ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 23 กลับช้า
“…ข้ารู้สึกว่า พี่สะใภ้รองทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะท่านน้ากัว?” เว่ยฉางอิ๋งกลับมาถึงเรือนจินถงด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายิ่ง และพบว่านางหวงกลับมาแล้ว แต่กลับเป็นเสิ่นจั้งเฟิงเสียอีก จะว่าไปแล้วต่อให้วันนี้เขาจะเชิญเพื่อนพ้องมากินเลี้ยงเหมือนเมื่อวาน อย่างไรก็ควรกลับมาแล้ว แต่กลับยังมิเห็นแม้แต่เงา
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่มีเวลามาสนใจเขา เพียงกำชับสาวใช้ที่อยู่บนระเบียงทางเดินว่าหากเห็นเสิ่นจั้งเฟิงกลับมาก็ให้ไปรายงานด้วย จากนั้นก็ดึงนางหวงไปแอบกระซิบกระซาบกัน “ท่านน้ากัวมีท่าทีว่านางสงสัยพี่สะใภ้รอง คราวก่อนยังคิดจะอาศัยโอกาสตอนที่พี่สะใภ้รองไม่อยู่ให้พี่สะใภ้ใหญ่หรือไม่ก็ข้าไปสืบสวนเรื่องที่ลวี่เฉียวแท้งลูกเสียให้ได้ เรื่องนี้ก็มิได้เป็นความลับแต่อย่างใด พี่สะใภ้รองคงรู้ได้ไม่ยาก วันนี้คงเป็นการจงใจจัดฉากให้ท่านน้ากัวดู?”
ทั้งที่นางตวนมู่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าที่ลวี่เฉียวแท้งลูกเป็นเพราะนางไม่ระวังทำให้ตนเองสูญเสียลูกไป ภายหลังเพื่อหลบเลี่ยงความรับผิดชอบจึงสร้างเรื่องว่าถูกคนวางยาขับเลือดทำร้ายตนเพื่อจะได้พ้นผิด… แต่นางก็กลับไม่ยอมอธิบายให้ชัดเจน จนกระทั่งทำให้เสิ่นเหลี่ยนสือโมโหโกรธายกใหญ่ ทั้งตบตีทั้งด่าทอนาง เกิดเรื่องเสียจนคนทั่วจวนไม่มีผู้ใดไม่รู้ ครานี้นางจึงค่อยอธิบายเรื่องต่างๆ ทีละเรื่องออกมาอย่างน้อยอกน้อยใจ
เรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นหนนี้ ต่อให้บ้านตวนมู่ไม่ส่งคนมา เมื่อฮูหยินซูกลับมาก็จะต้องตำหนิเสิ่นเหลี่ยนสือ ส่วนเรื่องที่ท่านน้ากัวมาหานางหลิว ทั้งยังเรียกเว่ยฉางอิ๋งที่เพิ่งจะเข้าบ้านมาไปพูดคุยด้วยที่บ้านใหญ่ก่อนหน้านี้… เดิมทีนางก็เป็นเพียงอนุคนหนึ่ง เรื่องนี้หาใช่เรื่องที่นางต้องมาก้าวก่ายไม่ ต่อให้หนนี้เสิ่นเหลี่ยนสือไม่ยอมรับว่าฟังความจากนาง เรื่องที่สงสัยนางตวนมู่จนบันดาลโทสะขึ้นมา แล้วผู้อื่นจะไม่คิดเช่นนี้หรือ?
ครั้งเว่ยฉางอิ๋งยังไม่ออกเรือนก็เคยได้ยินท่านย่าและท่านแม่เอ่ยถึงว่าฮูหยินซูเป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบยิ่ง เรื่องที่อนุภรรยาก้าวก่ายเรื่องหลังบ้านของสะใภ้ ลำพังเพียงประเด็นนี้ก็เพียงพอจะทำให้ฮูหยินซูโกรธเกรี้ยวได้แล้ว ประสาอะไรที่วันนี้แม่เฒ่าเติ้งกำลังล้มป่วยหนัก เพียงคิดก็รู้แล้วว่าอารมณ์ของฮูหยินซูจะต้องไม่ดีเป็นแน่แท้
ไม่แน่ว่าแม้แต่เสิ่นเหลี่ยนสือเองก็อาจจะรู้สึกว่าที่ตนเชื่อคำมารดาปรักปรำภรรยาตนในครานี้ ก็เพราะมารดาของตนช่างเบาปัญญาเสียจริงๆ
แม้จะบอกว่าดูจากท่าทีของท่านน้ากัวแล้วนางคงจะเป็นที่ชื่นชอบของเสิ่นเซวียนยิ่ง จึงทึกทักเอาว่าตนจะพอมีฐานะในเรือนหลังบ้าง แต่ไม่ว่าจะชื่นชอบนางปานใด นางก็เป็นเพียงแค่อนุ เสิ่นเซวียนจะไปตำหนิภรรยาหลวงหรือสะใภ้ว่าทำไม่ถูกต้องเพราะความคิดเลยเถิดของนางได้อย่างไร?
เช่นเดียวกับคนที่เป็นสะใภ้ โดยส่วนตัวแล้วเว่ยฉางอิ๋งก็จะต้องยืนอยู่ฝั่งนางตวนมู่ “คราวก่อนที่ถูกพี่สะใภ้ใหญ่เรียกให้ไปบ้านใหญ่ เมื่อเห็นท่านน้ากัว ข้าก็รู้สึกว่าท่านน้าผู้นี้ช่างเรื่องมากเสียเหลือเกิน ต่อให้ท่านแม่มิได้อยู่ใจวน แต่บ้านตระกูลซูก็อยู่ในเมืองหลวง หากส่งคนไปรายงานสักคำ เพื่อไปขอฟังความคิดเห็นนของท่านแม่จึงค่อยทำการใดๆ เช่นนี้จึงเป็นการสมควร นางไปแทรกแซงในเรื่องนี้จะนับสิ่งได้? เห็นแก่หน้าของที่ท่านพ่อและพี่รอง ข้าจึงมิได้กล่าวถ้อยคำแรงๆ กับนาง แต่นางกลับไม่ลองคิดดูบ้างว่าหากพวกเรารับปากนางแล้ว จะให้สะใภ้เช่นพวกเราไปบอกกับท่านแม่ว่าอย่างไร?”
นางหวงยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “อย่างไรคุณชายรองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านน้ากัว เรื่องของบ้านสอง มีหรือที่ท่านน้ากัวจะไม้สอดส่องดูแลสักหน่อยเจ้าคะ? ทว่าฮูหยินน้อยรองก็เกิดในตระกูลใหญ่ ย่อมมีความทะนงตนอยู่แต่เดิมที ยิ่งไปกว่านั้นตามกฎแล้ว ผู้ที่ฮูหยินน้อยรองต้องคอยปรนนิบัติก็มีเพียงฮูหยิน ท่านน้ามีหรือจะเรียกฮูหยินน้อยรองไปคอยปรนนิบัตินางอย่างนอบน้อมหรือนำเรื่องต่างๆ ไปฟ้องได้? ทว่า แม้ท่านน้ากัวจะเป็นอนุ แต่กลับไม่เหมือนว่านางคิดจะยอมปฏิบัติตนเป็นผู้น้อย เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ หากนางจะตั้งต้นเป็นฝ่ายตรงข้ามกับฮูหยินน้อยรองก็หาใช่เรื่องแปลกไม่ ความจริงแล้วนางก็เป็นมารดาของคุณชายรอง ต่อให้ฐานะของท่านน้ากัวจะต้อยต่ำกว่านี้ จะอย่างไรคุณชายย่อมต้องเชื่อนางอยู่บ้างเจ้าค่ะ”
“นางเป็นเพียงมารดา หาใช้แม่ใหญ่ หากให้พี่สะใภ้รองปฏิบัติกับนางเช่นปฏิบัติกับท่านแม่ ยังมิต้องเอ่ยว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์หรือไม่เลย หากว่ากันถึงทางท่านแม่แล้ว พี่สะใภ้รองจะว่างตัวเช่นไรกับท่านแม่เล่า?” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วว่า “ข้าได้ยินมาตลอดว่าท่านแม่เป็นผู้ที่เคร่งครัดในกฎระเบียบมาก คิดไม่ถึงว่าในจวนนี้จะมีผู้ที่เป็นคางคกขึ้นวอเช่นนี้”
นางหวงตบที่หลังมือนางเบาๆ แล้วยิ้มอย่างสุขุมเยือกเย็นว่า “ดีชั่วคุณชายของเราก็เป็นบุตรของภรรยาเอก ต่อให้ท่านน้ากัวจะยุ่งย่ามเพียงใด ผู้ที่ต้องปวดหัวก็มีเพียงฮูหยินน้อยรอง คราก่อนที่บ้านใหญ่ ฮูหยินน้อยใหญ่ก็มิใช่ว่าไม่ต้องการจะพูดกับท่านน้ากัวให้มากความ และพูดกันเพียงไม่กี่ประโยคก็ให้นางไปแล้วหรอกหรือ? ตามความเห็นของข้าน้อย หากมิใช่เพราะเรื่องของคุณหนูสิบตระกูลหลิว ฮูหยินน้อยใหญ่ยังคร้านจะฟังนางเลย ทั้งต้องลำบากให้ฮูหยินน้อยไปอีกด้วย!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบถามว่า “ท่านอา วันนี้ไปหาท่านหมอเทวดาจี้?”
“ท่านหมอเทวดาสั่งยามาสองสามแผ่นเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มพลางว่า “และบังเอิญทีเดียว วันนี้คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ก็อยู่ที่นั่นด้วย คุณแปดกระเซ้าท่านหมอเทวดาจนท่านอารมณ์ดีนักหนา ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องที่ข้าน้อยมา ท่านหมอเทวดาจึงตกปากรับคำเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางอุทานออกมา “คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่มิใช่ถูกเชิญไปรักษาท่านยายที่บ้านซูหรอกหรือ?”
มุมปากของนางหวงพลันโค้งขึ้น ยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ใช่สิเจ้าคะ ท่านแม่ของฮูหยินน้อยรองไปหาคุณหนูแปดด้วยตนเอง แต่กลับกลายเป็นว่าคุณหนูแปดเห็นแก่หน้าท่านอาในตระกูลจึงไปบ้านซูหนหนึ่ง แต่อยู่ที่นั้นครึ่งวันก็อ้างว่าวิชาแพทย์ของตนไม่ลึกพอ ต้องกลับไปขอคำชี้แนะจากท่านหมอจี้ จึงได้ไปที่บ้านของท่านหมอเทวดาเจ้าค่ะ!”
“นี่หมายความว่าอย่างไร? หรือคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ไม่ใคร่อยากจะรักษาแม่เฒ่าเติ้ง” เว่ยฉางอิ๋งถามอย่างประหลาดใจ
“คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ขัดเคืองเรื่องที่บ้านซูไปเชิญท่านแพทย์หลวงก่อนจึงไปเชิญนางนะเจ้าคะ” นางหวงยิ้มแล้วว่า “วันนี้ข้าน้อยได้ยินว่านางไปบ่นไม่พอใจกับท่านหมอเทวดาด้วยเจ้าค่ะ คนที่แพทย์หลวงจี้รักษาแล้วเหลือมาจึงค่อยไปหานาง เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ในเมื่อไปหาแพทย์หลวงแล้ว ไยจึงไม่ไปรักษากับแพทย์หลวงให้แล้วให้รอดไปเสียเลย ไยต้องไปรบกวนนาง… นางหาได้มีแก่ใจจะไปคอยเก็บกวาดให้พวกแพทย์หลวงไม่”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจนัก “ข้านึกว่าพี่สะใภ้รองก็เป็นพี่สาวร่วมตระกูลของคุณหนูแปดตวนมู่ หากนางเป็นคนไปบอกกล่าว คุณหนูแปดก็จักต้องพยายามอย่างสุดแรงเสียอีก”
“พี่สาวน้องสาวในตระกูลใหญ่มีมากมาย หาใช่ว่าทุกคนล้วนสนิทสนมกันนะเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มแล้วว่า “ยกตัวอย่างฮูหยินน้อยใหญ่และคุณหนูสิบตระกูลหลิว หากมิใช่ว่ามารดาของคุณหนูสิบตระกูลหลิวเคยช่วยฮูหยินน้อยใหญ่ และตนเองต้องมาตายด้วยเหตุนี้ จนทำให้คุณหนูสิบตระกูลหลินต้องมาตกระกำลำบากแสนสาหัสด้วยน้ำมือของแม่เลี้ยง… และฮูหยินน้อยใหญ่เองก็นับกว่ามีจิตใจดีงาม จึงได้ปกป้องคุณหนูสิบตระกูลหลิวเช่นนี้ หาไม่แล้วฮูหยินน้อยก็ดูเอาเถิดว่าเด็กสาวในตระกูลหลิวนั้นมีมากมาย ฮูหยินน้อยใหญ่ก็หาได้พาทุกคนมาพักอยู่ในบ้านเสิ่นอยู่บ่อยครั้งเช่นนี้ ทั้งยังมาขอร้องฮูหยินน้อยอย่างอ่อนโยนว่าให้ข้าน้อยช่วยไปตรวจชีพจรให้อีก”
แล้วว่า “ก็มิใช่จะบอกว่าคุณหนูแปดตวนมู่หรือฮูหยินน้อยใหญ่ไม่รักใคร่คนในตระกูลของตนนะเจ้าคะ ความจริงแล้วที่ครานี้แม่เฒ่าเติ้งเชิญท่านหมอหลวงจี้มารักษาแล้วจึงค่อยมาคิดถึงท่านหมอเทวดาจี้ เดิมทีก็ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว นี่ยังมิได้เอ่ยถึงเรื่องในอดีตระหว่างบ้านตระกูลเติ้งและท่านหมอเทวดาจี้เสียด้วยซ้ำ เพียงพูดถึงเรื่องระหว่างหมอเทวดาจี้และตระกูลจี้ ที่เขาถูกบ้านตระกูลจี้บีบบังคับจนกระทั่งแม้แต้คฤหาสน์ที่สู้อุตส่าห์ซื้อกลับมาอย่างยากเย็น ตนเองก็ยังไม่สามารถจะอาศัยอยู่ได้ ทำได้เพียงไปซื้อบ้านอีกหลังหนึ่งที่เฉิงตงและอาศัยอยู่ที่นั่น เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายนั้นเลวร้ายเพียงใด! อีกทั้งเรื่องนี้ก็หาใช่เป็นความลับใดในเมืองหลวงไม่ แต่เพื่อฐานะของฮูหยินน้อยรองในบ้านตระกูลเสิ่น ปรากฏว่าฮูหยินน้อยรองและมารดาของนางต้องไปเชิญคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่รับรักษาแม่เฒ่าเติ้งต่อจากแพทย์หลวงจี้!”
“เหตุใดจึงไม่ลองคิดดูว่า แล้วจักให้คุณหนูแปดตวนมู่ซึ่งเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวของท่านหมอเทวดาจี้ไปกล่าวอย่างไรกับอาจารย์ของนาง? ยามนี้ท่านหมอเทวดาจี้มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นใดต้องอาศัยการรักษาผู้ป่วยที่ท่านแพทย์หลวงจี้รักษาไม่หายมาสร้างชื่อเสียงใดแก่ตน! ต่อให้ฐานะของเขาไม่สู้คุณหนูแปดตวนมู่ ทว่าคุณหนูแปดตวนมู่ก็คารวะเขาเป็นอาจารย์ตามธรรมเนียมแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นข้าน้อยยังเห็นว่าคุณหนูแปดเคารพนับถือท่านหมอเทวดาเป็นอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าแต่ไรมานางอาจไม่พอใจบ้านสกุลจี้เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ด้วยเรื่องที่บ้านสกุลจี้เคยติดค้างต่อท่านหมอเทวดาจี้! แล้วจักให้ยอมรับรักษาผู้ป่วยที่แพทย์หลวงจี้รักษาไม่หาย เพื่อช่วยกู้หน้าให้แพทย์หลวงจี้ได้อย่างไร… เรื่องที่ฮูหยินน้อยรองทำครานี้คำนึงถึงแต่เพียงตนเอง แต่ไม่คำนึงถึงคุณหนูแปดตวนมู่บ้าง แม้คุณหนูแปดมิได้กล่าวสิ่งใดกับข้าน้อย แต่จากที่ข้าน้อยดู เห็นชัดว่าคุณหนูแปดไม่ใคร่พอใจนักเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็ยากจะไม่คิดไปถึงเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียน ในใจจึงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา และไม่คิดจะพูดเรื่องบ้านตวนมู่ต่อ พลางว่า “ในเมื่อท่านหมอเทวดาสั่งยามาแล้ว เช่นนั้นจักนำไปให้พี่สะใภ้ใหญ่ยามใด?”
“ข้าน้อยจักไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ท่านอามิใช่บอกว่าจะให้พี่สะใภ้ใหญ่และคุณหนูสิบตระกูลหลิวต่างรู้สึกว่าการรักษาหนนี้มิใช่เรื่องง่ายหรือ?” ยามนี้ฟ้าก็มืดแล้ว เหตุใดยังจะรีบนำไปส่งให้อีก?”
นางหวงยิ้มพลางว่า “ใช่เจ้าค่ะ แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านหมอเทวดาจะพูดจาง่ายเช่นนี้ เดิมทีข้าน้อยคิดว่าจะลองพูดลอยๆ ไปสักหน หากท่านหมอเทวดาไม่ตกลง จึงค่อยไปอีกเป็นหนที่สอง เพื่อขอให้ท่านหมอเทวดาสั่งความใดมาสักอย่าง เมื่อข้าน้อยกลับมาจะได้บอกว่าได้รับคำชี้แนะจากท่านหมอเทวดามา จึงไปรักษาคุณหนูสิบตระกูลหลิว แต่วันนี้เพียงครู่เดียวก็ได้ยามาหลายขนาดถึงเพียงนี้ จึงไม่อาจปิดบังน้ำใจของท่านหมอเทวดาเอาไว้ได้เจ้าค่ะ… ฮูหยินน้อยโปรดคิดดู ยามนี้ฮูหยินน้อยใหญ่กำลังเฝ้าแต่คำนึงเรื่องสุขภาพของคุณหนูสิบตระกูลหลิวนะเจ้าคะ เมื่อพวกเราร้อนใจในเรื่องที่นางร้อนใจอยู่ ฮูหยินน้อยใหญ่และคุณหนูสิบจะไม่รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหลได้หรือเจ้าคะ? หากรั้งรอไว้อีกวัน แม้ทางนั้นจะไม่ว่าอย่างไร แต่ก็ต้องรู้สึกว่าพวกเราเห็นมิได้ใส่ใจเรื่องสุขภาพของคุณหนูสิบตระกูลหลิวเท่าใด…ดีชั่วก็ล้วนอยู่ในคฤหาสน์เดียวกัน ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว”
เว่ยฉางอิ๋งถามไปอีกว่า “เช่นนั้นต้องให้ข้าไปกับท่านอาด้วยหรือไม่?”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” นางหวงเอ่ย “ให้ข้าน้อยไปแต่ผู้เดียว จักได้เห็นว่าฮูหยินน้อยมิได้ถือสาบุญคุณหนหนี้ หากแต่เพียงเพราะสงสารคุณหนูสิบตระกูลหลิว จึงได้ช่วยเหลือคุณหนูสิบเท่านั้น เช่นนี้แล้วจะยิ่งส่งผลที่ดียิ่งขึ้นไปอีกเจ้าค่ะ!”
“ท่านอาหลักแหลมจริงๆ” เว่ยฉางอิ๋งลอบปาดเหงื่อ เรื่องของบุญคุณในหล้านี้ มิอาจใช้คำเพียงไม่กี่คำก็จะสามารถอธิบายได้ครบถ้วน โชคดีที่นางหวงเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ เมื่อมีท่านอาหวงผู้นี้อยู่ข้างกายก็นับว่าสบายใจได้อย่างมาก
รอจนนางหวงไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งเห็นเสิ่นจั้งเฟิงยังไม่กลับมาก็อดจะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ จึงเรียกคนไปที่เรียกเสิ่นจวี้จากเรือนชั้นหน้ามา แล้วสอบถามว่า “เจ้าติดตามคุณชายสามมานานเท่าใดแล้ว?”
เสิ่นจวี้ประสานมือยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของฉากกันลมตอบว่า “ข้าน้อยติดตามคุณชายมาตั้งแต่อายุได้สิบขวบขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าคงจักรู้เวลาเลิกงานของคุณชายสามกระมัง?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามเสียงบางเบาว่า “ครานี้ไม่ใช่ว่าเลยเวลาแล้วหรือ?”
เสิ่นจวี้กล่าวว่า “เรียนฮูหยินน้อย เลยเวลาแล้วขอรับ”
“วันนี้ที่หน้าประตูมีคนมาบอกว่าคุณชายสามต้องกลับล่าช้าบ้างหรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว
“เรียนฮูหยินน้อย ข้าน้อยคอยเฝ้าอยู่ข้างหน้าตลอดเวลา แต่กลับมิเห็นผู้ใดมาขอรับ”
เช่นนั้นก็เป็นเสิ่นจั้งเฟิงกลับช้าแต่กลับมิได้สั่งให้คนกลับมาบอกให้ชัดเจน?
เว่ยฉางอิ๋งเกิดความสงสัยขึ้นมาเต็มอก วานนี้เสิ่นจั้งเฟิงก็กลับมาล่าช้าเช่นกัน แต่พอถึงยามนี้แล้วเขาก็จะมาบอกสาเหตุเอง ไยวันนี้ช้าถึงเพียงนี้แล้วกลับไม่ให้คนมาบอกสักคำ?
ดูจากที่ได้อยู่ด้วยกันมาสองสามวันนี้ เสิ่นจั้งเฟิงเป็นคนละเอียดอ่อนเอาอกเอาใจ ไม่เหมือนคนที่เอาแต่ไปสำราญอยู่ภายนอก โดยไม่ไยดีว่าภรรยาจะตั้งตารออยู่ที่บ้านนี่…เดี๋ยวก่อน ตั้งตารอรึ?
เว่ยฉางอิ๋งออกแรงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ ใบหน้าค่อยๆ แดงขึ้นมา แล้วค่อนแคะตนเองไปหนหนึ่งว่า “ผู้ใดตั้งตารอเขากันเล่า? ข้าก็เพียงแค่…อื่ม สงสัย ใช่แล้ว ก็แค่สงสัย ว่ามีเรื่องใดรั้งตัวเขาไว้ จนยามนี้ไม่อาจปลีกตัวออกมาได้? คงมิใช่ว่ามีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหลินชวนหรือจางผิงซวีหรอกนะ?
นางรีบสะบัดมือให้เสิ่นจวี้ถอยออกไป แล้วให้ฉินเกอไปบอกกับทางห้องครัวว่ายังไม่ต้องเร่งร้อนตระเตรียมอาหารเย็นออกมา คิดในใจว่าอยากส่งคนไปสอบถามดูที่หน้าประตูวัง แต่ก็รู้สึกว่าเพิ่งจะแต่งงานก็คอยไปเร่งรัดเสิ่นจั้งเฟิงถึงเพียงนี้อดจะทำให้คนหัวเราะเยาะเอามิได้… อย่างไรเมืองหลวงก็อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของฮ่องเต้ แล้วจักเกิดเรื่องใดได้? โดยมากแล้วคงเป็นเพราะเสิ่นจั้งเฟิงไปกินดื่มกับที่ปรึกษาหรือสหายสนิท หรือไปทำบางสิ่งกระมัง
นางเดินวนเวียนไปมาภายในห้องอยู่เป็นนาน คลับคล้ายว่าได้ยินเสียงเดินมาจากบนระเบียงทางเดิน จากนั้นประตูก็ถูกผลักเปิด เว่ยฉางอิ๋งพลันยินดี รีบหันหน้าไปมอง แต่กลับเป็นนางหวง
นางหวงเห็นว่าสีหน้ายินดีของนางกลายมาเป็นนิ่งเหม่อและผิดหวัง แล้วมองเห็นว่าภายในห้องนั้นนอกจากสาวใช้แล้วก็มีเพียงเว่ยฉางอิ๋งผู้เดียว นางก็รู้สึกตกใจอยู่ภายในใจ กล่าวว่า “เหตุใดคุณชายยังไม่กลับมาเจ้าคะ?”
“นั่นน่ะสิ” เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจ พลางเอ่ยถามอย่างซึมๆ ว่า “ท่านอาบอกกล่าวกับพี่สะใภ้และคุณหนูสิบตระกูลหลิวเรียบร้อยแล้วหรือ?”
เดิมทีนางหวงก็คิดจะรายงายให้ฟังโดยละเอียด แต่ยามนี้เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งหาได้มีแก่ใจจะมาตั้งใจฟังนาง จึงรวบรัดตัดความไปว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่และคุณหนูสิบตระกูลหลิวล้วนซาบซึ้งยิ่ง กล่าวแต่ว่าภายหลังจักต้องหาทางตอบแทนฮูหยินน้อยให้ได้เจ้าค่ะ”
“เรื่องนี้เป็นผลงานของท่านอา ความจริงแล้วมิได้เกี่ยวข้องกับข้าแต่อย่างใด” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยออกไปด้วยจิตใจล่องลอย
นางหวงยิ้มพลางว่า “จักไม่เกี่ยวกับฮูหยินน้อยได้อย่างไรเจ้าคะ? หากมิใช่ฮูหยิน้อย ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูสิบตระกูลหลิว หรือคุณหนูสิบตระกูลจาง…แล้วจะเกี่ยวกับข้าน้อยที่ใด? ข้าน้อยบอกแล้วว่า แต่แรกที่ข้าน้อยร่ำเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอเทวดาจี้ ก็เพื่อแบ่งเบาความกังวลของฮูหยินผู้เฒ่า หาใช่เพราะต้องการออกไปกอบกู้ใต้หล้า”
เว่ยฉางอิ๋งถอดหายใจ พึมพำกับตัวเองว่า “ไยคนยังไม่กลับมานะ?” เห็นชัดว่ามิได้ฟังคำของนางหวงอยู่เลย
นางหวงเองก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย… สองสามวันมานี้นางเฝ้ามองอยู่ในสายตา คู่สามีภรรยาแต่งงานใหม่นี้มีความหวานชื่นอยู่ในที เว่ยฉางอิ๋งยังกระดากอายด้วยเพิ่งจะมาเป็นภรรยา จึงยังแสร้งวางท่าเหินห่าง ปล่อยวางยังไม่ใคร่ได้ แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับเอาใจใส่ภรรยายิ่ง หากไม่มีเรื่องใดจำเป็นตามหลักแล้วไม่น่ากลับมาดึกดื่น หรือต่อให้มีเรื่องทำให้ต้องล่าช้า ก็จะต้องสั่งให้คนส่งจดหมายมาบอกสาเหตุ
ข้างกายเสิ่นจั้งเฟิงก็มิใช่มีแต่เสิ่นเตี๋ยเป็นเด็กชายรับใช้เพียงคนเดียว จึงไม่น่าจะจัดแบ่งคนมาส่งข่าวไม่ได้… เหตุใดจึงไรข่าวคราวจนถึงยามนี้เล่า?
นางหวงคิดสักพัก จึงว่า “ข้าน้อยจะลองถามพี่ว่านดูเจ้าค่ะ และไปขอให้นางส่งคนไปคอยต้อนรับ”
เมื่อนางเอ่ยเตือน เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งนึกถึงนางว่านขึ้นมาได้ กำลังจะพูด ข้างนอกกลับมีคนร้องออกมาอย่างยินดีว่า “คุณชายกลับมาแล้ว!”
________________________________