ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 203 ดีใจหรือไม่
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งถูกเตือนดังนี้ ก็นึกถึงวันนั้นที่แหลนของเสิ่นจั้งเฟิงเพิ่งทำเสร็จ พอดีว่าทุกคนมาเยี่ยมเขาที่เรือนจินถงพร้อมกัน …ในวันนั้นกู้หน่ายเจิงก็มิใช่เคยบอกว่าคนที่ลงมือก็คือนางเอง? วันนั้นเป็นเพราะตวนมู่อู๋ยิวคิดจะสู้ตายกับกู้หน่ายเจิง เหตุการณ์สับสนอลหม่านเสียยิ่งนัก นางจึงไม่มีแก่ใจไปสอบถามให้ชัดเจน ยังนึกว่ากู้หน่ายเจิงไปได้ยินข่าวมาจากที่อื่นและฟังมาผิดๆ ไม่คิดว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นคนสร้างข่าวลือนี้ของตนออกมาตั้งแต่คราวนั้น?
นางเอ่ยถามอย่างแทบกระอักเลือดออกมาว่า “กลับไม่ทราบว่าข้าไปล่วงเกินพี่เขยยามใด? จนทำให้พี่เขยต้องให้ร้ายข้าเช่นนี้?”
ซูอวี๋ลี่พลันมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดดี กล่าวว่า “ลูกผู้น้องเจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ความจริงแล้วท่านพี่หาได้ไม่ชอบเจ้า ที่เขาพูดเช่นนั้น …พูดเช่นนั้นก็เพราะว่า… เพราะว่าเขา …ก็เป็นเหมือนครานี้ เขาเดาว่าเป็นเช่นนั้น”
เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งมีควันขึ้นเต็มหัว ซูอวี๋ลี่พลันอธิบายแทนสามีด้วยความละอายใจ “เมื่อท่านพี่ได้ยินเรื่องที่ฝูหรงโจว ก็บอกว่าแม้หน้าตาของหญิงเก็บบัวพวกนั้นจะอัปลักษณ์ ทว่าอย่างไรก็ยังเป็นสตรีทั้งหมด ว่ากันว่าชายชาตรีไม่ต่อสู้กับสตรี ซึ่งต่อให้เขาคิดสั่งสอนหญิงเก็บบัวเหล่านั้นก็จะต้องไม่ลงมือกับพวกนางแน่ ประสาอะไรที่ลูกผู้น้องเสิ่นเป็นคนใจคอกว้างขวางมาแต่ไร แล้วจะไปลงมือกับพวกนางทั้งยังไม่ปล่อยไปเลยแม้สักคนได้อย่างไร?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูอวี๋ลี่ก็พูดต่อไปไม่ใคร่ได้ นางยกชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง ตั้งสติแล้วจึงพูดเสียงเบาๆ ต่อไปว่า “ท่านพี่คิดว่าคนที่ลงมือต้องเป็นเจ้าแน่ๆ เขาบอกว่าจะต้องเป็นเพราะลูกผู้น้องเสิ่นฝืนทนเพราะเห็นแก่หน้าตาจึงไม่ได้ไป….กับหญิงเก็บบัวเหล่านั่น…เอ่อ เขาผู้นี้ชอบพูดจาส่งเดช เจ้าไม่ต้องไปใส่ใจเขาหรอก …เอาเป็นว่าคนที่เขาคาดเดาว่าเป็นคนลงมือความจริงแล้วก็คือตัวลูกผู้น้องเอง ลูกผู้น้องเสิ่นก็เพียงกลัวว่า ลูกผู้น้องจะถูกคนร่ำลือว่าดุร้ายขี้อิจฉา จึงรับผิดเรื่องนี้ไว้เสียเอง!”
เว่ยฉางอิ๋ง “…!”
แม้ซูอวี๋ลี่จะตัดทอนไปหลานส่วน แต่โดยรวมแล้วก็ยังพูดออกมาแล้วว่า กู้หน่ายเจิงเจ้าหมอนี้ นึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงไม่ใช่คนที่จะลงมือกับสตรี จึงเดาว่าเรื่องนี้เป็น เสิ่นจั้งเฟิงขืนรักษาหน้าตาจึงได้พยายามพูดจาดีๆ กับพวกหญิงเก็บบัวสองสามคำ ครั้นแล้วไฟริษยาของแม่เสือสาวเว่ยฉางอิ๋งก็พลันปะทุเดือดดาลขึ้นมา จึง….หญิงเก็บบัวเหล่านั้น ภายหลังเสิ่นจั้งเฟิงเห็นท่าไม่ดี เป็นห่วงว่าชื่อเสียงของภรรยาจะเสียหาย จึงก้าวออกมารับผิดชอบไปแทน
เจ้าหมอนี้ไม่มีความสามารถในการคาดเดาเลยแม้แต่น้อย เอาแต่คาดเดาส่งเดชไปเรื่อยเปื่อยก็ยังแล้วไป เอาเรื่องที่สรุปมั่วๆ ไปป่าวประกาศทั่วไปก็ยังไม่น่าชังถึงที่สุด…ที่น่าชังเป็นที่สุดก็คือ เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงวันที่ตวนมู่อู๋ยิวจะเข้าแลกกับกู้หน่ายเจิงคราวนั้น เว่ยฉางอิ๋งแอบขบฟัน เจ้าหมอนี้ถึงกับคิดว่าเรื่องที่ตนสรุปมั่วๆ เป็นเรื่องจริง!
หากคราวหลังยังมีโอกาสเช่นในวันนั้น เว่ยฉางอิ๋งจะต้องช่วยขจัดทุกอย่างที่ขวางทางตวนมู่อู่ยิว แล้วนั่งดูตวนมู่อู๋ยิวกำจัดสิ่งชั่วร้ายไปเสีย!
เอ่อ…แต่เวลานี้เจ้าหมอนี่ดันมาเป็นพี่เขยเสียนี่ ความคิดเช่นนี้จึงทำได้แค่เพียงคิดเอาเท่านั้น ถ้าเจ้าหมอนี้เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แล้วจะให้ลูกผู้พี่ซูอวี๋ลี่ทำอย่างไรเล่า?
ครั้นแล้วเว่ยฉางอิ๋งจึงกลับไปที่จวนด้วยความกลุ้มใจ
ไม่คิดว่าเมื่อนางกลับมาถึงเรือนจินถงก็ได้ยินข่าวดีล้นฟ้า …นางหวงยิ้มยินดีแจ้งนางว่า “เมื่อครู่นี้ท่านหมอเทวดาจี้เพิ่งจะส่งคนมาบอกข่าวน่ายินดีเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ!” ด้วยกลัวว่า เว่ยฉางอิ๋งจะไม่สนใจฟัง นางจึงเน้นไปว่า ‘น่ายินดียิ่งนัก!’
เว่ยฉางอิ๋งค่อนข้างไม่เข้าใจ กล่าวว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีใด?”
นางหวงยิ้มจนหุบปากไม่ลง กล่าวว่า “โอ๊ะ หลายวันมานี้ ฮูหยินน้อยยุ่งวุ่นวายกับเรื่องต่างๆ มากจริงๆ แม้แต่เรื่องน่ายินดีเป็นล้นพ้นจากทางท่านหมอเทวดาก็ยังไม่ทราบหรือเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะเดาว่าคงมิใช่ว่าจี้ชวี่ปิ้งจะแต่งงานทำนองนั้นหรอกนะ ทว่าเรื่องเช่นนี้นางหวงบอกว่าน่ายินดีก็พอแล้ว กลับไม่มีเหตุผลใดต้องมาดีอกดีใจต่อหน้าตนนี่ นางคิดไปอีกครั้งพลันโพล่งถามไปว่า “หรือเป็นเรื่องอาการป่วยของท่านพ่อ…?”
แล้วเห็นนางหวงตบมือ เอ่ยอย่างยินดีว่า “ก็มิใช่หรือเจ้าคะ? ระยะนี้ท่านหมอเทวดาจี้ล้วนทำการศึกษายาพิษที่พวกหมอแม่มดชาวหรงเอามาทาบนหัวธนูซึ่งใช้มาทำร้ายคุณชายห้าและคุณชายบ้านเผย ปรากฏว่าวันนี้ส่งคนมาบอกว่า เขาพอจะมีหนทางรักษาโรคของนายท่านใหญ่แล้วเจ้าค่ะ …ยามนี้เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว จะให้พวกเราส่งคนพาเขาไปส่งที่เฟิ่งโจวเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งตื่นเต้นยินดีจนแทบไม่อยากจะเชื่อ!
นางนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ๆ ไม่ได้สนใจฐานะและมารยาทใดๆ ในยามนี้แล้ว พลันกระโดดขึ้นมาอย่างดีใจเหมือนเด็กสาวตัวเล็กๆ …กระโดดอยู่กับที่ไปสองรอบ นางจึงได้สงบลงมาท่ามกลางสายตาตกตะลึงและท่าทีแอบหัวเราะของพวกบ่าว นางสั่งการอย่างเร่งร้อนในทันใด รีบส่งคนไปบอกท่านอา… ไม่สิ ฉินเกอ เจวี๋ยเกอ พวกเจ้าสี่คนเลือกหาคนนำองครักษ์ไปที่คฤหาสน์จี้ จำไว้ว่าต้องเลือกคนที่ท่านย่าเป็นคนเลือกมาครั้งข้าออกเรือน! ต้องคุ้มกันท่านหมอเทวดาจี้ให้ดีที่สุด!”
พวกของฉินเกอทั้งสี่คนต่างพากันตอบอย่างขึงขังว่า “ข้าน้อยมิกล้าขัดเจ้าค่ะ!”
นางหวงรีบบอกว่า “ครั้งข้าน้อยได้รับข่าวนี้ก็ตัดสินใจเอง ส่งองครักษ์ไปแล้วเจ้าค่ะ!”
“ส่งไปอีกสองกอง!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างหนักแน่น “ดีชั่วข้าก็อยู่ในเรือนหลังของบ้านเสิ่น ไม่จำเป็นต้องให้คนมาคุ้มกันอยู่แล้ว! ขอเพียงเป็นคนเชื่อถือได้ จะส่งบ่าวติดตามข้าไปด้วยก็ไม่เป็นไร!”
คราวนี้นางกลับไม่คิดว่านางหวงคิดการเอาเอง ทั้งยังส่งสาวใช้ข้างกายที่มาจาก ‘ปี้อู่’ ไปที่คฤหาสน์จี้อย่างเร่งด้วย กลับกันยังตบรางวัลให้นางหวงไปอีก …นางเร่งเข้าไปในห้อง นั่งลงและเรียกพวกนางหวงซึ่งเป็นบ่าวคนสนิทให้มาหารือร่วมกัน “หากท่านพ่อสามารถหายดีได้ ไมเพียงแค่ที่เฟิ่งโจว แล้วรุ่ยอวี่ถังของเราก็จะต้องมีเรื่องกังวลใดอีก? ประเด็นนี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้! ยามนี้คนที่อยากให้ท่านหมอเทวดาจี้ตายเกรงว่าจะมีไม่น้อยเลย การเดินทางครานี้ของท่านหมอเทวดาจี้นับว่ามีอันตรายไม่น้อย ต้องเตรียมวางแผนเรื่องความปลอดภัยเอาไว้ให้จงดี!”
พวกของนางหวงและนางเฮ่อล้วนรู้เรื่องควรไม่ควรดี ต่างบอกว่า “ฮูหยินน้อยพูดถูกต้องยิ่งนักเจ้าค่ะ! ต่อไปนี้ต้องขอให้ฮูหยินน้อยพยายามอยู่แต่ในเรือน อย่าออกไปข้างนอก เพื่อให้คนของเราคุ้มกันท่านหมอเทวดาจี้ได้อย่างสะดวกเจ้าค่ะ!”
“เข้าจะไปมาเฉพาะในเขตเมืองหลวง เรื่องนี้กลับไม่เป็นไร” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว จะเกี่ยวพันอันใดกับความเป็นไปของบ้านฝั่งมารดา? สังหารข้าแล้วจะมีความหมายใด กลับกันจะเป็นการก่อความแค้นกับตระกูลเสิ่นและตระกูลเว่ยเสียอีก พวกท่านไม่จำเป็นต้องคำนึงความปลอดภัยของข้า …อีกประการข้าเป็นคนมือไม้ไร้เรี่ยวแรงหรือไร? ถูกลอบสังหาร ข้าก็มิใช่ว่าไม่เคยพบมาก่อน!”
นางสงบนิ่งอยู่เนิ่นนานจึงว่า “คนมีพอหรือไม่ยังเป็นเรื่องรอง ประเด็นที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดคือต้องเชื่อถือได้! แม้ในเขตทะเลนี้วิชาแพทย์ของท่านหมอเทวดาจี้จะไร้ผู้เทียบเทียม แต่ตัวเขาเองกลับไม่มีวรยุทธ์ใด เพียงแค่องครักษ์ทั่วไปคนหนึ่งก็สามารถกำจัดเขาได้ในดาบเดียว! ต้องป้องกันไม่ให้มีพวกทหารเดนดายที่มีเจตนาร้ายแฝงตัวเข้ามา!”
นางเฮ่อจึงเสนอความคิดว่า “แม้บ่าวติดตามของทั้งฮูหยินน้อยและนายหญิงรองจะมีจำนวนมาก และมีคนที่ภักดีซื่อสัตย์อยู่ไม่น้อย ทว่าโดยมากแล้วเป็นพวกพ่อแม่บ้าน บ่าวใช้แรงง่าน พวกองครักษ์กลับมีไม่มาก จะสามารถขอความช่วยเหลือจาก ตระกูลเสิ่นโดยขอให้ ‘จี้หลี’ ของตระกูลเสิ่นช่วยออกแรงได้หรือไม่เจ้าคะ?” ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลฝ่ายบุ๋นเลื่องชื่อในเขตทะเล ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์ก็ดี องค์รักษ์ลับก็ดีจะอย่างไรก็ไม่เก่งกาจทัดเทียมตระกูลเสิ่นและตระกูลหลิวสองตระกูลสูงศักดิ์ที่ต่อสู้กับผู้รุกรานแคว้นมานับร้อยปี
หากว่ากันเรื่ององครักษ์ที่คอยให้การอารักษ์ขาแล้ว องครักษ์ลับของตระกูลเสิ่นจะทำให้วางใจได้มากกว่า
นางหวงเองก็บอกว่า “ ‘จี้หลี’ เก่งกาจห้าวหาญหาใดเปรียบ และเก่งกาจกว่าองครักษ์ที่เป็นบ่าวติดตามของฮูหยินน้อยและนายหญิงรองมากมายนักเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก กล่าวว่า “ข้าจะไปรายงานท่านพ่อท่านแม่ เพื่อไปขอร้องเรื่องนี้!”
…ความจริงแล้ว ในเวลานี้เสิ่นเซวียนเองก็ได้รับข่าวแล้ว และเพิ่งจะส่งคนจำนวนหนึ่งไปอารักษ์ขาที่คฤหาสน์จี้ และขอให้ฮูหยินซูมาหารือที่ห้องหนังสือทางด้านหน้า พอเอ่ยปากมาก็บอกว่า “เข้าเตรียมการให้พวกเขาจั้งจี เหลี่ยนฮวา เหลี่ยนคุนคุ้มกันจี้ชวี่ปิ้งไปที่เฟิ่งโจว อีกประเดี๋ยวเมื่อเจ้าตอบรับคำขอของนางเว่ยแล้วก็ให้บ่าวรับใช้ใกล้ชิดของพวกเขาทั้งสามคนจัดเตรียมสัมภาระด้วย”
ฮูหยินซูตื่นตกใจ “เพื่อหมอคนหนึ่ง จำเป็นเพียงนี้เชียวรึ?”
“นี่ล้วนทำให้เว่ยฮ่วนดู” เสิ่นเซวียนเอ่ย “อีกประการหากไม่มีบุตรหลานในสายหลักทั้งสามคนไปด้วยแล้วจะส่งคนไปอย่างเพียงพอโดยไม่ถูกฮ่องเต้ไถ่ถามเอาได้หรือ? เจ้าคงลืมไปแล้วว่าสองปีก่อนพวกหรงสามารถแฝงตัวเข้ามาในเฟิ่งโจว แล้วเหตุใดยามนี้จะทำอีกไม่ได้? ครานั้นแม้แต่นางเว่ยและน้องชายของนางก็ยังถูกลอบสังหารที่นอกเมืองเฟิ่งโจว แล้วประสาอะไรกับจี้ชวี่ปิ้ง!”
ฮูหยินซูล้วนไม่ไปขัดแย้งกับสามีในเรื่องใหญ่ต่างๆ เวลานี้จึงบอกว่า “เช่นนั้นจะไปในนามใด? คงไม่อาจพูดว่าให้พวกเขาสามคนไปคุ้มกันแพทย์ผู้หนึ่งกระมัง? เพราะเรื่องนี้ก็จะทำให้คนหัวเราะเยาะเอาได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยากจะไปชี้แจงต่อฮ่องเต้ด้วย”
“ไปในนามใดยังจะหายากรึ?” โรคร้ายแรงของเว่ยเจิ้งหงมีหวังจะรักษาให้หายได้ ในเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้ เรื่องนี้ทั้งใหญ่โตและปัจจุบันทันด่วนเกินไป แม้แต่ ตระกูลเสิ่นซึ่งเป็นดองกับเขาก็ยังรู้สึกกลัดกลุ้มและร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเหลืออด “เว่ยซือกู่นักเขียนเรืองนามแห่งเขตทะเลมิใช่ว่ากำลังสอนสั่งเว่ยฉางเฟิงอยู่ที่เฟิ่งโจว ก็บอกว่าส่งพวกเขาไปขอไหว้ครูเป็นศิษย์ของเว่ยซือกู่สิ!”
ฮูหยินซูไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ตระกูลเสิ่นเป็นตระกูลฝ่ายบู๊ หากมีบุตรหลานสักคนไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ของเว่ยซือกู่ก็ยังพอทำเนา นี่ไปกันทั้งสามคน …เพียงแต่หากพวกเขาไปฝากตัวเป็นศิษย์ แล้วเมื่อใดจะกลับมาได้?”
“ดีชั่วจั้งจีก็อายุเพิ่งจะสิบเจ็ด ก็ไปพักอยู่ที่เฟิ่งโจวสักปีสองปีก็มิเป็นไร ลำพังเพียงเรื่องที่พวกเราส่งพวกเขาทั้งสามคนไปคุ้มกันจี้ชวี่ปิ้งระหว่างเดินทาง ขอเพียงส่ง จี้ชวี่ปิ้งไปถึงแล้ว ไม่ว่าเขาจะรักษาเว่ยเจิ้งหงหายหรือไม่ เจ้ายังกลัวว่ารุ่ยอวี่ถังจะไม่ดีต่อบุตรชายและหลานของเรารึ?” เสิ่นเซวียนขมวดคิ้วพลางว่า “เว่ยเจิ้งหงนอนป่วยมานานปี แต่ชื่อเสียงของเขาก็จะขจรขยายไปสู่ภายนอก! หากเขาหายดี …รุ่ยอวี่ถังก็จะไม่ต้องถดถอยเช่นในวันนี้แล้ว …ถึงยามนั้น ราชสำนัก …และยังมีทางฮ่องเต้ …หลายปีมานี้ เพราะพวกบุตรหลานเช่นจั้งลี่ จั้งเฟิงและคนอื่นๆ ตระกูลเสิ่นของเรา จึงถูกจับตามอง ยามนี้แม้แต่บ้านดองก็จะกลับมารุ่งโรจน์อีกคราแล้ว เกรงว่าฮ่องเต้และ ตระกูลอื่นๆ ต้องไม่ใคร่พอใจแน่!”
ฮูหยินซูรู้ว่าเรื่องที่เขาเป็นกังวลเหล่านี้ตนเองก็ไม่อาจช่วยเหลืออย่างไรได้ จึงบอกว่า “เกรงว่าฉางอิ๋งจะมารอข้าที่เรือนหลักแล้ว หากท่านไม่มีความอื่นแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไปตอบรับนางก่อน”
เสิ่นเซวียนเอ่ยพลางกุมขมับว่า “ไม่มีแล้ว เจ้าไปเถิด”
ฮูหยินซูกลับไปที่ด้านหลัง ปรากฏว่าว่าเว่ยฉางอิ๋งกำลังรอนางอยู่ที่เรือนหลักด้วยท่าทีร้อนใจนักหนา …เพราะเสิ่นเซวียนสั่งความลงมาแล้ว พอเว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะคำนับ ฮูหยินซูหันหน้ามาก็บอกว่า “เรื่องที่จี้ชวี่ปิ้งพบยาดีจะรักษาบิดาเจ้านั้น ทั้งข้าและท่านพ่อของพวกเจ้าเพิ่งจะได้ยินมา เมื่อครู่นี้ท่านพ่อของพวกเจ้าจึงเรียกข้าไปหารือด้วยเรื่องนี้”
เว่ยฉางอิ๋งรีบเอ่ยไปว่า “ขอบังอาจถามว่าท่านพ่อท่านแม่หารือเป็นเช่นใดเจ้าคะ?”
“เรื่องพระดำริของฮ่องเต้ ข้าคิดว่าเจ้าก็คงจะสัมผัสได้” ฮูหยินซูแสดงความลำบากใจไปก่อน “หากต้องส่งคนตั้งมากมายไปคุ้มกันเพียงหมอเทวดาผู้หนึ่ง เกรงว่า ฮ่องเต้จะไม่พอพระทัย และต้องถูกขุนนางฝ่ายค้านเล่นงานแน่”
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าฮ่องเต้ต้องไม่ชอบให้พวกตระกูลสูงศักดิ์ทำการเอิกเกริกเกินไป เรื่องความถดถอยของรุ่ยอวี่ถัง ในทางแจ้งฮ่องเต้แสดงออกว่าเสียดายเว่ยฮ่วนและเว่ยฉี แต่ในใจไม่รู้ว่าจะดีใจเพียงใด! เวลานี้เว่ยเจิ้งหงมีความหวังว่าจะรักษาหาย ในจำนวนคนที่อยากให้จี้ชวี่ปิ้งตายไปเสียในทันใด จะต้องมีฮ่องเต้เป็นหนึ่งในนั้น …แล้วจะไม่หาทางขัดขวางไม่ให้ตระกูลเสิ่นช่วยคุ้มกันจี้ชวี่ปิ้งเดินทางไปเฟิ่งโจวได้หรือ? ทว่าก็ยังอดจะพูดไปไมได้ว่า “ทว่าตลอดทางจากเมืองหลวงไปเฟิ่งโจวก็มีหลายแห่งที่มีกองโจรซึ่งกำลังก่อการไม่หยุดหย่อน และมักมีพวกหรงแฝงตัวเข้ามา หากว่า…” ทว่านี่เป็นความหวังเดียวของบิดาของนางแล้ว! หากในมือนางมีทหารสักแสนนาย และให้ส่งไปด้วยพร้อมกัน นางล้วนไม่รู้สึกว่าเกินเลยเลยแม้แต่น้อย!
“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ ฟังข้าว่า” ฮูหยินซูเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ฉะนั้นท่านพ่อของพวกเจ้าจึงเตรียมการดังนี้ ให้จั้งจี เหลี่ยนฮวา เหลี่ยนคุนสามคนไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ของเว่ยซือกู่ และร่วมทางไปกับจี้ชวี่ปิ้ง ‘พอดี’ !” นางอธิบายว่า “เมื่อบุตรหลานในสายหลักของตระกูลสูงศักดิ์ออกเดินทาง แล้วต้องนำบ่าวไพร่จำนวนมากติดตามไปดูแลรับใช้ก็นับเป็นเหตุผลที่สมควร การไปเฟิ่งโจวครานี้ต้องเดินทางไกลพันลี้ ระหว่างทางก็ไม่ใคร่ราบรื่น พวกเขาจึงพาองครักษ์จำนวนหนึ่งไปด้วย … ดีชั่วก็ให้พวกเขาเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าเช่นบ่าวไพร่ แล้วเอาอาวุธซ่อนไว้ในเสื้อ หรือเก็บเอาไว้ในห่อสัมภาระ แล้วผู้ใดจะกล้าบอกว่าคนที่พวกเขาพาไปด้วยล้วนเป็น ‘จี้หลี’ ของตระกูลเสิ่นของเรา?! ท่านพ่อของพวกเจ้าเพิ่งจะคำนวณดูเมื่อครู่นี้ ต่อให้ระหว่างทางเกิดการเปลี่ยนแปลงใดก็ต้องสามารถคุ้มกันจี้ชวี่ปิ้งให้ไปถึงเฟิ่งโจวโดยสวัสดิภาพได้อย่างแน่นอน!”
แม้แต่สามพี่น้องจากในสายหลัก ตระกูลเสิ่นก็ยังส่งออกไป ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนทายาทในสายหลักของรุ่นนี้แล้ว ความตั้งใจที่เสิ่นเซวียนต้องการจะคุ้มกันจี้ชวี่ปิ้งให้ไปถึงเฟิ่งโจวโดยสวัสดิภาพนั้น สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากบุตรหลานทั้งสามคนนี้แล้ว! ไม่มีสิ่งใดที่จะน่าเชื่อถือเทียบเท่าคำมั่นและคำรับประกันนี้อีกแล้ว …เว่ยฉางอิ๋งซาบซึ้งเสียจนไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดใดได้!
_________________________