ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 204-2 ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องชังข้านัก
บ่าวกำลังจะออกไปบอก ไม่คิดว่า จู่ๆ ดวงตาของเว่ยเซิ่งอี๋ก็กรอกไปหนึ่งหน แล้วพึมพำว่า “เว่ยซินหย่ง? เขาเพิ่งจะมาที่เมืองหลวงก็มีชื่อเสียงร่ำลือไปทั่วว่ามีความสามารถล้นเหลือ สง่างามเหนือคน ทว่าเวลานี้เว่ยเจิ้งหงกลับกำลังจะหายแล้ว… ฐานะของเขากลับต้องสั่นสะเทือน …หากมิใช่เป็นเพราะว่าเว่ยเจิ้งหงไม่อาจเป็นความหวังได้ แล้วนังแก่ซ่งซินโหรวนั่นจะปล่อยให้ทายาทจากอนุมีทางรอดใดอีกหรือ? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเว่ยซินหย่งเป็นบุตรบุญธรรมที่รับมาจากจือเปิ่นถังเลย!”
เขาตบโต๊ะแรงๆ ไปหนึ่ง แล้วบอกกับบ่าวที่ไม่รู้ว่าจะเข้ามาหรือออกไปดีว่า “ไปเชิญเขามาที่ห้องหนังสือ แล้วบอกว่าข้าจะไปเดี๋ยวนี้ !”
เว่ยฉางอวิ๋นได้ฟังคำที่พูดไปก่อนหน้านี้ ก็สดชื่นขึ้นมาอย่างมากในทันใด กล่าวว่า “เว่ยซินหย่งเก่งกาจเหนือคน ย่อมต้องรู้เช่นเหตุชาตินังแก่งซ่งซินโหร่ว! เขาอุตส่าห์พ้นจากการเป็นบุตรอนุที่ไม่เป็นที่สนใจของผู้คนในจือเปิ่นถังและกลายมาเป็นทายาทของรุ่ยอวี่ถังอย่างยากเย็น ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากท่านปู่ เวลานี้ก็มีชื่อเสียงกระฉ่อนเมืองหลวง แล้วจะยอมให้นังแก่ซ่งซินโหรวนั่นช่วงชิงทุกอย่างไปจากเขาเช่นนั้นหรือ? ท่านพ่อขอรับ การที่เขามาหาท่านครานี้ บางทีอาจมีแผนการรับมือแล้วก็เป็นได้ขอรับ?”
เว่ยเซิ่งอี๋เองก็หวังให้เป็นเช่นนั้น เวลานี้เขารู้ดีว่าตระกูลทางสายของตนแทบจะจบสิ้นแล้ว แต่กลับไร้หนทางจะไปตอบโต้ …สมมติว่าเว่ยซินหย่งมีวิธีที่สามารถกำจัดอุปสรรค์ตรงหน้าเขาไปได้ ต่อให้ต้องยอมให้ผลประโยชน์แก่เว่ยซินหย่งบ้างเขาก็ไม่มีแก่ใจจะมาห่วงแล้ว
เขาจึงรีบกลับเข้ามาทางด้านหลัง เปลี่ยนเสื้อผ้าไปต้อนรับแขก แล้วรีบไปที่ห้องหนังสือ โดยนามแล้วเป็นการพบปะกันของลูกพี่ลูกน้อง เมื่อทักทายไปสองสามคำแล้ว เว่ยเซิ่งอี๋ก็เก็บความกระวนกระวายหนักหนาในใจไว้ไม่อยู่ พลันลองสอบถามไปว่า “ที่น้องหกมาวันนี้ ไม่ทราบว่าเพราะ …มีสิ่งใดจะชี้แนะ?”
เดิมทีเขาเกือบจะถามไปตรงๆ แล้วว่า “เพราะเรื่องของจี้ชวี่ปิ้ง” ก่อนจะเอ่ยออกไป ก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้จะเห็นถึงความกระวนกระวายของตนชัดเจนเกินไป หากเว่ยซินหย่งมีวิธีจริงๆ เช่นนั้นก็มิใช่เป็นให้สิงโตอ้าปากกว้างๆ เพื่อบอกสิ่งที่เขาต้องการหรอกหรือ? จึงเปลี่ยนคำพูดไปอย่างกะทันหัน
เว่ยซินหย่งกลับสุขุมลุ่มลึกยิ่ง เอ่ยช้าๆ ว่า “วันนี้ข้ามาอย่างปัจจุบันทันด่วน หากรบกวนพี่รองที่ใด ก็หวังให้พี่รองโปรดอภัยด้วยขอรับ”
“เจ้าข้าพี่น้อง ไยต้องเห็นเป็นอื่นดังนี้?” เว่ยเซิ่งอี๋รีบบอกว่า “หากน้องหกมีสิ่งใดโปรดเอ่ยมาตรงๆ ได้เลย”
เว่ยซินหย่งถูกเขาเร่งรัดหนแล้วหนเล่า เขาก็กลับยิ่งสงบลงเรื่อยๆ ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “พี่รองกล่าวถูกต้องนัก กลับเป็นซินหย่งที่ไม่รู้กาลเทศะเสียแล้ว”
เว่ยเซิ่งอี๋พยายามอดทนพูดจาตามมารยาทกับเขา …แต่มีมารยาทอยู่จนเนิ่นนาน ก็ไม่เห็นว่าเว่ยซินหย่งจะพูดถึงประเด็นสำคัญใดสักที เขาทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ และไม่สนใจแล้วว่าหากเว่ยซินหย่งมีอำนาจอยู่เหนือเรื่องนี้แล้วจะมีผลลัพธ์เช่นใด …ดีชั่ว ยามนี้เขาก็เจียนจะไม่เหลือผลใดๆ อีกแล้ว เขาจึงหยุดเอ่ยคำตามมารยาทแล้วถามเข้าประเด็นตรงๆ ไปว่า “ชาวบ้านลือกันว่าฝีมือแพทย์ของจี้ชวี่ปิ้งแพทย์เลื่องชื่อแห่งแถบทะเลมีความก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว ได้ยินว่าเขามีวิธีดีๆ ที่สามารถทำให้พี่ใหญ่ของเราหายขาดจากอาการป่วยได้ คิดว่าเวลานี้น้องหกก็คงได้ยินเรื่องนี้แล้วกระมัง?”
“พี่รองกล่าวถูกต้องขอรับ” เว่ยซินหย่งยิ้มพลางว่า “จะว่าไปแล้วพี่ใหญ่ล้มป่วยมานานปี ท่านป้าสะใภ้รองก็เป็นกังวลกับเขายิ่ง ไม่นึกว่าวันนี้สวรรค์คุ้มครอง จึงประทานความหวังว่าจะสามารถรักษาหายได้ น่ายินดีปรีดา น่ายินดีปรีดาจริงๆ!”
เว่ยเซิ่งอี๋จับตามองสีหน้าของเขา สังเกตเห็นว่าแม้ยามเขาพูดจะมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ทว่าแววตากลับสงบนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว ไม่ได้มีโทสะหรือตื่นตระหนกใดๆ แม้สักน้อย ในใจทั้งรู้สึกนับถือชั้นเชิงของคนผู้นี้ ทั้งเกิดความหวังรำไรขึ้นมาว่า เห็นชัดว่าเว่ยซินหย่งไม่ได้รู้สึกสักน้อยว่าเรื่องที่เว่ยเจิ้งหงจะหายดีเป็นเรื่องน่ายินดีปรีดา ด้วยชั้นเชิงของคนผู้นี้ เมื่อเว่ยเจิ้งหงหายดีแล้ว จะยอมให้รุ่ยอวี่ถังทิ้งทายาทที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเช่นเขาผู้นี้ไปหรือ?
เว่ยเซิ่งอี๋ตั้งสติ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนไปว่า “หรือที่น้องหกมาในวันนี้ เพราะมาพูดเรื่องนี้กับพี่?”
เมื่อเห็นว่าเขาพูดมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ที่สุดเว่ยซินหย่งจึงเอ่ยประเด็นสำคัญสักที “ก่อนหน้าซินหย่งจะมา ก็เคยคิดว่าเวลานี้พี่รองจะมีความรู้สึกเช่นใด? เมื่อได้มาเห็นในยามนี้ซินหย่งก็รู้สึกผิดหวังจริงๆ!”
เว่ยเซิ่งอี๋ขมวดคิ้ว เดาความคิดของเขาไม่ใคร่ออก จึงถามว่า “พี่คิดช้านัก ไม่ทราบว่าคำพูดนี้ของน้องหกหมายถึงสิ่งใด?”
เว่ยซินหย่งเอ่ยอย่างผ่อนคลายว่า “นับแต่พี่รองเข้าห้องหนังสือมาก็นั่งไม่สงบ คิดจะพูดแต่ก็ยั้งเอาไว้หลายครั้งหลายหน ด้วยซินหย่งแสร้งทำเป็นเลอะเลือน พี่รองก็กลับร้อนใจจนต้องเอ่ยถามออกมาตรงๆ …หากพี่รองทำไปด้วยเรื่องใดสำคัญก็แล้วไป แต่ไม่คิดว่าพี่รองกลับทำไปด้วยเรื่องของจี้ชวี่ปิ้ง! แล้วซินหย่งจะไม่ผิดหวังได้อย่างไร?”
“ในเมื่อน้องหกเอ่ยเช่นนี้ หรือว่าไม่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญ?” เว่ยเซิ่งอี๋ได้ยินก็อดโมโหขึ้นมายกใหญ่ไม่ได้ พลันตบโต๊ะและลุกขึ้นพูด “ยามนี้ในห้องหนังสือนี้ไม่มีบุคคลที่สาม เจ้ากล้าตำหนิว่าข้าไม่กลัวว่าซ่งซินโหรวจะข้ามแม่น้ำแล้วพังสะพาน?! หากเป็นดังนี้ แล้วที่เจ้ามาวันนี้ด้วยประสงค์ใด?!”
เว่ยซินหย่งกลับเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “พี่ร้องมีโทสะเช่นนี้ ซินหย่งกลับยิ่งผิดหวัง” ไม่รอให้เว่ยเซิ่งอี๋บันดาลโทสะเอะอะขึ้นมา เว่ยซินหย่งหรี่ตาลง กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มพลางว่า “ทุกคนต่างรู้กันว่าโรคของพี่ใหญ่นั้นเป็นมาตั้งแต่ในครรภ์ ทั้งยังเป็นโรคที่รักษาไม่หาย! มิเช่นนั้นนอกจากจี้ชวี่ปิ้งแล้ว แม้แต่แพทย์หลวงในสำนักแพทย์หลวงก็ยังจนปัญญา! ครั้งนั้นจี้ชวี่ปิ้งก็ยังเคยไปอยู่ในตระกูลเว่ยสองปี จึงบำรุงรักษาเขาจนมีเรี่ยวแรง จนถึงขั้นมีบุตรสาวบุตรชายได้ เวลานี้จี้ชวี่ปิ้งก็เพียงศึกษายาพิษชนิดหนึ่งที่พวกหรงล้วนรู้จักดี แล้วก็บอกว่ามั่นใจว่าจะรักษาพี่ใหญ่ให้หายได้?!”
“แม้ซินหย่งจะไม่นับว่าเป็นผู้ที่รู้เรื่องการแพทย์ดีเลิศ ทว่าก็รู้ว่าหากหลายปีมานี้จี้ชวี่ปิ้งคอยเฝ้าแต่พี่ใหญ่อยู่ตลอดเวลา คอยไปตรวจชีพจรอยู่เรื่อยๆ บางทีเรื่องนี้ก็อาจมีความเป็นไปได้ ทว่าจี้ชวี่ปิ้งไม่เคยไปหาพี่ใหญ่ที่เฟิ่งโจว …นับไปก็ยี่สิบกว่าปีที่ไม่ได้พบพี่ใหญ่เลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอาการป่วยของพี่ใหญ่ในหลายปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้น และยามนี้ร่างกายเป็นเช่นใดบ้าง?” เว่ยซินหย่งเอ่ยไปเรียบๆ แต่หน้าผากของเว่ยเซิ่งอี๋กลับมีเหงื่อค่อยๆ ไหลลงมา…
ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเยาะหยันของเว่ยซินหย่งว่า “จะอย่างไรจี้ชวี่ปิ้งก็เป็นคนมิใช่เทพ! หาไม่แล้วครั้งนั้นก็ต้องสามารถรักษาพี่ใหญ่จนหายแล้วมิใช่หรือ? หากยามนี้เขามาบอกว่าเขามีความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับโรคของพี่ใหญ่ ซินหย่งกลับพอจะเชื่อได้บ้าง ทว่าเวลานี้เขาบอกว่าสามารถรักษาพี่ใหญ่ให้หายขาดได้แน่นอนแล้ว? เหอะๆ …ผู้คนเชื่อถือในฉายาแพทย์อันดับหนึ่งในเขตทะเล แต่ฉายาแพทย์อันดับหนึ่งในเขตทะเลนี้มิใช่ท่านป้าสะใภ้รองเป็นคนให้เขาหรอกหรือ? ในเมื่อท่านป้าสะใภ้รองสามารถให้ฉายานี้กับเขา ทั้งยังสามารถสั่งให้เขามาอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเวลานาน แต่ห้ามไม่ให้ไปซีเหลียงเพื่อค้นหาหาญาติเพียงคนเดียวที่อาจยังมีชีวิตอยู่ได้ ซินหย่งจึงไม่ทราบว่า การสั่งให้เขาแสดงละครฉากหนึ่งนั้นจะเป็นเรื่องยากหรือ?”
เขาเอ่ยเตือนอย่างใจเย็น “บ่าวที่มาส่งของกำนัลครบเดือนแก่คุณชายหลานรองตระกูลเสิ่นก่อนหน้านี้ สองสามวันก่อนเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง ยามนี้บ่าวสองสามคนนั้นล้วนยังรออยู่ที่จวนซูและจวนเสิ่น รอให้ทั้งจดหมายตอบและของกำนัลตอบกลับจัดเตรียมพร้อมแล้วจึงค่อยออกเดินทาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา คาดว่าพี่ชายรองคงไม่อาจจับตาดูความเคลื่อนไหวของบ่าวเหล่านี้ได้ทุกคนหรอกกระมังขอรับ? ทว่า …พี่รอง ท่านเชื่อว่าในใต้หล้าจะมีเรื่องบังเอิญเพียงนี้เชียวหรือ?”
_________________________