุญธรรมและมาที่เมืองหลวงก็กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ด้วยเหตุผลที่ว่าหากเขามิใช่สายเลือดแท้ๆ ของเว่ยฮ่วน แล้วเป็นเพียงทายาทที่รับมาเพื่อจะได้จุดธูปเซ่นไหว้ให้แก่น้องชายที่เสียไป แล้วเหตุใดต้องใส่ใจถึงอนาคตของเขาจนอดรนทนไม่ไหวและต้องให้เขาได้มารับราชการโดยเร็วด้วย?
ต้องเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขาแน่นอน!
………………………………..
[1] เหตุใดไม่กินโจ๊กใส่เนื้อ เป็นวาทะของฮ่องเต้ฮุ่ยตี้ในสมัยจิ้น ที่ว่ากันว่าความจริงแล้วมีสติไม่สมประกอบนัก เป็นเพียงหุ่นเชิดของพระชายา เมื่อได้ยินขุนนางมารายงานว่าประชาชนอดยากไม่มีข้าวจะกิน ก็ทรงตรัสไปว่า “เหตุมดไม่กินโจ๊ะใส่เนื้อเล่า?”