ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 22-1 ความยุ่งยากของวิชาแพทย์
“….หญิงงามทั้งหมดสิบเจ็ดคน เมื่อครู่นี้มีคนที่ไม่ยอมไปเรือนนางบำเรอและคุกเข่าลงขอร้องฮูหยินน้อยมีอยู่แปดคนเจ้าค่ะ” นางหวงชี้ไปที่สมุดรายชื่อ “จดชื่อเอาไว้ที่นี่หมดแล้ว ฮูหยินน้อยจะดูหรือไม่เจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งถามว่า “สองคนที่หน้าตางดงามที่สุดอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่?”
“คนที่งามที่สุดสามคน มีสองคนที่อยู่ในจำนวนนี้เจ้าค่ะ” นางหวงกล่าว “มีคนหนึ่งคล้ายว่าขี้กลัวนัก ถวนเยวี่ยเพียงแค่เดินเข้าไปสองก้าว นางก็ก้าวเท้าตามกลุ่มเดินออกไปแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพักจึงว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้ ก็ให้เพิ่มบ่าวชราที่เข้มงวดไปดูแลในเรือนที่พวกนางไปอยู่ยามนี้ให้ดีๆ สักหน่อย โดยเฉพาะคนหน้าตางามๆ สองคนที่คุกเข่าลง …หากไม่ยอมให้คนข่มเหงรังแกตามใจจริงๆ หน้าตางามๆ ที่สวรรค์มอบให้นี้ก็ช่างมันเถิด ไม่ได้มีความแค้นใดต่อกัน ให้นางได้มีสิทธิ์ได้ใช้ชีวิตตามใจก็ถือว่าทำบุญทำกุศลให้แก่ลูกหลาน แต่หากยังคงไม่ยอมปล่อยมือจากทางน้องชายสี่แล้วล่ะก็…”
นางหวงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยท่านโปรดวางใจ แม้เรือนนางบำเรอที่พวกนางเข้าไปอยู่ในยามนี้จะไม่ได้ต่อกำแพงให้สูงขึ้น ทว่าหมิงเพ่ยถังเผชิญกับไฟสงครามมาหลายครา ยามซ่อมแซมกำแพงในเรือนก็จะทำให้กำแพงสูงกว่าบ้านเรือนปกติมากอยู่แล้วเจ้าค่ะ แม้หญิงงามเหล่านี้จะตัวเบา ทว่าแม้คิดจะปีนกำแพงหนีก็เป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นข้าน้อยกำชับกับบ่าวชราที่คอยเฝ้าพวกนางเอาไว้แล้ว ในเมื่อพวกนางร้องขอความเมตตาให้ไม่ได้ต้องไปเป็นนางบำเรอในบ้าน ฮูหยินน้อยก็อาจให้หาคนจับคู่ให้พวกนาง หากมีพวกที่บังอาจหลอกลวงปิดบังฮูหยินน้อย ก็ให้ตีให้ตายคาที่เป็นสิ้นเรื่อง ไม่จำเป็นต้องมาขออนุญาตกับฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ …คำเหล่านี้ก็พูดให้หญิงงามพวกนั้นฟังแล้ว หากยังมีคนที่ทำผิด นั่นก็ด้วยพวกนางรนหาที่ตายเอง ไม่อาจมาโทษพวกเราได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นคนเหล่านี้ก็จัดการเช่นนี้ก่อนเถิด แล้วเลี้ยงดูพวกนางตามระเบียบของบ่าวทั่วไป” ก็เพียงแค่หญิงงามกลุ่มหนึ่งไม่ควรค่ามาใส่ใจนัก เว่ยฉางอิ๋งจึงสั่งไปอีกว่า “บอกบ่าวชราที่คอยเฝ้าพวกนางให้สอนเคล็ดทั่วไปในการเป็นภรรยาให้พวกนางสักหน่อย วันหน้าเมื่อจับคู่ให้แล้วก็อย่าได้ถูกรังเกียจแล้วจะมีชีวิตอยู่ลำบาก!”
จูเสียนที่ตัวสูงกว่าต้นปีก่อนมากหัวเราะฮิๆ พลางว่า “ข้าน้องเห็นว่านางเหล่านั้นล้วนงดงามนัก เพียงแต่ไม่เพียบพร้อมดีงามพอ คิดว่าพวกทหารเหล่านั้นยามปกติก็หาเมียไม่ใคร่ได้ แล้วจะยังมารังเกียจรังงอนอันใดเจ้าคะ?”
“เรื่องนี้ก็ไม่แน่” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางแตะที่หน้าผากนาง กล่าวว่า “เจ้าว่าชาวบ้านเรือนเล็กๆ น้อยๆ เขาแต่งเมียเอาไว้ทำสิ่งใด? เรื่องทายาทสืบสกุลย่อมเป็นเรื่องใหญ่อันดับแรก แต่ดูแลงานบ้านก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน และคนระดับนั้นก็ไม่มีบ่าวไพร่หรือจะหวังว่าเมื่อแต่งเข้าบ้านเรือนเช่นนั้นแล้วยังจะได้รับการปรนนิบัติดูแลทุกเรื่องเช่นนั้นรึ?”
จูเสวียนหัวเราะเยาะจูเสียนว่า “ดูไปแล้วหญิงงามเหล่านั้นก็งามจริงๆ แม้แต่เจ้าก็ยังเกิดใจอ่อนเห็นอกเห็นใจพวกนางขึ้นมาแล้ว?”
“เมื่อมีฮูหยินน้อยและพี่ๆ ทุกท่านคอยดูอยู่ต่อหน้า คนเหล่านั้นจะนับเป็นสิ่งใดได้?” จูเสียนเอ่ยยิ้มๆ “ก็เพียงพูดไปเท่านั้นเอง…พี่คอยจับผิดข้า น่าชังเสียจริง”
เว่ยฉางอิ๋งและนางหวงไม่สนใจพวกสาวใช้ตัวน้อยโต้เถียงกัน แล้วอาศัยวันนี้ซึ่งเป็นวันที่ว่างที่สุดในเดือนหนึ่งมาพูดธุระต่อไปว่า “คนเหล่านี้เก็บเอาไว้กำนัลให้แก่เหล่านายทัพที่กลับมาหรือจับคู่ให้กับพวกทหารที่สร้างความชอบเถิด ผู้คนเหล่านี้เฝ้าอยู่ที่ชายแดนมานานปี ได้ยินว่ามีหลายคนที่เป็นเพราะทางบ้านยากจนหรือไม่ก็เพราะการศึกทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้แต่งภรรยา ครานี้หากสร้างความชอบ ทางราชสำนักก็มีบำเหน็จให้อยู่แล้ว เมื่อให้หญิงงามเหล่านี้ไปแต่งงานด้วย ข้าก็จะให้สินติดตัวไปจำนวนหนึ่ง ขอเพียงสามีภรรยาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็ไม่ต้องมีชีวิตที่ยากลำบากแล้ว เรื่องนี้ดีชั่วก็เอาเช่นนี้ …ทว่าตำแหน่งสาวใช้ที่ยังว่างอยู่ก็ต้องหามาเพิ่ม ยามนี้เราอยู่ห่างจากเมืองหลวงนับพันลี้ ดูท่าว่าคงจะใช้ได้แต่บ่าวที่เกิดใน ตระกูลเสิ่นแล้ว”
นางหวงใคร่ครวญแล้วว่า “ความจริงแล้วพวกบ่าวที่เกิดในบ้านก็มิได้เป็นอันใด ถึงจะไม่คล่องแคล่วเท่าบ่าวติดตามของฮูหยินน้อยก็ตามที ทว่าไม่ว่าอย่างไร ฮูหยินน้อยก็นับว่าเป็นคนตระกูลเสิ่น อีกประการยามนี้จะมีผู้ใดไม่รู้ว่าผู้ที่จะมาปรนนิบัติอยู่ตรงหน้าฮูหยินน้อยจะมีอนาคตยาวไกลเพียงใด? กลัวแต่ว่าพอฮูหยินน้อยบอกว่าจะคัดเลือกสาวใช้ใกล้ชิด พวกบ่าวที่เกิดในบ้านจะยื้อแย้งกันจนหัวร้างข้างแตกเสียมากกว่าเจ้าค่ะ”
เสียงนางพลันต่ำลง “อีกประการ หากเลือกบ่าวเกิดในบ้านซึ่งเป็นคนที่เกิดและโตที่ซีเหลียงก็จะยิ่งเข้าใจสถานการณ์และเรื่องภายในต่างๆ ของตระกูลเป็นอย่างดี เป็นผลดีอย่างยิ่งกับการเข้าควบคุมหมิงเพ่ยถังของฮูหยินน้อยในลำดับต่อไปเจ้าค่ะ!”
จูเสียนและจูเซวียนได้ยินคำนี้จึงไม่ได้มาห่วงแต่โต้แย้งกันแล้ว พลันมาถามพร้อมกันว่า “จะเลือกสาวใช้ข้างกายใหม่? แล้วพวกข้าน้อยเล่าเจ้าคะ?”
“เวลานี้พวกเราก็อายุสิบสี่แล้ว พอจะเป็นสาวใช้ในรุ่นที่โตได้แล้ว” สาวใช้ที่ชื่อต้นว่าจูทั้งสี่นางเติบโตมาพร้อมกับเว่ยฉางอิ๋ง จึงมีความผูกพันที่ต่างจากสาวใช้ทั่วไป เว่ยฉางอิ๋งเองก็ให้ความสนิทสนมเป็นกันเองกับพวกนางมาโดยตลอด ยามนี้จึงยิ้มและลูบมวยผมดำขลับของพวกนางดังพี่สาวคนหนึ่ง อธิบายว่า “เพราะซินเหมี่ยวไม่ได้นำคนติดตามมาด้วย จูสือและจูหลานก็ต้องยกให้นางใช้แล้ว รอนางกลับเมืองหลวงแล้วไม่แน่ว่าข้าก็ต้องให้จูสือและจูหลานไปคอยปรนนิบัตินางตลอดทางกลับเพื่อแสดงมารยาทของเจ้าบ้าน ถวนเยวี่ยและซินเยวี่ยก็แข็งทื่อไปสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นทางท่านพี่ก็ไม่มีสาวใช้ที่เหมาะสม ฉะนั้นอย่างไรก็ต้องเติมไปให้ครบ”
นางหวงยิ้มพลางว่า “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพวกเจ้ามาเป็นสาวใช้รุ่นโต แล้วสาวใช้รุ่นเล็กก็มิใช่ว่าไม่มีแล้ว?”
เมื่อจูเสียนและจูเซวียนได้ยินว่าตำแหน่งสาวใช้รุ่นโตของตนไม่ได้ถูกแย่งไป หากแต่กำหนดไว้เป็นการภายในแล้ว จึงได้วางใจ จากกังวลมาเป็นยินดี แล้วรู้สึกเป็นห่วงพวกพ้องขึ้นมา “แต่กลับไม่ทราบว่า ฮูหยินน้อยและท่านอาหวงตัดสินใจจะเลือกผู้ใดเจ้าคะ?”
“นี่มิใช่ว่ายังไม่ได้กำหนดหรอกหรือ? อย่างไร พวกเจ้ามีตัวเลือกที่เหมาะสมหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งอมยิ้มถาม
สาวใช้รุ่นโตเป็นเว่ยฉางอิ๋งและพวกของนางหวงเป็นคนตัดสินใจ มิใช่เรื่องที่สาวใช้รุ่นโตเพียงครึ่งเดียวเช่นพวกนางจะมีชี้ไม้ชี้มือ พวกนางรู้อยู่ว่าสิ่งใดควรไม่ควร จึงรีบส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างเลิกลั่กว่า “ข้าน้อยก็เพียงถามไปเช่นนั้นเองเจ้าค่ะ”
“รอไว้เลือกคนได้แล้วพวกเจ้าก็จะรู้เอง” เว่ยฉางอิ๋งสั่งความไปอีกคำ “หลายวันต่อไปนี้จะต้องยุ่งกันมาก พวกเจ้าอย่าเพิ่งให้ข่าวนี่แพร่ออกไป หาไม่กำลังยุ่งกันอยู่ก็จะยุ่งเข้าไปอีก”
วันนี้ก็มีการงานเพียงน้อยนิดนี้ …แต่นับตั้งแต่วันที่สามหลังปีใหม่ เว่ยฉางอิ๋งก็ยุ่งวุ่นวายจนตัวเป็นเกลียวก้นหอย ต้องหมุนเวียนไปคารวะปีใหม่พร้อมทั้งร่วมงานเลี้ยงในแต่ละบ้านแทนสามีจนแทบไม่ได้หยุดหย่อน
เรื่องการพบปะเจอะเจอในงานต่างๆ ก็ยังแล้วไป ประเด็นสำคัญก็คือในวันสำคัญมากๆ เช่นเทศกาลปีใหม่นี้ ลำพังแค่ต้องมาแต่งเนื้อแต่งตัวทุกวัน ก็ต้องตื่นเช้ากว่าปกติหนึ่งชั่วยาม นำเครื่องประดับมากมายปักไว้บนหัว อาภรณ์แต่หัวจรดเท้าก็น้อยกว่าตอนออกเรือนไม่เท่าใด อย่างไรเสียเว่ยฉางอิ๋งก็ยังเด็ก มาอยู่ที่ซีเหลียงก็ยังไม่นาน แม้นางจะนับว่าเป็นคนงามที่งามโดดเด่นมาแต่กำเนิด แต่ก็ยังมีข้อด้อยเรื่องอายุและประสบการณ์ จึงยังไม่ถึงขั้นที่แม้ในยามที่แต่งตัวธรรมดาๆ ได้ก็ยังทำให้ญาติผู้ใหญ่ทั้งตระกูลสยบต่อนางได้
หลังจากงานเทศกาลหยวนเซียวก็นับว่าเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว ตามแผนการที่วางไว้ เว่ยฉางอิ๋งจะต้องจัดการให้คุณหนูมีตระกูลทั้งสามท่านที่มาซีเหลียงพร้อมกับนางเดินทางกลับ ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่นางเขียนจดหมายกลับไปแจ้งทั้งสามตระกูลที่เมืองหลวงเมื่อปลายปีก่อน
ทว่าเรื่องราวกลับมีการเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว ฟากเติ้งวานวานนั้นก็ยังแล้วไป ตั้งแต่เดือนสิบสองเติ้งจงฉีก็กลับไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว เดิมทีที่นางมาซีเหลียงก็เพื่อให้ได้เห็นกับตาว่าพี่ชายปลอดภัยดีหรือไม่ ในเมื่อได้เห็นแล้ว เพื่อส่งนางกลับไป เว่ยฉางอิ๋งจึงอ้างว่าที่ซีเหลียงอากาศเหน็บหนาว นางย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว …เด็กสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนเช่นนางมาอยู่ที่บ้านผู้อื่นนานแล้ว ต่อให้มีเจ้าบ้านที่เป็นหญิงคอยดูแลก็ยังดูไม่งามอยู่ดี
……………………………….