ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 206-2 ตวนมู่รั่วเหมย
แม้เป็นเพราะหมิ่นจือเสียได้รับบุญคุณจากตระกูลฝั่งภรรยาจึงยอมให้ภรรยามาโดยตลอด แต่เวลานี้ถูกภรรยาตำหนิหนแล้วหนเล่าต่อหน้าบุตรสาว เขาจึงเริ่มขุ่นเคืองขึ้นมาแล้ว เอ่ยเสียเย็นชาไปว่า “หากเจ้าคิดว่าการที่ลูกเราอยู่ห่างจากคุณหนูเจ็ดบ้านเว่ยไว้สักหน่อยเป็นการก้มหัวให้คุณหนูสามบ้านเว่ย และนับว่าบุตรสาวบ้านหมิ่นถูกรังแก เช่นนั้นเจ้าก็สอนให้ลูกเจ้าไปสนิทสนมกับคุณหนูเจ็ดบ้านเว่ยให้มากๆ เข้าไว้เถิด …วิชาแพทย์ของจี้ชวี่ปิ้งสูงส่งหนักหนา เวลานี้เว่ยเจิ้งหงก็มีหวังว่าจะรักษาหาย หากไม่เอ่ยถึงเว่ยซินหย่งที่ยามนี้กำลังมีชื่อเสียงโจษจันไปทั่วเมืองหลวง เวลานี้บ้านสองตระกูลเว่ยก็กำลังเดินมาสุดทางแล้ว …ปกติแล้วบ้านเราก็ไม่ได้นับว่าใกล้ชิดกับพวกเขานัก ยามนี้ด้วยอยากขัดคำข้าเพราะเรื่องไร้แก่นสารเช่นนี้ ก็จะต้องใกล้ชิดกับพวกเขาต่อไปให้จงได้ ช่างเป็น…ความคิดเห็นของสตรีจริงๆ!”
ตวนมู่รั่วเหมยถือดีว่าตระกูลตนสูงกว่า แต่ไรมาจึงค่อนข้างเพิกเฉยต่อสามี ทว่าเวลานี้สามีโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางเองจึงไม่กล้าเพิกเฉยต่อเขาอีก รีบเอ่ยไปด้วยเสียงอ่อนลงว่า “ข้าก็ไม่ได้บอกให้ลูกต้องไปสนิทชิดเชื้อกับฝั่งของเว่ยเซิ่งอี๋ต่อไปนี่ ข้า…”
แต่หมิ่นจือเสียคิดว่าตนเองเสียหน้าต่อหน้าบุตรสาวหนแล้วหนเล่า รู้สึกอึดอัดรำคาญในใจ และไม่มีแก่ใจจะฟังคำแก้ต่างของนางแล้ว จึงลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อ แค่นเสียงเอ่ยว่า “ข้ายังมีกิจ จะไปห้องหนังสือก่อนแล้ว พวกเจ้าแม่ลูกสนทนากันไปเถิด!”
หมิ่นอีนั่วรีบลุกขึ้นดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ กล่าวว่า “ท่านพ่อโปรดระงับโทสะเจ้าค่ะ วันนี้นานๆ ทีจะได้มีวันหยุด ไยต้องตรากตรำเช่นนี้? มิสู้…”
ทว่าในเมื่อหมิ่นจือเสียหมดอารมณ์แล้ว ต่อให้บุตรสาวออกหน้าขอให้เขาอยู่ต่อ เขาก็ยังสะบัดแขนเสื้อจากไปอยู่ดี
เหลือไว้เพียงตวนมู่รั่วเหมย ยามนางมองบุตรสาวจึงอดวางตัวไม่ถูกไม่ได้ สักพักจากนั้นจึงบอกว่า “ที่ท่านพ่อเจ้าว่าก็มีเหตุผล เพียงแต่ข้าไม่ชอบที่เขาจะให้เจ้าออกห่างจากเว่ยฉางเจวียนเพียงเพราะเกรงกลัวเว่ยฉางอิ๋ง เพียงแต่เจ้าเด็กเว่ยฉางเจวียนผู้นี้ไม่ฉลาด และไม่มีค่าใดให้ผูกมิตรด้วย อยู่ใกล้ชิดกับนางไปก็ไม่มีผลดีอันใด กลับกันอาจส่งผลต่อญาติฝั่งบ้านสามีด้วย …เขาบอกมาเช่นนี้มิได้หรือ? หากว่าตามที่เขาพูด ก็ราวกับว่าบ้านเราล้วนกลัวเว่ยฉางอิ๋งเช่นนั้น! นี่มันเชิดชูผู้อื่น ดูแคลนตนเองชัดๆ!”
หมิ่นอีนั่วยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “บางทีท่านพ่ออาจหมายความดังนี้นะเจ้าคะ เพียงแต่ท่านพอไม่ใคร่ชอบพูดมาแต่ไร จึงอ้างเอาฮูหยินเว่ยมาพูดเจ้าค่ะ”
ตวนมู่รั่วเหมยกล่าวว่า “เฮ่อ ไม่เอ่ยถึงเขาแล้ว …สรุปก็คือ ดีที่ยามนี้เว่ยฉางเจวียนยังคงไว้ทุกข์อยู่ และออกไปไหนไม่ได้ อาศัยช่วงเวลานี้ เจ้าก็ค่อยๆ ตัดสัมพันธ์กับนางเสียเถิด” แล้วกำชับว่า “เจ้าอย่าไปที่จวนเว่ยอีกแล้ว ยามนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน อย่าให้ความอับโชคของที่นั่นมาขับไล่สิริมงคลบนตัวเจ้า!”
“ความจริงแล้วน้องเว่ยเจ็ดก็มิได้ไม่ดีดังที่ท่านพ่อว่านะเจ้าคะ นางก็เพียงไร้เดียงสาเกินไปสักหน่อย” นับว่าหมิ่นอีนั่วคบหากับเว่ยฉางเจวียนมาแต่เล็กและเติบโตมาด้วยกัน แม้รู้ว่าบิดามารดาสนับสนุนให้ตนตัดความสัมพันธ์กับสหายสนิทผู้นี้ แต่นางก็ยังรู้สึกไม่ยอมใจ พลางเอ่ยไปอย่างอ้อมค้อมว่า “อย่างไรก็ตาม บิดาของนางก็ต่อสู้ในเมืองหลวงมาเพียงลำพังเกือบยี่สิบปี ต่อให้ไม่มีความดีก็ยังมีความชอบ ทว่า แม่เฒ่าซ่งแห่งตระกูลเว่ยกลับพยายามกดขี่พวกเขาสุดกำลังเพราะบ้านของพวกเขามิใช่ลูกแท้ๆ ของนาง ก็มิน่าเลาที่น้องเว่ยเจ็ดจะชิงชังแม่เฒ่าซ่ง และพลอยไม่ชอบ ลูกผู้พี่ไปด้วย จะว่าไปแล้ว…”
“เจ้าห้ามพูดคำเช่นนี้อีกได้แล้ว!” ตวนมู่รั่วเหมยได้ยินคำคิ้วก็พลันขมวดเข้าแล้วเอ่ยไป “นี่เป็นเรื่องของตระกูลเว่ย เกี่ยวอันใดกับเรา? เพราะเจ้าสนิทสนมกับเว่ยฉางเจวียนจึงรู้สึกว่านางถูกข่มเหง แต่เจ้าลองคิดถึงแม่เฒ่าซ่งดูบ้างหรือไม่? เดิมทีนางเป็นคุณหนูใหญ่แห่งเจียงหนานถัง ทว่าเพราะบิดาหลงใหลในความงามของอนุที่มีหน้าตาคล้ายมารดาที่เสียไปของนาง เป็นถึงคุณหนูใหญ่บุตรภรรยาเอกแท้ๆ แต่กลับต้องถูกอนุและน้องสาวบุตรอนุข่มเหงมาไม่น้อย! แล้วภายหลังเพราะไม่มีพี่น้องที่เป็นชาย จึงเป็นท่านอาในตระกูลรับตำแหน่งประมุขตระกูลไป เมื่อถึงวัยต้องออกเรือนก็ให้นางแต่งกับบุตรชายจากอนุของตระกูลเว่ยไปส่งๆ! ครั้งนางยังต้องอยู่ในเงื้อมมือของฮูหยินท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่าก็ต้องทนกล้ำกลืนมาไม่น้อยเลย!”
“ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้ยืนหยัดฝ่าลมฝ่าฝนกับเว่ยฮ่วนมาหลายสิบปี บุตรธิดาแท้ๆ ก็ล้วนตายไปแต่เล็กเหลือเพียงบุตรชายหนึ่งบุตรสาวหนึ่งที่เติบโตและภายหลังได้มีทายาท ในเมื่อนางเองก็มีบุตรแท้ๆ หลานแท้ๆ แล้วเวลานี้กลับต้องเห็นรุ่ยอวี่ถังตกอยู่ในมือผู้อื่น …หากเป็นเจ้าที่ต้องทุ่มเทกายใจมากว่าครึ่งชีวิตแต่กลับเป็นการทำเพื่อให้ผู้อื่นมาเสวยสุข แล้วเจ้าจะยินยอมหรือไม่?” ตวนมู่รั่วเหมยเสียงเบาลง กล่าวว่า “ยามนี้ท่านพ่อเจ้าไม่อยู่ ข้าจะบอกเรื่องที่ที่มีเพียงพวกเราแม่ลูกจึงจะพูดได้ให้เจ้าฟัง ข้าเองก็มีเจ้าเป็นบุตรสาวคนเดียว จึงได้เลี้ยงดูพี่ชายบุตรอนุของเจ้าเอาไว้และตั้งใจสอนสั่ง หากเจ้ามีพี่หรือน้องชายแท้ๆ หรือว่าเจ้าเองเป็นชาย …เจ้าว่าข้าจะไม่เอาอย่างแม่เฒ่าซ่งหรือ? คน…ล้วนเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น!”
หมิ่นอีนั่วเอ่ยอย่างกระวนกระวายใจว่า “ท่านแม่เจ้าคะ เรื่องเหล่านี้ลูกเองก็เข้าใจ นิสัยคนต่างกัน แต่กลับมีหลายเรื่องเหลือเกินที่ไม่อาจเลือกได้ทั้งสองฝั่ง จึงรู้สึกขัดแย้งในใจ ลูกก็เพียงทนตัดความสัมพันธ์กับน้องเว่ยเจ็ดทั้งเช่นนี้ไม่ได้ เวลานี้ทางนั้นเป็นพี่สะใภ้ของนางปกครองเรือนและปฏิบัติกับนางไม่ดีเสียยิ่งนัก ลูกฟังนางบอกว่ามีเพียงในยามที่ลูกไปหา พวกพี่สะใภ้นางจึงค่อยเอาของเล็กน้อยไปให้นาง ลูกคิดว่าถ้าลูกไม่ไปแล้ว ชีวิตของนางก็จะต้องลำบากนักเจ้าค่ะ”
“นั่นก็เพราะนางรนหาที่เอง” หากนับไปแล้ว ตวนมู่รั่วเหมยก็เป็นน้าของเว่ยฉางเจวียน ทว่าด้วยยามนี้นางกลัวว่าเว่ยฉางเจวียนจะเป็นตัวถ่วงอนาคตของบุตรสาว จึงพยายามบอกว่าเว่ยฉางเจวียนไม่ดี “ก่อนนี้ผู้ใดใช้ให้นางอาศัยว่ามีมารดาอยู่ แล้วเอาแต่ข่มเหงพี่สะใภ้ทั้งสองคนของนางเล่า? นางไม่ไว้หน้าผู้อื่น ยามนี้ถึงคราวผู้อื่นเป็นนายแล้ว แล้วถือดีอันใดต้องไว้หน้านาง?”
หมิ่นอีนั่วทอดถอนใจ “นางยังเด็กไม่รู้ความ คิดแต่อยากจะช่วยบิดามารดา เพราะอย่างไรนางก็ไม่เคยพบท่านปู่ท่านย่าของนางมาก่อน ความผูกพันกับทางเฟิ่งโจวจะเทียบกับบิดามารดาและพี่ชายพี่สาวได้ที่ใดเจ้าคะ? ลูกเตือนนางหลายครั้งหลายคราว่าให้ปรองดองกับคุณหนูสามบ้านเว่ย จนใจเหลือที่นางไม่ยอมฟังเลย …และเป็นเพราะถูกตามใจจนเคยตัวแล้ว วันหน้ายังไม่รู้ว่านางจะทำเช่นใดจึงจะดี?”
ตวนมู่รั่วเหมยยิ้มหยัน กล่าวว่า “ไยเจ้าต้องไปสนนาง? นางก็ใช่ว่าตัวคนเดียวและต้องคอยแต่ให้เจ้าประคองนาง นางยังมีบิดาอยู่ในเรือน พี่ชายพี่สาวก็ยังมีชีวิตอยู่ หากคนเหล่านี้ไม่ไปสอนสั่งนาง แล้วไยเจ้าต้องเสียแรงไปห่วงแทนด้วย? ไม่แน่ว่าเว่ยเซิ่งอี๋พ่อลูกอาจไม่นึกขอบใจเจ้า แต่กลับรู้สึกว่าเจ้ายุ่งไม่เข้าเรื่องเสียอีก? บุตรสาวของบ้านพวกเขา ต้องให้เจ้ามาชี้ไม้ชี้มือหรือ? หากคนเหล่านี้สอนสั่งนางไม่ได้ แล้วเจ้าไปพูดกับนางจะได้ผลรึ? ญาติพี่น้องห่างๆ เช่นนี้บ้านเรามีมากมายนัก เจ้าหวังดีเช่นนี้ แล้วจะดูแลได้หมดหรือ?!”
หมิ่นอีนั่วสู้เสียงแข็งขันของมารดาไม่ไหว จึงได้แต่บอกว่า “เช่นนี้ ช่วงนี้ลูกก็จะไม่ไปทางนั้นก่อน ระ…รอออกเรือนแล้วค่อยว่ากันเถิด” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องแต่งงาน สองแก้มของหมิ่นอีนั่วก็อดจะแดงระเรื่อขึ้นมาไม่ได้ …หวนนึกถึงครั้งนางแอบมองหน้าตากริยาของว่าที่สามีจากหลังฉากกันลม และน้ำเสียงอบอุ่นสุภาพของเขา นางก็ต้องขบริมฝีปากเอาไว้จึงข่มความเขินอายลงไปได้ แล้วตั้งสติฟังการอบรมของมารดาต่อไป…
_____________________________