ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 205-1 การแต่งงานของหมิ่นอีนั่ว
“ปล่อยข้าออกไปนะ! ปล่อยข้าออกไป! นางหมิ่น นางโจว นี่พวกเจ้ากล้ารึ! พวกเจ้าบังอาจนัก!” เว่ยฉางเจวียนตบประตูห้องเต็มแรง กรีดร้องประหนึ่งเสียสติ “พวกเจ้าเป็นพี่สะใภ้ของข้าก็จะขังข้าไว้ในนี้ได้รึ?! นี่พวกเจ้ากล้าทำกับเข้าเช่นนี้! เห็นข้าเป็นนักโทษรึ?! พวกเจ้านังแพศยาสองคนนี้! พวกเจ้าไม่มีวันตายดีแน่!”
ข้างนอกกำแพง นางหมิ่นและนางโจวใบหน้าเขี้ยวคล้ำ กำชับบ่าวชราที่เฝ้าประตูว่า “ดูคุณหนูเจ็ดไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น ล้วนห้ามให้นางออกมา รู้แล้วหรือไม่?”
นางหมิ่นพูดเสริมไปอย่างเย็นเฉียบว่า หากพวกเจ้าตั้งมากมายก็ยังดูคนคนเดียวไม่อยู่ เช่นนั้นเลี้ยงพวกเจ้าไว้ก็ไร้ประโยชน์แล้ว เข้าใจหรือไม่?!”
นับแต่นางตวนมู่เสียไป เรื่องต่างๆ ในจวนล้วนเป็นพวกนางสองคนกำกับดูแล ยามนี้เมื่อทั้งสองคนออกปากพร้อมกัน บรรดาบ่าวชราจึงต่างไม่กล้าชักช้า และรับรองอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยินน้อยทั้งสองโปรดวางใจ ต่อให้พวกบ่าวไม่กินไม่ดื่มไม่หลับไม่พัก ก็จะต้องดูคุณหนูเจ็ดเอาไว้ให้ดีเจ้าค่ะ!”
เมื่อกลับมาถึงในห้องของนางหมิ่น จึงให้บ่าวออกไป สีหน้าเขี้ยวคล้ำของนางหมิ่นและนางโจวก็กลับเลือนหายไป แล้วมาดื่มชาด้วยกันอย่างเอ้อระเหยลอยชาย และสนทนาถึงเรื่องนี้ว่า “สองวันมานี้หลิวรั่วเหยียไม่ได้มาอีก และไม่รู้ว่านังเด็กนี่ไปได้ยินข่าวมาจากที่ใด?”
“บางทีหลิวรั่วเหยียไม่ได้มาเอง แต่กลับส่งคนมาส่งข่าวให้แก่นาง?” นางโจวดาดเดาด้วยเสียงต่ำ “แต่น่าเสียดายที่นังเด็กนี่ก็โง่เง่านัก ถ้าคิดอยากวิ่งออกไปปานนี้ ก็ลอบออกไปเงียบๆ สิ! มาอาละวาดอยู่ในเรือนของตน กลางวันแสกๆ อยากจะปล่อยให้นางออกไปก่อเรื่องสักหน่อยก็ทำไม่ได้!”
นางหมิ่นกำลังจะพูด จู่ๆ ประตูกลับถูกผลักเปิดออก เว่ยฉางอวิ๋นที่ดวงตาเต็มไปด้วยไฟโทสะก็พุ่งตัวเข้ามา เมื่อเห็นว่าในห้องมีคู่สะใภ้สองคนกำลังก้มหัวชนกันพลางกระซิบกระซาบเสียงเบา ข้างกายไม่มีแม้แต่คนคอยรับใช้รินน้ำชา ก็อดจะสงสัยไม่ได้ จึงเอ่ยไปด้วยเสียเย็นเฉียบว่า “พวกเจ้ามาทำสิ่งใดที่นี่?”
“ท่านพี่ท่านกลับมาได้จังหวะพอดี ข้ามีเรื่องจะบอกกับท่าน” ในขณะที่นางหมิ่นกำลังตกตะลึงพลันเปลี่ยนมามีสีหน้าเป็นกังวล กล่าวว่า “น้องเจ็ดทางนั้น…เกิดเรื่องเล็กน้อยเจ้าค่ะ ข้ากำลังหารือกับน้องสะใภ้อยู่ทีเดียว!”
เว่ยฉางอวิ๋นกำลังคำนึงถึงเว่ยซินหย่งที่อยู่ในห้องหนังสือ ว่าที่เขามาครานี้ไม่รู้ว่าจะมีข่าวดีใดมาหรือไม่ เมื่อได้ยินก็รู้สึกรำคาญใจขึ้นมา กล่าวว่า “ในเมื่อเรื่องในเรือนหลังล้วนเป็นพวกเจ้าดูแล แล้วเหตุใดชอบเอามากวนข้า? หากมีเรื่องใดก็ล้วนต้องให้ข้าไปจัดการ แล้วจะมีเจ้าไว้ทำสิ่งใด?”
คำพูดนี้รุนแรงไม่เบาเลย โดยเฉพาะเมื่อมีน้องสะใภ้อยู่ด้วย เรียกได้ว่าไม่ไว้หน้าภรรยาเลยแม้สักน้อย …ทว่านับแต่นางหมิ่นและนางโจวแต่งเข้ามาก็ถูกพวกเขาทั้งบ้านดูแคลนลบหลู่ข่มเหงก็มิใช่แค่วันสองวันแล้ว ยามนี้ล้วนฟังจนชินเสียแล้ว จึงกลับไม่ได้ใส่ใจ นางหมิ่นยังคงเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิม “แต่เมื่อครู่นี้น้องเจ็ดเอาความตายมาบีบบังคับบอกว่าต้องการจะไปบ้านตระกูลหมิ่นให้จงได้เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอวิ๋นขมวดคิ้ว กล่าวว่า “บ้านตระกูลหมิ่น? นางจะไปบ้านแม่เจ้าทำสิ่งใด?”
“น้องเจ็ดอยากไปบ้านของหมิ่นอีนั่วน้องสาวร่วมตระกูลของข้าเจ้าค่ะ มิใช่บ้านแม่ข้า” นางหมิ่นกำผ้าเช็ดหน้าแน่น พลางเอ่ยอย่างลำบากใจ “หากนางเบื่อที่จะอยู่แต่ในเรือน ก็นัดเวลากับน้องอีนั่วแล้วไปพบกันข้างนอกสักหน่อยก็ยังแล้วไป แต่นางจะต้องไปที่บ้านของอีนั่วให้จงได้! ยามนี้นางยังสวมชุดไว้ทุกข์อยู่ แม้จะบอกว่าน้องอีนั่วสนิทสนมกับนางยิ่ง และไม่ได้สนใจเรื่องนี้ จึงได้มาเยี่ยมนางอยู่เรื่อยๆ แต่คนในบ้านน้องอีนั่วก็คงไม่คิดว่าเรื่องนี้ไม่เป็นข้อห้าม …ประเด็นหลักก็คือนางคิดจะไปหาน้องอีนั่วเพื่อทวงถามความผิด ข่าวดีของน้องอีนั่วเพิ่งจะแพร่ออกมาเท่านั้น! เกรงว่ายามนี้จะมีแขกมาอวยพรมากมาย ในเวลาสำคัญเช่นนี้ แล้วข้าจะกล้าปล่อยนางออกไปได้ที่ใด? แต่พอไม่ปล่อยให้นางออกไป ยามนี้น้องเจ็ดจึงกำลังอาละวาดหนัก เมื่อครู่นี้ท่านพี่ท่านกำลังหารือกับท่านพ่อและน้องรองอยู่ทางด้านหน้า ข้าไม่กล้าไปรบกวน ทั้งเกรงว่าหากเรื่องแพร่ออกไปก็จะไม่งาม จึงได้ให้บ่าวออกไป แล้วเชิญน้องสะใภ้รองมาหารือด้วยกันที่นี่อย่างไรเล่าเจ้าคะ!”
“นางจะไปหาลูกผู้น้องหมิ่น?” เว่ยฉางอวิ๋นขมวดคิ้วหนแล้วหนเล่าพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย “เหตุใดต้องไปทวงถามความผิดกับลูกผู้น้องบ้านหมิ่น? ระยะนี้ ลูกผู้น้องหมิ่นก็มาหานางหลายครั้ง หรือทั้งสองคนทะเลาะกันแล้ว?”
นางหมิ่น กล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ข้าและน้องสะใภ้รองช่วยกันถามหลายคำ กลับมิใช่เรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน ทว่าเป็นน้องเจ็ดนางรู้ว่าน้องอีนั่วหมั้นหมายแล้ว และด้วยเรื่องแต่งงานนี้นางจึงจะไปทวงถามความผิดกับน้องอีนั่ว จึงไม่กล้าปล่อยนางไป …เวลานี้ทั้งบ้านของท่านอาจะต้องกำลังตระเตรียมงานแต่งให้แก่น้องอีนั่วอยู่อย่างดีอกดีใจ! นางจะไปอาละวาดเช่นนี้ …ช่าง….”
หลายวันมานี้ เริ่มแรกเว่ยฉางอวิ๋นก็กำลังกังวลเรื่องการมาของเว่ยซินหย่ง จากนั้นก็ถูกข่าวเรื่องจี้ชวี่ปิ้งบอกว่าสามารถรักษาเว่ยเจิ้งหงให้หายได้ทำให้กระทบกระเทือนใจจนแทบจะสิ้นหวัง แล้วจะมีเวลาใดไปใส่ใจเรื่องการแต่งงานของญาติที่จะไกลก็ไม่ไกลจะใกล้ก็ไม่ใกล้? แม้ว่าหมิ่นจือเสียจะเป็นบุตรเขยของตระกูลตวนมู่ ทว่ายามนี้ตวนมู่สิ่งกำลังเก็บตัว แม้แต่บุตรหลานในตระกูลตนเองก็ยังไม่อาจไปหาไกลเกินไป เรื่องจะไปดูแลพวกบุตรเขยก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ตำแหน่งขุนนางของหมิ่นจือเสียจะว่าต่ำก็ไม่ต่ำ ทว่าก็ไม่ถึงกับมีอำนาจมากมายอยู่ในมือ ทั้งเขาก็ยังไม่ทำตัวโดดเด่น ฉะนั้นเว่ยฉางอวิ๋นจึงไม่ใคร่ได้สนใจน้าเขยผู้นี้นัก ยามนี้ได้ยินว่าหมิ่นอีนั่วหมั้นหมายแล้ว และเว่ยฉางเจวียนต้องการจะไปทวงถามความผิดกับนางด้วยเหตุนี้ พลันคิดขึ้นมาว่า หรือว่าคนที่หมั้นหมายกับหมิ่นอีนั่วก็เป็นคนที่เว่ยฉางเจวียนแอบหมายตาไว้เช่นกัน?
เมื่อเขาคิดถึงตรงนี้ก็อดจะชิงชังที่น้องสาวคนเล็กเลอะเลือนไม่ได้ ต่อให้เดิมทีคนผู้นี้เป็นคนที่เว่ยฉางเจวียนหมายตาไว้ แต่ในเมื่อเวลานี้หมิ่นอีนั่วก็หมั่นหมายกับเขาแล้ว หมั้นก็หมั้นกันแล้ว ต่อให้เว่ยฉางเจวียนจะอาละวาดอีกเพียงใด นอกจากจะทำให้ตนเองขายหน้าแล้วยังจะมีความหมายใดอีก? ยิ่งไม่บอกว่าเวลานี้เว่ยฉางเจวียนกำลังไว้ทุกข์อยู่ด้วย! ในช่วงที่กำลังไว้ทุกข์กลับวิ่งรี่ออกไปแย่งสามีของลูกผู้พี่ …ต่อให้ต้องการจะเพิ่มความลำบากให้ทางเฟิ่งโจวก็ไม่ได้ทำเช่นนี้!
เดิมทีเว่ยฉางอวิ๋นก็คิดว่าอนาคตของบ้านตนน่ากลัดกลุ้มอยู่แล้ว ยามนี้น้องสาวคนเล็กยังจะมาก่อเรื่องเช่นนี้อีก พลันรู้สึกรำคาญใจเสียอย่างยิ่ง จึงว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าทำถูกต้องนัก ยามนี้บ้านเราล้วนกำลังไว้ทุกข์ แล้วจะออกไปวิ่งไปนั่นมานี่ข้างนอกได้ที่ใด? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าในเมื่อบ้านท่านอาเขยหมิ่นเพิ่งจะมีเรื่องมงคล แม้บ้านเราจะออกทุกข์แล้วก็ไม่ควรไปรบกวนอยู่ดี”
นางหมิ่นไม่คิดว่าสามีกลับไม่ถามไถ่ถึงสาเหตุก็พูดเช่นนี้แล้ว นางนิ่งอึ้งไปสักพักจึงบอกว่า “ท่านพี่กล่าวถูกต้องแล้ว เพียงแต่น้องเจ็ดอาละวาดหนักหนานัก เมื่อครู่นี้พวกเราพาคนหลายคนไปเตือนนาง ยังแทบจะรั้งนางไว้ไม่ได้ ยามนี้จึงจำต้องขังนางเอาไว้ในเรือนแล้วให้พวกบ่าวชราคอยดูไว้ แล้วน้องเจ็ดก็ทุบประตูกรีดร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย …ข้า …ข้าก็ไม่ทราบว่าควรทำเช่นใดแล้ว?”
“ดูนางเอาไว้ให้ดี หากอาละวาดรุนแรงนัก ก็หาของอุดปากแล้วขังไว้ในห้อง!” เว่ยฉางอวิ๋นคาดเดาเอาเอง นึกว่าเว่ยฉางเจวียนอิจฉาที่หมิ่นอีนั่วไปหมั้นหมายกับชายที่นางชอบ จึงได้โวยวายต้องการจะไปทวงถามความผิดกับหมิ่นอีนั่ว ดังนั้นแล้วตอนที่นางร้องตะโกนก็ไม่แน่ว่าอาจจะพูดเรื่องนี้ออกมา …หากเรื่องนี้แพร่ออกไป แล้ววันหน้าคนตระกูลเว่ยจะออกจากบ้านได้อย่างไร? จึงสั่งความไปโดยไม่ทันคิดมากว่า “ให้บ่าวคนสนิทดูนางไว้ให้ดี ห้ามผู้ใดไปวิจารณ์ส่งเดช! บอกพวกบ่าวที่ได้ยินนางพูดจาส่งเดชว่า หากมีผู้ใดปากมาก จะถูกตีตายทั้งครัวให้หมด!”
……………………………………