ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 207 ถอดถอนจี้อ๋อง
ณ เรือนจินถง จวนราชครู
เว่ยฉางอิ๋งฟังแม่บ้านมารายงานไปพลาง ก็กลับเสียสมาธินับวันเวลาไปพลาง “สองวันก่อนพวกน้องสามีคงจะคุ้มกันท่านหมอเทวดาจี้ไปถึงเฟิ่งโจวแล้วกระมัง? ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดอาการป่วยของท่านพ่อจะดีขึ้น? ครานี้ไม่รู้ว่าท่านปู่และท่านย่าจะดีใจกันเพียงใดนะ…อื่ม ยังมีฉางเฟิงด้วย”
จวบจนแม่บ้านจวนจะรายงานเสร็จแล้ว นางจึงกลับมาตั้งใจฟังได้สองประโยค จับตอนต้นมาชนตอนปลายแล้วคาดเราเรื่องทั้งหมด และสั่งความออกไป ให้แม่บ้านผู้นั้นออกไป แล้วคนต่อมาก็เข้ามอบสมุดบัญชีให้นาง
นางง่วนอยู่เช่นนี้ถึงเที่ยง …ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งคุ้นเคยกับชีวิตที่ต้องยุ่งวุ่นวายเช่นนี้แล้ว
นางทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว และเข้าไปงีบพักตามปกติ เพียงแต่วันนี้ค่อนข้างนอนไม่หลับ จึงเรียกให้จูหลานเข้ามานวดไหล่ให้ ขณะจูหลานกำลังนวดไหล่ให้ เว่ยฉางอิ๋งก็ค่อยๆ ดื่มน้ำชา และย้อนนึกว่าเรื่องที่จัดการไปก่อนเที่ยงนั้นมีเรื่องใดขาดตกบกพร่องหรือไม่ เมื่อย้อนคิดรอบหนึ่งและไม่พบว่ามีเรื่องใดไม่ถูกต้อง จึงแอบโล่งใจ แล้วกลับรู้สึกเสียดายว่าตอนเช้าไม่มีงานใดยุ่งยาก จึงไม่อาจอ้างเรื่องนี้ไปรายงานแม่สามีที่เรือนหลักได้ …จะได้ถือโอกาสไปดูเสิ่นซูกวงสักหน่อยด้วย
จำได้ว่าคราวก่อนได้เห็นว่าบุตรชายนับวันจะชอบหัวเราะมากขึ้นแล้ว เพียงได้ฟังเสียงหัวเราะของเขาก็ทำให้สบายใจขึ้นมาได้ เด็กเล็กๆ ในยามนี้เปลี่ยนไปทุกๆ วัน ยิ่งโตตาก็ยิ่งสุกใส ตัวสีชมพูระเรื่อน่ารักจนพูดไม่ถูก …คิดถึงบุตรชายอยู่ดังนี้ ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวชาในถ้วยก็พร่องไปจนเห็นก้นถ้วย เว่ยฉางอิ๋งวางถ้วยชาลง กำลังจะบอกให้จูหลานหยุดมือ ข้างนอกกลับมีเสียงนางว่านดังขึ้น กำลังถามสาวใช้ตัวน้อยที่เฝ้าอยู่บนระเบียงทางเดินว่า “ฮูหยินน้อยตื่นแล้วหรือยัง?”
นางว่านเป็นคนซื่อๆ โดยทั่วไปแล้วคนซื่อล้วนไม่ค่อยปกปิดอารมณ์ความรู้สึก เว่ยฉางอิ๋งจึงฟังออกในทันใดว่าน้ำเสียงของนางมีความลนลานที่ปกปิดไว้ไม่ได้ จึงอดจะสงสัยอยู่ในใจไม่ได รีบร้องบอกไปว่า “เป็นท่านอาว่านมาหรือ? เข้ามาเถิด ข้ายังไม่นอนหรอก!”
“ฮูหยินน้อยยังไม่นอน? เช่นนั้นก็ดีจริงๆ” นางว่านได้ยินคำก็เร่งเดินเข้าประตูมา เอียงหัวลอดผ่านม่านมุกและเข้ามาในห้อง ไม่รอให้เว่ยฉางอิ๋งไถ่ถามนางก็รีบรายงานว่า “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินเสียงนางก่อนหน้านี้ก็รู้แล้วว่าต้องเกิดเรื่อง ใจพลันเต้นขึ้นมา แอบภาวนาว่าอย่าเป็นเฟิ่งโจวหรือซีเหลียงมีข่าวร้ายใดเลย แต่ใบหน้ากลับนิ่งสงบและสะกดอารมณ์ถามไปว่า “มีเรื่องใหญ่ใด?”
ดีที่แม้เรื่องที่นางว่านบอกจะเป็นข่าวร้าย แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเว่ยฉางอิ๋งมากนัก “ท่านจี้อ๋องถูกฮ่องเต้ตำหนิว่าอกตัญญูไร้คุณธรรม และถอดถอนจากตำแหน่งอ๋องมาเป็นสามัญชนแล้วเจ้าค่ะ!”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?!” เว่ยฉางอิ๋งโล่งใจไปก่อน จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ก่อนหน้านี้ พระมารดาจี้อ๋องสิ้นพระชนม์ จี้อ๋องก็ทรงเสียพระทัยกับพระมารดาจี้อ๋องยิ่งนัก ชื่อเสียงเรื่องความกตัญญูก็มิใช่ว่าเป็นที่รู้กันไปทั่วทุกหัวระแหงหรอกหรือ? เหตุใดจึงถูกฮ่องเต้ตำหนิว่าอกตัญญูไร้คุณธรรมเล่า?”
สืบเนื่องด้วยพระมารดาจี้อ๋องสิ้นพระชนม์ จี้อ๋องจึงอยู่ในเมืองหลวงต่อไป ซึ่งเงื่อนงำที่อยู่ภายในเรื่องนี้เว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้ดี ท่านผู้นี้ก็มิใช่คนโง่ แม้แต่ชีวิตมารดาก็ยังสละเพื่อเขาแล้ว ต่อให้เป็นความกตัญญูธรรมดาทั่วไป ยามนี้เขาก็ควรต้องแสดงออกอย่างสุดกำลัง …ยามนี้เพิ่งต้นเดือนเก้าเท่านั้น เว่ยฉางอิ๋งก็เพิ่งจะออกทุกข์ของอาสะใภ้ ส่วนกำหนดออกทุกข์ของจี้อ๋องนั้นยังคงอีกนาน และไม่ใช่เป็นเพราะว่าจวนถึงกำหนดออกทุกข์จะได้รู้สึกสบายอกสบายใจ แล้วจะเลินเล่อเช่นนี้ได้อย่างไร?
นางว่านเอ่ยด้วยสีหน้าลนลานว่า “ข้าน้อยได้ยินมาเล็กน้อย คล้ายว่ากำไลแสงตะวันไอจันทร์ที่จี้อ๋องถวายแก่ฮ่องเต้ เมื่อครั้งจี้อ๋องมาเมืองหลวงปีก่อนเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นเจ้าค่ะ!”
“เรื่องผิดพลาดนี้ก็เกิดขึ้นอย่างประจวบเหมาะเสียจริง” บุตรเขยของตระกูลเสิ่นเกิดเรื่อง คนเป็นสะใภ้ย่อมต้องวางกิจต่างๆ ในมือไปปลอบโยนแม่สามีที่เรือนหลัก ทว่าท่าทีของฮูหยินซูกลับสงบนิ่งนัก นางอุ้มเสิ่นซูกวงเอาไว้กับตัก ปล่อยให้เขาดึงพู่ที่สาบเสื้อของตนมาเล่นด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วเล่ารายละเอียดแก่เหล่าสะใภ้อย่างราบเรียบ “กำไลแสงตะวันไอจันทร์เป็นของบรรณาการจากเมืองเซียนหลัว ทำจากหินแสงอาทิตย์ที่ผลิตในเซียนหลัว กำไลนี้เมื่อมองดูแล้วประหนึ่งเป็นหยกหลากสี ใต้แสงจันทร์ก็จะมีไอหมอกจางๆ กระจายตัวออกมาได้ แม้จะอยู่ในเมืองเซียนหลัวเองก็ยังเป็นของที่หาได้ยากยิ่ง และเป็นของที่ราชสำนักทะนุถนอมยิ่งเช่นกัน …จี้อ๋องส่งคนไปควานหามาหลายปียังรวบรวมมาได้ทั้งหมดเพียงสี่คู่เท่านั้น ปีก่อนจึงถวายแด่ฮ่องเต้ไปสองคู่”
นางหลิวจึงเอ่ยอย่างเป็นห่วงว่า “เช่นนั้น กำไลแสงตะวันไอจันทร์สองคู่นั้นเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ?”
“ฮ่องเต้พบว่ากำไลแสงตะวันไอจันทร์สองคู่ที่จี้อ๋องถวายให้ด้อยกว่าอีกสองคู่ที่จี้อ๋องเก็บเอาไว้เองมากมายนัก” ฮูหยินซูแย้มยิ้มกล่าวว่า “นั่นก็ยังพอทำเนา ประเด็นหลักอยู่ที่สาเหตุที่ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้ ก็ด้วยทรงต้องการจะกำนัลกำไลแสงตะวันไอจันทร์สองคู่นี้ให้แก่สนมซูเฟยแซ่เมี่ยว และสนมเสี่ยวอี๋แซ่จง ปรากฏว่ากำไลแสงตะวันไอจันทร์ที่สนมจงได้รับมากลับมีรอยร้าวในที่มองไม่ใคร่ถนัดตานัก! รอยร้าวนี้หากไปอยู่ที่ตำแหน่งอื่นก็ยังแล้วไป แต่กลับมาอยู่บนส่วนหัวและส่วนลำคอของรูปสลักมังกร … สนมจงไม่กล้าชักช้า รีบรายงานฮ่องเต้อย่างลนลาน ฮ่องเต้จึงสั่งให้คนไปเอากำไลแสงตะวันไอจันทร์อีกสองคู่ที่จวนจี้อ๋องมาเทียบกันดู …แล้วเรื่องก็เป็นดังนี้แล้ว”
พวกสะใภ้หันมองหน้ากัน ล้วนไม่รู้ว่าจะพูดเช่นใดดี กำไลแสงตะวันไอจันทร์ที่จี้อ๋องเก็บไว้เองดีกว่ากำไลแสงตะวันไอจันทร์ที่ถวายแด่ฮ่องเต้ ประเด็นนี้แม้อาจเป็นความจริงแต่ก็ถวายไปให้ตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว เหตุใดจึงเพิ่งหยิบยกขึ้นมาพูด? หรืออาจพูดได้ว่า เป็นเพราะเว่ยเจิ้งหงจะหายดีแล้ว ตระกูลเสิ่นจึงไม่เสียดายที่จะส่งทายาทในสายหลักทั้งสามคนไปฝากตัวเป็นศิษย์ที่เฟิ่งโจว เพื่อรับประกันว่าจี้ชวี่ปิ้งจะไปถึงได้อย่างปลอดภัย …ทำให้มาพบเรื่องของกำไลแสงตะวันไอจันทร์ในเวลาที่ไม่ช้าไม่เร็วเช่นนี้?
ยิ่งไปกว่านั้นของที่นำมาถวายย่อมต้องผ่านมือคนมากมายตรวจสอบหนแล้วหนเล่าว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดจึงค่อยส่งขึ้นไป คนเฝ้าพระคลังหลวงยิ่งต้องตรวจสอบไปมาว่าไม่มีข้อผิดพลาดแล้วจึงจะจดบันทึกและเก็บเขาในพระคลัง …ต่อให้จี้อ๋องโง่เง่าอีกสักเท่าใด ก็จะไม่เอากำไลแสงตะวันไอจันทร์ที่รูปมังกรสลักมีร้อยร้าวที่หัวและที่คอถวายแก่ฮ่องเต้ …ยังมิสู้นำอีกคู่ที่ไร้ที่ติถวายไปเสียดีกว่า!
แม้แต่สนมจงก็ยังมองเห็นแล้วคนดูแลท้องพระคลังย่อมไม่มีทางมองไม่เห็น…
นี่เห็นชัดว่าฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าเดิมทีตระกูลเสิ่นก็มีอิทธิพลยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ยามนี้ตระกูลฝั่งดองก็กำลังจะรุ่งโรจน์ขึ้นมาอีก เกรงว่าเมื่อตระกูลเสิ่นและเว่ยร่วมมือกันก็จะมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ จึงได้ลงมือตัดกำลังไปก่อน อย่างไรเสียวัตถุประสงค์ที่จี้อ๋องอยู่ในเมืองหลวงต่อนั้น มีหรือฮ่องเต้จะไม่ทรงทราบอยู่ในอก? ที่เคยตกปากรับคำไปก่อนหน้านี้ก็เพราะคำนึงถึงว่า …พระชายาองค์รัชทายาทก็มิใช่แซ่หลิวหรอกหรือ? ที่บอกว่าจี้อ๋องกตัญญูหนักหนานั้นล้วนเป็นคำพูดในฉากหน้าเท่านั้น หากว่ากันตามจริงแล้วก็ยังคงเป็นกลเม็ดถ่วงสมดุลระหว่างฮ่องเต้และท่านอ๋อง
ทว่าเดิมทีอิทธิพลของตระกูลเสิ่นก็ไม่ได้อ่อนด้อย ตระกูลเว่ยซึ่งเป็นบ้านฝั่งดองของเขาก็กำลังจะรุ่งโรจน์ขึ้นมา ฮ่องเต้กลับต้องมากังวลอีกว่าเพียงไม่ทันระวังชั่วครู่ชั่วยามตระกูลเสิ่นก็จะสนับสนุนจี้อ๋องให้ขึ้นครองตำแหน่งได้แล้ว
ดังนั้น จึงไม่แม้จะรอว่าที่แท้แล้วเว่ยเจิ้งหงจะหายขาดได้จริงหรือไม่ ก็ถอดถอนจี้อ๋องเป็นสามัญชนในทันใด ทั้งนับเป็นการตักเตือนตระกูลเสิ่นและเว่ย และป้องกันเรื่องไม่คาดคิดไปด้วยในเวลาเดียวกัน
ยามนี้หากฮูหยินซูร้องไห้คร่ำครวญเพราะบุตรสาว คนเป็นสะใภ้ย่อมเข้าไปปลอบโยนนางได้ แต่ฮูหยินซูกลับสงบเยือกเย็นราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น หรือเรื่องนี้เกิดขึ้นในบ้านผู้อื่นเช่นนั้น สะใภ้ทั้งสามคนจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใด นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ ก็ยังเป็นนางหลิวสะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่เจ้าคะ เวลานี้น้องหญิงรอง… ยังดีอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”
ฮูหยินซูค่อยๆ ดึงพู่ที่เสิ่นซูกวงจับและจะเอาเข้าปากออกอย่างระมัดระวัง แล้วเอาลูกทับทิมที่อยู่ในจานผลไม้ข้างๆ ตัวนางให้เขาจับเล่น จากนั้นจึงบอกว่า “เมื่อจี้อ๋องถูกถอดถอน ย่อมอยู่ที่จวนอ๋องอีกไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ไปแตะต้องสินติดตัวของซิ่วเอ๋อร์ เวลานี้ก็มีเพียงเรื่องเรือนพักที่ไม่มีคนอยู่มานานปี จึงไม่อาจจัดเก็บได้พร้อมสรรพทันท่วงทีเท่านั้น ดีชั่วฮ่องเต้ก็ยังทรงเมตตา เพราะจู่ๆ พลันบันดาลโทสะขึ้นมาจึงเพียงถอดพระยศท่านอ๋องเท่านั้น …เมื่อเทียบกับความผิดในครานี้ก็นับว่าโชคดีแล้ว
น้ำเสียงของนางราบเรียบนัก เหล่าสะใภ้พากันเดาไม่ถูกว่านางกำลังเคืองโกรธแทนบุตรสาวจึงจงใจพูดประชด หรือรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตจริงๆ กันแน่?
สะใภ้รองตวนมู่เยี่ยนอวี่จึงลองเอ่ยถามไปว่า “บางทีทางพี่หญิงรองอาจขาดเหลือสิ่งใด เช่นนั้นพวกเราลองไปดูว่ามีเรื่องใดที่พอจะช่วยเหลือได้บ้างดีหรือไม่เจ้าคะ?”
ไม่คิดว่าฮูหยินซูกลับบอกว่า “ทางนั้นนางเพิ่งจะย้ายเข้าไปที่เรือนพัก คาดว่าคงกำลังยุ่งนัก หากพวกเจ้าไป กลับกันนอกจากต้องให้นางมาดูแลพวกเจาแล้ว เวลานี้ก็ยังสวมชุดไว้ทุกข์อยู่ ไม่สะดวกเสียยิ่งนัก”
“…เช่นนั้นพวกเราก็ส่งของเล็กๆ น้อยไป?” ตวนมู่เยี่ยนอวี่ถามซ้ำอีก
“ของในตลาดในเมืองหลวงแห่งนี้จะขาดเหลือสิ่งใด? หากขาดเหลือสิ่งใดพวกเขาจะไม่ส่งคนไปซื้อหามารึ?” ฮูหยินซูเอ่ยไปเรียบๆ “เอาล่ะ เรื่องนี้พวกเจ้ารู้ไว้เป็นพอแล้ว ที่เรียกพวกเจ้ามาก็เพื่อจะบอกสักคำ …เวลานี้พวกเจ้าก็ไปทำงานของตนเถิด”
เมื่อออกไปจากเรือนหลัก สะใภ้ทั้งสามคนหารือกันอีกสองสามคำ เมื่อถึงทางแยกก็แยกกันกลับเรือนของแต่ละคน ทว่าเว่ยฉางอิ๋งเดินไปอีกสองสามก้าว กลับมีสาวใช้ตัวน้อยจากในเรือนของฮูหยินซูวิ่งตามมาและเชิญนางกลับไปที่เรือนหลัก
เว่ยฉางอิ๋งไม่กล้าชักช้ารีบตามสาวใช้ตัวน้อยย้อนกลับไป …แล้วพบว่าฮูหยินซูยังคงอยู่ในโถง แต่เสิ่นซูกวงถูกอุ้มออกไปแล้ว แม้แต่เด็กเล็กๆ ที่ยังไม่รู้ประสาก็ยังไม่ให้อยู่ พวกบ่าวยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง แม้แต่แม่นมเถาก็ยังไม่อยู่ เห็นชัดว่าเวลานี้มีเรื่องใหญ่จะพูดกับนาง
“สุขภาพของบิดาเจ้ากำลังจะดีขึ้นแล้ว เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ สำหรับฉางซานกงแล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้พบเจอง่ายๆ ในตลอดหลายปีมานี้ แม้บิดาเจ้าจะร่างกายอ่อนแอ ทว่าก็มีพรสวรรค์มาแต่ไร แต่น่าเสียดายที่ร่างกายเขาไม่แข็งแรง ก่อนนี้จึงไม่อาจลุกขึ้นมาทำการใดได้ ยามนี้มีมือเทวดาของจี้ชวี่ปิ้งที่สามารถชุบชีวิตคนได้ รุ่ยอวี่ถังต้องเจริญรุ่งโรจน์เป็นแน่” เมื่อฮูหยินซูเห็นสะใภ้สามกลับมาแล้วจึงไม่ร่ำไรให้มากความ และเอ่ยตรงๆ ไปดังนั้น “เพียงแต่ฮ่องเต้ทรงเกรงกลัวพวกเราตระกูลสูงศักดิ์มาแต่ไร ด้วยบ้านฝั่งมารดาของข้าคือตระกูลซูแห่งชิงโจว พี่น้องผู้ชายของเฟิงเอ๋อร์ก็มีมากและพอมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง ก่อนนี้ฮ่องเต้จึงทรงจงใจให้จี้อ๋องไปปกครองแคว้นศักดินาที่อยู่ห่างไกล พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองของเจ้าแม้ล้วนเป็นบุตรีตระกูลสูงศักดิ์ทั้งสิ้น ทว่าประการแรกฐานะในตระกูลของพวกนางไม่ได้ถูกรักถูกเอาใจเช่นเจ้าในตระกูลเว่ย ประการที่สองความหวังที่มีต่อลี่เอ๋อร์และสือเอ๋อร์ก็ไม่มากมายเท่าที่มีต่อเฟิงเอ๋อร์ เรื่องเหล่านี้เจ้าเองก็คงเข้าใจดี”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า “ครานี้พี่เขยรองถูกถอดพระยศท่านอ๋อง จะว่าไปก็เป็นเพราะพลอยได้รับเคราะห์ไปด้วย สะใภ้…”
“เขาถูกถอดถอนตำแหน่งก็ดี” ฮูหยินซูกลับไม่ได้คิดตำหนิสะใภ้แทนบุตรสาว พลางเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ก่อนหน้านี้ท่านพ่อของพวกเจ้าก็เคยส่งคนไปเตือนเขาว่าให้กลับไปไว้ทุกข์ที่แคว้นศักดินาจี้ แต่เขาไม่ยอมฟัง …ยามนี้กลายเป็นสามัญชน หากใช้ชีวิตด้วยการอาศัยสินติดตัวของซิ่วเอ๋อร์ก็เป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง”
เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งเข้าใจว่าพ่อแม่สามีไม่ได้สนับสนุนให้บุตรเขยช่วงชิงราชบัลลังก์เพื่อบุตรสาวของตน และไม่ได้เห็นดีเห็นงามที่พระมารดาจี้อ๋องต้องเสียสละตัวเอง รวมทั้งความทะเยอทะยานของจี้อ๋องด้วย นางไตร่ตรองอยู่สักพักจึงบอกว่า “ฮ่องเต้ถอดถอนพระยศของพี่เขยรอง ความจริงแล้วเป็นเพราะเรื่องของตระกูลเสิ่นและตระกูลเว่ยสองตระกูล เมื่อครู่นี้ท่านแม่ไม่ให้พวกเราไปเยี่ยมพี่หญิงรอง สะใภ้เดาว่าคงเพราะเป็นกังวลว่าฮ่องเต้จะยิ่งทรงไม่พอพระทัย …เพียงแต่ในเมื่อฮ่องเต้ทรงมีความคิดเช่นนี้ เกรงว่าแม้พวกเราจะไม่ไปมาหาสู่พี่หญิงใหญ่เป็นการชั่วคราว ฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจวางพระทัยอยู่ดีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูกล่าวว่า “เป็นดังเหตุผลนี้ ฉะนั้นข้าจึงเรียกเจ้ามาหาเป็นการส่วนตัว” แล้วกวักมือเรียกนางเดินเข้ามาใกล้ๆ สั่งความเสียงต่ำๆ ไปว่า “ยามนี้ร่างกายของบิดาเจ้ายังไม่ทันดีขึ้น หรือต่อให้หายดีแล้ว คิดว่าด้วยเหตุที่เขานอนซมอยู่หลายปี ก็ต้องพักฟื้นอีกระยะหนึ่งจึงจะสามารถออกมารับราชการได้ แต่เวลานี้ฮ่องเต้ก็แสดงท่าทีที่แฝงนัยยะออกมาให้เห็นแล้ว แม้พวกเราตระกูลสูงศักดิ์จะถูกฮ่องเต้ข่มเอาไว้เช่นเดียวกัน ทว่าก็มิใช่ทุกตระกูลที่หวังให้รุ่ยอวี่ถังเจริญรุ่งโรจน์!”
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าแม่สามีพูดจบความแล้ว ดวงตานางก็จ้องเขม็งมาที่ตน นางจึงเม้มปากแล้ว่า “สะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ เชิญท่านแม่สั่งความเจ้าค่ะ?”
“ก่อนหน้านี้เฟิงเอ๋อร์วางแผนจัดการข่านมู่ซิวเอ่อร์ของพวกตี๋ ปรากฏว่าทำการทำเสร็จครึ่งหนึ่งล้มเหลวครึ่งหนึ่ง ด้วยเหตุผลบางประการ จนยามนี้จึงเพิ่งมารายงานเรื่องชัยชนะ” ฮูหยินซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ซึ่งแน่นอนว่ารายงานชัยชนะอย่างเป็นทางการยังคงอยู่ระหว่างเดินทางมา แต่จดหมายที่เขียนมาถึงที่บ้านก็มาถึงแต่วานนี้แล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งรอฟังประโยคต่อไปอย่างจดจ่อจนหยุดหายใจ ไม่คิดว่าฮูหยินซูพลันบอกว่า “เฟิงเอ๋อร์ ก็ได้รับบาดเจ็บ”
_____________________________