ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 202-2 จอมคาดเดากู้หน่ายเจิง
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะตลอดหลายปีมานี้ต้องนำเขาไปฝากเลี้ยงที่จือเปิ่นถัง เว่ยฮ่วนรู้สึกผิดอยู่ในใจ จึงได้พยายามสนับสนุนเขาอย่างเต็มแรงเพื่อเป็นการชดเชยให้เขา กอปรกับอุปนิสัยของแม่เฒ่าซ่งที่แบ่งแยกบุตรแท้ๆ และบุตรของอนุอย่างชัดเจนจนถึงขั้นจัดการอย่างโหดร้ายทารุณ จึงถึงขั้นมีคนสงสัยว่าการที่เว่ยฮ่วนทำเช่นนี้ ไม่เพียงเพราะต้องการชดเชยให้เว่ยซินหย่งซึ่งเป็นบุตรนอกสมรสแล้ว ก็เพราะเป็นห่วงว่าหากคนที่มีความสามารถเช่นเว่ยซินหย่งอยู่ที่เฟิ่งโจวก็จะไม่พ้นจากเงื้อมมือของแม่เฒ่าซ่ง…
…เว่ยเจิ้งอินหน้าตาเขียวคล้ำพลางมองบุตรสาวและบุตรเขยที่นั่งอยู่ในโถง นางถามด้วยดวงตาเคืองโกรธจนจะพ่นไฟออกมาว่า “พวกเจ้าไปได้ยินคำเล่าลือมาแต่ที่ใด?! ถึงกับเอ่ยเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ออกมาได้ ทำเอาลือไปจนทั่วเมืองหลวงแล้ว ทุกคนล้วนพากันนึกว่าเว่ยซินหย่งเป็นสายเลือดแท้ๆ ของท่านตาพวกเจ้า กระทั่งกระทบกระเทือนถึงชื่อเสียงดีงามของท่านยายเจ้าด้วย?!”
ว่ากันตามจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับซูอวี๋ลี่เลย รอจนนางรู้เรื่องนี้สามีตัวประหลาดของนางก็ทำเรื่องนี้ลงไปแล้ว แต่บุตรเขยถือเป็นแขก แม้คนที่เว่ยเจิ้งอินอยากด่าทอมีเพียงกู้หน่ายเจิงคนเดียว แต่กลับต้องต่อว่าไปบุตรสาวไปพร้อมกันด้วย ซึ่งประเด็นนี้ ซูอวี๋ลี่เข้าใจดี นางมองค้อนแรงๆ ใส่สามีไปคราหนึ่ง เป็นการส่งสัญญาณให้เขาเป็นคนตอบ
แม้ชื่อเสียงของกู้หน่ายเจิงในบรรดาบุตรหลานตระกูลใหญ่จะได้ยินกันจนชินหูว่าผู้ที่พบเห็นไม่มีใครไม่ปวดหัว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีชาติกำเนิดในตระกูลใหญ่ ทว่าแม่ยายเป็นถึงบุตรสาวของตระกูลสูงศักดิ์ เขาจึงไม่กล้าชักช้า ทั้งลดความหน้าด้านหน้าทนในยามปกติลงบ้าง แล้วเอ่ยอย่างนบนอบว่า “เรียนท่านแม่ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเขยคาดเดาเอาเอง เขยนึกว่าท่านน้าหกและท่านลุงใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้สง่างามเหนือคน บางทีอาจเป็นพี่น้องกันจริงๆ ก็ได้นะขอรับ?”
เว่ยเจิ้งอินแทบไม่อยากเชื่อว่าด้วยเหตุผลเหลวไหลเช่นนี้ จะทำให้บุตรเขยของนางคิดว่าเว่ยซินหย่งเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเว่ยฮ่วน …นางสูดหายใจลึกๆ คำหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นตามที่เจ้าว่ามา ก็มิใช่ว่าทุกคนที่สง่างามเหนือคนในใต้หล้านี้ล้วนเป็นบุตรของท่านตาเจ้ารึ?!”
กู้หน่ายเจิง กล่าวว่า “เรียนท่านแม่ ทว่าท่านน้าหกแซ่เว่ยมาแต่ไรนี่ขอรับ”
“…” เว่ยเจิ้งอินมองซ้ายขวาหนแล้วหนเล่า ครั้งนางยังเป็นคุณหนูอยู่ นางก็ได้รับการอบรมจากแม่เฒ่าซ่งจนมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวงว่ารู้จักจารีตธรรมยิ่งนัก ทว่าคนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยเช่นนาง ครานี้ก็อยากจะเอาของสักอย่างปาใส่กู้หน่ายเจิงเสียจริงๆ!
แต่แล้วเจ้าบุตรเขยจอมก่อเรื่องก็ยังพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหตุผลที่ยังไม่ได้บอกกับผู้อื่นอีก นั่นก็คือท่านน้าหกผู้นี้ไม่เพียงสง่างามเหนือคน ประเด็กสำคัญก็คือท่านน้าผู้นี้มีความสามารถล้ำเลิศ เกินผู้ใดเทียบเทียม! เวลานี้ลูกผู้น้องชายห้ายังเยาว์ แม้แต่ท่านอารองท่านยายก็ยังคอยป้องกันเขาเสมอมา แล้วจะยอมรับบุตรหลานของจือเปิ่นถังเข้ามาอย่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ? นี่จักต้องเป็นเพราะท่านตายืนกราน ส่วนเหตุใดท่านตาจึงยืนกรานเช่นนั้น? เห็นชัดว่าเป็นเพราะท่านน้าหกเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา…”
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” เว่ยเจิ้งอินพยายามบอกกับตนเองว่าบุตรเขยเป็นแขก เพื่อบุตรสาวต้องอย่าไปล่วงเกินบุตรเขยมากเกินไป แต่ก็ยังอดขึ้นเสียงด้วยความโกรธไม่ได้ ต้องตวาดออกไปขัดคำของกู้หน่ายเจิงเสีย!
ว่าแล้วก็ต่อว่าบุตรเขยจอมก่อเรื่องไปต่อหน้ายกหนึ่ง …ที่สุดกู้หน่ายเจิงก็ยอมรับผิดแล้ว ทว่าเขาก็ยังคงมีสีหน้าไม่รู้สึกรู้สมอันใด จนเกือบจะเขียนไว้บนใบหน้าว่า ‘บุตรเขยรู้ว่าท่านแม่ยายเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่านยายของอวี๋ลี่ เช่นนั้นวันนี้ก็ยอมให้ผู้ใหญ่สักหน’ …เว่ยเจิ้งอินยังคงชิงชังอยู่ในใจ ดีที่เว่ยฉางอิ๋งก็อยู่ด้วย จึงเข้าไปปลอบนางพร้อมกับซูอวี๋ลี่ ที่สุดก็ทำให้นางคลายโทสะลงได้
แม้จะเป็นดังนี้ เว่ยเจิ้งอินก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี จึงให้บุตรเขยกลับไปก่อน เหลือไว้เพียงบุตรสาวและบอกกล่าวกับนางว่า “สามีเจ้าผู้นี้ไม่ได้ความเกินไปแล้ว! ยามปกติปากไม่มีหูรูดก็ยังแล้วไป แต่ยามนี้แม้แต่ญาติผู้ใหญ่ของตนเองก็ยังนำมาวิพากษ์วิจารณ์ได้! ท่านตาท่านยายของเจ้า มิใช่ว่าเขาก็ต้องเรียกขานดังนี้ด้วยหรือ? แต่ยามนี้กลับพูดจากส่งเดชตามใจ นี่มันไม่เห็นตระกูลเว่ยของข้าอยู่ในสายตาชัดๆ! ยกโทษให้เขาไม่ได้จริงๆ!”
ซูอวี๋ลี่เองก็โกรธเคืองเสียจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กล่าวว่า “ท่านแม่ไม่ทราบ วานนี้ลูกก็จัดการเขาที่บ้านไปหนักๆ รอบหนึ่งแล้ว ปรากฏว่าเมื่อเขามาอยู่ต่อหน้าท่านแม่ก็ยังไม่สำนึกผิดและปรับปรุงตัวอีก! รอกลับไปก่อน ลูกต้องให้เขาได้เห็นดีแน่!”
เว่ยฉางอิ๋งกลับมีความคิดเห็นอย่างอื่น “แม้เรื่องนี้จะเป็นพี่เขยเล่าลือออกไป ทว่าแต่ละตระกูลมีผู้ใดที่ไม่รู้อุปนิสัยของพี่เขย? คำที่เขาเอ่ยเหลวไหลเพียงนี้ แต่กลับลือไปลือมาจนแทบกลายเป็นความจริงแล้ว เกรงว่าจะมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ พี่เขยอาจถูกคนให้ร้ายเจ้าค่ะ”
เว่ยเจิ้งอินกล่าวว่า “เรื่องนี้ในเวลานี้ยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด และไม่ไปใส่ใจด้วย ว่ากันเรื่องของหน่ายเจิงก่อน มีผู้ใดที่เป็นหลานเขยเช่นเขาบ้าง? นี่ก็เพราะบิดามารดาเขาล้วนมิได้อยู่ที่เมืองหลวง ข้าเห็นแก่ที่เขาเป็นสามีของอวี๋ลี่จึงได้ไว้หน้าเขา! หาไม่แล้ว…”
“สรุปก็คือ ครานี้เขาบังอาจเสียยิ่งนัก ไม่จัดการไม่ได้แล้ว!” เว่ยเจิ้งอินขบฟัน พลางเอ่ยกับบุตรสาวด้วยใบหน้าเคร่งเครียดว่า “ข้าเตรียมส่งเขาออกไปทำงานนอกเมืองหลวง เพื่อจะได้ไปสำนึกตัวให้ดีๆ! ในเมืองหลวงเขามีชื่อเสียงเรื่องปากไม่มีหูรูด ประการแรก แต่ก่อนเห็นแก่ที่เขาเป็นบุตรหลานตระกูลกู้ ประการที่สองเห็นแก่ที่เขาอายุยังน้อยไม่รู้ความก็ยังแล้วไป ปรากฏว่ายามนี้ความเคารพยำเกรงสักน้อยเขาก็ยังไม่มี! เช่นนี้จะใช้ได้ที่ใด!”
ซูอวี๋ลี่เป็นคนที่เห็นแก่ส่วนรวมมาแต่ไร จึงฟังออกทันทีว่าความจริงแล้วที่เว่ยเจิ้งอินทำเช่นนี้ก็เพราะคำนึงถึงตนเอง ด้วยเป็นกังวลว่าในเวลานี้ แม้แต่ท่านตาท่านยายแท้ๆ ของภรรยากู้หน่ายเจิงก็ยังกล้าพูดจากส่งเดช …นี่หากไม่ได้เป็นเพราะเว่ยเจิ้งอินเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของแม่เฒ่าซ่งและซูอวี๋ลี่ก็เป็นหลานยายแท้ๆ ของแม่เฒ่าซ่ง เห็นแก่สายสัมพันธ์ที่เป็นสายเลือดกันแท้ๆ จึงยังมีโอกาสไปขอความเห็นใจต่อหน้าแม่เฒ่าซ่งได้
หาไม่แล้ว ต่อให้อิทธิพลของรุ่ยอวี่ถังจะถดถอยลงอีกเพียงใด จะอย่างไรก็ยังคงเป็นตระกูลสูงศักดิ์ หากแม่เฒ่าซ่งจะจัดการกู้หน่ายเจิง ต่อให้เขาเป็นคนประหลาดอีกสักเท่าใดก็ยังต้องเป็นโศกนาฏกรรมอยู่ดี
แล้วตระกูลกู้ก็ดันไม่สามารถควบคุมบุตรชายคนโตผู้นี้ได้เสียอีก หากกู้หน่ายเจิงถูกปล่อยปละจนเคยตัว แล้วไปล่วงเกินคนที่ไม่สามารถขอขมาได้ หากเพียงเขาเองมีจุดจบไม่ดีนั่นยังไม่เป็นไร แต่ถ้าพลอยทำให้ซูอวี๋ลี่ต้องลำบากไปด้วย แล้วเว่ยเจิ้งอินจะวางใจได้อย่างไร? เวลานี้จึงอาศัยเรื่องที่เขานั่งเทียนเขียนเรื่องเกี่ยวกับเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งส่งเขาออกไปนอกเมือง ประการแรกก็เพื่อเป็นการเตือนบุตรชายบุตรสาวคนอื่นๆ เรื่องการลือข่าวลือเช่นนี้ ประการต่อมากลับเป็นการเตือนสติกู้หน่ายเจิงให้ตาสว่างขึ้นมา และรู้จักขอบเขตสักหน่อย
เมื่อเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ภายในแล้ว ซูอวี๋ลี่ย่อมไม่ขัดขวาง พลันพยักหน้าบอกว่า “ทุกสิ่งล้วนว่าตามคำท่านแม่เจ้าค่ะ”
“ให้คนเช่นเขาไปทำงานนอกเมืองหลวง หากข้างกายไม่มีคนคอยจับตาก็ไม่ได้ เจ้าก็ไปด้วยกันกับเขาเถิด เพียงแต่น้องสาวของสามีเจ้าผู้นี้ เดิมทีแม่สามีเจ้าจากไปแล้ว บ้านเผยก็รักบุตรสาวยิ่งนัก จึงรับนางไปดูแลที่ยิวโจวหลายปี” เว่ยเจิ้งอินสั่งความบุตรสาว “เวลานี้เพราะเจ้าแต่งเข้าไปแล้ว จึงเพิ่งส่งนางกลับมา ประการแรกก็ด้วยคำพูดที่ว่า ‘ผู้คนไม่แต่งกับบุตรสาวคนโตที่มารดาเสียไปแล้ว’ ซึ่งเวลานี้มีเจ้าซึ่งเป็นพี่สะใภ้คอยอบรมดูแลแล้ว ประการที่สองก็เพราะนางถึงอายุที่เตรียมหมั้นหมายแล้ว และบ้านเผยไม่อาจตัดสินใจเรื่องแต่งงานให้นางได้ ดีที่สุดให้เจ้าไปสอบถามความประสงค์ของนาง หากสามารถหมั้นหมายได้ ก็ให้จัดการหมั้นหมายให้นางก่อน เพื่อมิให้ชาวบ้านวิจารณ์ว่าคนเป็นพี่สะใภ้เช่นเจ้าไม่รักใคร่น้องสาวของสามี กู้โหรวจางก็อายุสิบหกปีแล้ว เจ้ายังไม่ไปมองหาคนให้นางอีก”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็บอกว่า “หลังจากหมั้นหมายกัน รอจนถึงกำหนดวัน หาก ลูกผู้พี่ยังคงต้องติดตามพี่เขยไปรับตำแหน่งก็เพียงกลับมาจัดงานสักพักเป็นพอแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนหารือกันพักหนึ่ง ซูอวี๋ลี่ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วหันไปกล่าวขอโทษกับเว่ยฉางอิ๋ง “ท่านพี่นั่น! ข้าเค้นถามเขาเรื่องปั้นเรื่องของท่านตาและท่านยายในครานี้ จึงเค้นถามออกมาได้อีกเรื่องหนึ่งพร้อมกัน เดิมทีบอกให้เขามาขอขมาลูกผู้น้องเจ้าต่อหน้า ทว่าเมื่อครู่นี้กลับลืมไป เกรงว่ายามนี้เขาคงกลับถึงบ้านแล้ว …ข้าจึงต้องขอขมากับเจ้าแทนเขาเสียก่อน!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ลูกผู้พี่หมายถึงเรื่องที่ร้านสุราบ้านเจี๋ยหรือเจ้าคะ? ก็มิได้เป็นอันใด เพียงแค่อาหารมื้อหนึ่งเท่านั้นเอง”
“ร้านสุราบ้านเจี๋ย?” ซูอวี๋ลี่สะดุ้งพลางเอ่ย “ว่ามาเช่นนี้แสดงว่าที่เขาไปร้านสุราครานั้นก็ล่วงเกินเจ้าด้วยเช่นนั้นหรือ?”
“ลูกผู้พี่หมายถึง?” เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกเป็นลางไม่ใคร่ดี
ปรากฏว่าซูอวี๋ลี่อธิบายว่า “ข้าหมายถึงเรื่องที่ลูกผู้น้องเสิ่นพาเจ้าไปที่ ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ ปรากฏว่าพวกเจ้าถูกพวกสตรีไร้มารยาทที่ฝูหรงโจวขวางทางไว้และเกี้ยวพาลูกผู้น้องเสิ่น ภายหลังก็มิใช่อ้างว่าเป็นสนมขององค์รัชทายาท จนลูกผู้น้องเสิ่นบันดาลโทสะและลงมือกับพวกนาง? ทว่าท่านพี่เขา …เขากลับไปบอกกับทุกคนว่าเป็นเจ้าทำ!”
___________________________