ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 24 เบาะแสของศัตรู
เว่ยฉางอิ๋งทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี ไม่ทันได้คิดสิ่งใดมากมายก็วิ่งปรี่ออกประตูไป กลับเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่บนระเบียบทางเดินที่ยามนี้จุดโคมไฟแล้ว แต่เพราะมีลานบ้านกั้นอยู่ ทั้งแสงก็สลัว นางจึงมองไม่เห็นชัดเจนว่ามีเสิ่นจั้งเฟิงอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนั้นหรือไม่ นางรออยู่เป็นนานไม่เห็นว่ากลุ่มคนจะแยกกันออกมาเสียที ด้วยความร้อนใจนางจึงวิ่งปรี่ลงไปที่ลานบ้านเสียเลย จนถึงระเบียงทางเดินข้างหน้า เมื่อทุกคนเห็นว่าฮูหยินน้อยก็มา จึงรีบคารวะและกล่าวทักทายนาง
เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งไม่มีเวลาจะมาสนใจพวกเขา เมื่อชะเง้อมองในกลุ่มคนกลับมิได้เห็นแม้แต่เงาของเสิ่นจั้งเฟิง จึงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “คุณชายสามเล่า?”
ได้ยินเพียงจูหลานยิ้มเจื่อนๆ และกล่าวว่า “คุณชายสามยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้เป็นเสิ่นเตี๋ยกลับมารายงานข่าวคราวเจ้าค่ะ ข้าน้อยนึกว่าคุณชายอยู่ข้างหลัง จึงได้ตะโกนบอกไป…”
ยามนี้เองเว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มเสื้อครามที่ยืนประสานมืออยู่ที่ประตูโค้งวงพระจันทร์ก็คือเสิ่นเตี๋ย หลังจากตั้งสติแล้วจึงถามเขาว่า “เหตุใดจึงมีเพียงเจ้ากลับมาผู้เดียว? คุณชายสามเล่า?”
เสิ่นเตี๋ยคำนับหนหนึ่งจึงว่า “เรียนฮูหยินน้อย ยามนี้คุณชายสามอยู่ที่จวนตระกูลซูขอรับ หลังเที่ยงวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเวียนหัวหนักมาก เมื่อคุณชายได้ยินข่าวจึงรีบไปเยี่ยมขอรับ และเพราะอยู่คอยปลอบฮูหยินจนล่วงเลยเวลา ฮูหยินเป็นห่วงว่าคุณชายต้องไปทำงานจะลำบาก จึงให้คุณชายพักอยู่ที่บ้านซูหนึ่งคืนเสียเลย วันพรุ่งเลิกงานแล้วจึงค่อยกลับมา จึงสั่งให้ข้าน้อยกลับมารายงานฮูหยินน้อยขอรับ”
ที่แท้ก็อยู่บ้านตระกูลซูนี่เอง
เว่ยฉางอิ๋งโล่งใจ กล่าวว่า “เช่นนั้นวันพรุ่งต้องส่งเสื้อผ้าไปให้กระมัง?”
เสิ่นเตี๋ยคำนับแล้วว่า “เรียนฮูหยินน้อย คุณชายสามมีเสื้อผ้าและของใช้เก็บไว้ในห้องเวรยามในวังแล้ว ยามไปจวนตระกูลซูก็ได้นับติดตัวไปด้วยแล้วขอรับ”
“วันนี้ท่านยายเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องให้คนในบ้านไปคอยดูแลเพิ่มอีกหรือไม่?” ก่อนนี้ยามนางหวงกลับมาก็เคยบอกว่า เมื่อแพทย์หลวงจี้ฉงหย่วนรักษาแม่เฒ่าเติ้งไม่ได้ ฮูหยินซูจึงได้ไหว้วานให้นางตวนมู่สะใภ้คนรองไปเชิญคุณหนูแปดบ้านตวนมู่มา… แม้แพทย์หลวงจี้ฉงหย่วนจะไม่อาจเทียบกับจี้ชวี่ปิ้งได้ แต่อย่างไรก็เป็นพี่น้องร่วมตระกูลจี้ที่สืบทอดงานด้านการแพทย์มายาวนานนับร้อยปีเช่นเดียวกับจี้ชวี่ปิ้ง เมื่อสามารถเป็นถึงแพทย์หลวงก็ย่อมเก่งกาจกว่าหมอธรรมดาทั่วไป
เขาไม่อาจรักษาแม่เฒ่าเติ้งได้ จึงเห็นชัดว่าอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่านั้นยากเกินรับมือยิ่ง
แต่ผู้ที่สืบทอดวิชาจากจี้ชวี่ปิ้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เขายอมรับหรือไม่ กลับไม่มีแม้สักคนที่พึงใจจะไปรักษาให้ นางหวงเป็นเช่นนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ไม่ได้ดีไปกว่าสักเท่าใด คาดว่าคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ผู้นี้หาได้มองเห็นความเป็นตายของแม่เฒ่าเติ้งอยู่ในสายตาเลยแม้สักน้อย นางหวงบอกว่าวันนี้ยามนางอยู่ที่เรือนของจี้ชวี่ปิ้งก็ยังทำให้อาจารย์สบายอกสบายใจยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะตรวจดูอาการแม่เฒ่าเติ้งเพียงผ่านๆ ก็บอกว่าจะไปสอบถามอาจารย์… จากนั้นก็วิ่งมาหัวร่อต่อกระซิกต่อหน้าอาจารย์ แล้วกลับทิ้งเรื่องของแม่เฒ่าเติ้งไปเสีย
ปรากฏว่าพอหลังเที่ยงอาการของแม่เฒ่าเติ้งผู้น่าสงสารก็กลับยิ่งทรุดหนักขึ้น…
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะแต่งงานกับเสิ่นจั้งเฟิง แต่จนยามนี้ก็ยังไม่เคยได้พบแม่เฒ่าเติ้ง นางย่อมมิได้รู้สึกเศร้าเสียใจและเป็นทุกข์กับแม่เฒ่าเติ้งจริงๆ เพียงแต่ยามนี้นางเพิ่งข้าบ้านมายังไม่ครบเดือนหากต้องมาไว้ทุกข์เสียแล้ว ก็นับว่าไม่เป็นมงคลเลย ยามนี้เมื่อเอ่ยถามกับเสิ่นเตี๋ยว่าอาการของแม่เฒ่าเติ้งเป็นเช่นไร นางจึงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา
เสิ่นเตี๋ยส่ายหน้าบอกว่า “ยามข้าน้อยกลับมารายงานนั้น ฮูหยินกำชับให้ข้าน้อยนำความมาแจ้งแก่ฮูหยินน้อย ให้ฮูหยินน้อยจัดแจงเรือนจินถงให้ดี หากมีเวลาว่างก็ไปช่วยฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองสักหน่อยขอรับ”
ซึ่งนี่ก็เป็นการบอกว่าให้นางตวนมู่อยู่ที่จวนไม่ต้องไปแล้ว?
เว่ยฉางอิ๋งเกิดความคิดไปมาในใจ เพราะการกระทำของตวนมู่ซินเหมี่ยวทำให้ฮูหยินซูไม่ชอบใจ จึงได้พาลโกรธมาถึงนางตวนมู่ หรือเพราะรู้ว่าเสิ่นเหลี่ยนสือลงมือตบตีด่าทอภรรยาเอกด้วยเรื่องที่ลวี่เฉียวแท้งลูก และกังวลว่าจะเกิดความวุ่นวายเพิ่มมาขึ้นอีก จึงให้นางตวนมู่อยู่ที่บ้านจัดการเรื่องราวในบ้านสองให้เรียบร้อยไปเสียเลย?
นางใจลอยไปหลายอึดใจ แล้วถูกนางหวงที่ตามมาดึงเบาๆ จึงบอกว่า “ข้ารู้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
“ฮูหยินกล่าวเพียงเท่านี้ขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นเขามิได้เอ่ยว่าเสิ่นจั้งเฟิงมีคำพูดต้องการจะบอกกล่าวกับตน พลันรู้สึกผิดหวังขึ้นมาในใจ แล้วกล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถิด วันพรุ่งเจ้ายังต้องไปจวนตระกูลซูหรือไม่?”
เสิ่นเตี๋ยกล่าวว่า “คุณชายทางนั้นมีเสิ่นเล่อคอยรับใช้อยู่ขอรับ จึงให้ข้าน้อยไปรับใช้ยามถึงเวลาเลิกงานเป็นพอขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าไปเถิด” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า
ในเมื่อคืนนี้เสิ่นจั้งเฟิงไม่กลับมาแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ต้องรออีกต่อไป จึงสั่งให้บ่าวเตรียมสำรับและรีบทานอาหารจนเสร็จ แล้วให้บ่าวเตรียมน้ำมาอาบ อาบน้ำแล้วก็กลับเข้าไปในห้อง ยามเข้าประตูพลันเกิดความระแวงขึ้นมาตามสัญชาตญาณ… จากนั้นจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้เสิ่นจั้งเฟิงไปค้างที่จวนตระกูลซูแล้ว
นางลอบยิ้มน้อยๆ อยู่ในใจ แล้วไปนั่งบนตั่งนอน พลางเอาผ้ามาเช็ดผมยาวของตนสองสามหน รวบรวมสติครุ่นคิด แล้วสั่งฉินเกอว่า “เจ้าไปดูว่าท่านอาหวงว่างหรือยัง? หากว่างแล้วก็ให้เชิญนางมา”
หลังจากนั้นพักใหญ่นางหวงก็มา ซึ่งผมยาวที่นางหวงม้วนขึ้นมาลวกๆ ยังคงเปียกอยู่ เว่ยฉางอิ๋งจึงบ่นฉินเกอว่า “มิใช่บอกว่าให้ดูว่าท่านอาว่างแล้วจึงค่อยเชิญมาหรอกหรือ?”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ ยามนี้เป็นฤดูร้อน ผ่านไปสักพักก็จะแห้งเอง” นางหวงยิ้มพลางว่า “ข้าน้อยก็กำลังคิดอยากจะมาคุยธุระกับฮูหยินน้อยเช่นกันเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งมองฉินเกอและเยี่ยนเกอหนหนึ่ง ทั้งสองคนเข้าใจและออกไปเฝ้าข้างนอกประตู
นางหวงจึงว่า “แม้จะได้ยามาหลายสำรับ แต่ฮูหยินน้อยใหญ่ยังกังวลว่าเมื่อคุณหนูสิบตระกูลหลิวกลับบ้านไปแล้วจะได้รับพิษอีก ดังนั้นจึงตัดสินใจเชิญคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวมาพักที่บ้านเราสักพักเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “คุณหนูหลิวสิบเอ็ด? เป็นบุตรสาวแท้ๆ คนละแม่กับคุณหนูสิบตระกูลหลิวนั่นหรือ?”
“เป็นหลิวรั่วเหยียผู้นั้นล่ะเจ้าค่ะ” มุมปากของนางหวงพลันเผยความเย้ยหยันออกมา แล้วกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่คิดจักใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง… กระเรียนระทมชนิดนี้ ในใต้หล้านอกจากท่านหมอเทวดาจี้แล้วไม่มีผู้ใดรักษาได้ การที่คุณหนูสิบตระกูลหลิวถูกลอบทำร้ายครานี้ แม้จะสามารถช่วยได้ แต่หากถูกวางยาอีกหนก็ยากจะพูดได้แล้วเจ้าค่ะ… ฮูหยินน้อยใหญ่วางแผนจะรอให้คุณหนูสิบตระกูลหลิวสามารถออกเรือนอย่างปลอดภัยเสียก่อน แล้วจึงถอนพิษให้คุณหนูหลิวตระกูลสิบในภายหลัง”
“ใช้หลิวรั่วเหยียเป็นตัวประกัน…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดแล้วว่า “นี่เป็นเรื่องภายในของบ้านหลิวของพวกนาง ทั้งยังมิใช่เรื่องที่ดีงามน่าฟัง แล้วพี่สะใภ้มาบอกพวกเราทำสิ่งใด?”
นางหวงบอกว่า “ประการแรกเป็นการแสดงว่ามิได้เห็นพวกเราเป็นคนนอก ประการต่อมา ที่นี่ไม่มีคนนอกอยู่ หลิวรั่วเหยียผู้นั้น… ฮูหยินน้อยมิเคยได้ยินเรื่องนางมาก่อนหรอกหรือเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก กล่าวว่า “ก็มิใช่ที่ว่ากันนั่นหรอกรึ? นางจะหมายปองอีกเพียงใดแล้วจะอย่างไร? ดีชั่วนายผู้หญิงของเรือนจินถงแห่งนี้ก็คือข้า นางก็ทำได้เพียงแอบดูเท่านั้น”
นางหวงยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ฮูหยินน้อยกล่าวถูกต้องเป็นที่สุด ความคิดเพ้อเจ้อก็ยังเป็นความคิดเพ้อเจ้อวันยันค่ำ” แล้วก็พูดอย่างจริงจังว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่คอยปกป้องคุณหนูหลิวสิบมาโดยตลอด จู่ๆ วันนี้ก็จะเชิญคุณหนูสิบเอ็ดมาที่บ้าน จะเป็นเรื่องง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร? ดังนั้นความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของฮูหยินน้อยใหญ่ก็คือคิดจะอาศัยบารมีของคุณชายของเราเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจในทันใด “หรือพี่สะใภ้ใหญ่อยากให้ข้าออกหน้าไปเชิญคุณหนูสิบเอ็ดของบ้านนาง?”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ? เพราะพวกเราคอยดูบ้านหลิวห้ำหั่นกันเองอย่างมีความสุข ทั้งเรื่องนี้ยังทำเพื่อคุณหนูสิบตระกูลหลิว เรื่องที่เราใจกว้างช่วยเหลือก็ส่วนเรื่องใจกว้าง แต่หากให้พวกเราเข้าไปก้าวก่ายโดยตรงนั้นไม่มีทาง ที่ครานี้ช่วยคุณหนูสิบตระกูลหลิวถอนพิษก็นับว่าให้เกียรติฮูหยินน้อยใหญ่เป็นที่สุดแล้ว หากนางต้องการปกป้องน้องสาวจนถึงที่สุด แล้วจะถือสิทธิ์ใดมาดึงพวกเราลงน้ำไปด้วย?” นางหวงกล่าว “เป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยใหญ่วางแผนว่าในวันหยุดคราวหน้าจะเชิญคุณหนูสิบเอ็ดมาที่จวน เหตุผลก็คือคุณหนูหลานคนโตกำลังเรียนเขียนอักษรแบบจ้านฮวาถี่[1] คุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวมีความชำนาญในการเขียนอักษรชนิดนี้เป็นที่สุด จึงคิดจะให้นางมาสอนคุณหนูหลานคนโตที่จวนสักหน่อยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งไตร่ตรองแล้วว่า “แล้วพวกเราจะให้ความสะดวกแก่นางได้เช่นไร?”
“ฮูหยินน้อยใหญ่บอกว่าการไปเชิญท่านหมอเทวดาจี้มาสั่งยาให้ด้วยตนเองก็นับเป็นการรบกวนฮูหยินน้อยมากแล้ว จึงไม่กล้าให้พวกเราบ้านสามทำเรื่องอื่นอีก ขอเพียงให้วันนั้นฮูหยินน้อยช่วยรั้งตัวคุณชายไว้ที่จวนเป็นพอเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มแล้วว่า “ก่อนนี้ข้าน้อยได้ยินคนแอบพูดกันว่าหลังจากที่หลิวรั่วเหยียผู้นี้บังเอิญได้พบกับคุณชายของเราหนหนึ่งนางก็สนใจคุณชายเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีคิดว่าอย่างไรเสียนางก็เป็นกุลสตรีตระกูลใหญ่ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าคุณชายของเราหมั้นหมายกับฮูหยินน้อยมาแต่เล็ก แล้วยังจะคิดต่อไปได้อย่างไร? วันนี้เมื่อฮูหยินน้อยใหญ่เอ่ยปากออกมาเองเช่นนี้ เห็นท่าว่าจะจริงเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งอดรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาไม่ได้ “ก่อนนี้แม่นมชวี่เคยบอกว่าหลิวรั่วอวี้ก็เป็นเช่นนี้… ยามนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นคนเหล่านี้ หรือว่าจะมีเพียงคนตระกูลหลิวที่เป็นเช่นนี้? เหตุใดชายหนุ่มแน่นรูปงามมีอยู่เต็มเมืองหลวงกลับไม่ไปสนใจ แต่กลับจ้องแต่สามีที่มีภรรยาแล้วไม่ยอมปล่อยเสียที!”
นางหวงรีบปลอบนาง “เป็นพวกนางไม่ดีเองเจ้าค่ะ แต่ก็เป็นการบอกชัดว่าคุณชายของเราดีอย่างไรเล่าเจ้าคะ! ให้ข้าน้อยพูดจากใจจริงสักประโยคเถิด ลำพังเพียงความใส่ใจที่คุณชายมีต่อฮูหยินน้อย ย่อมทำให้คนมากมายเหล่านั้นอดจะอิจฉาไม่ได้ ในใต้หล้านี้มีผู้เป็นสามีนับพันนับหมื่น แต่ผู้ที่กล่าวได้ว่าทั้งใส่ใจและเอาอกเอาใจเทียบเท่าคุณชายของเรานั้น หาได้ไม่กี่คนจริงๆ เจ้าค่ะ!”
แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ว่าจะมีผู้คนหมายปองอีกสักกี่มากน้อย ผู้ที่คุณชายรักใคร่ทะนุถนอมก็มิใช่ฮูหยินน้อยหรอกหรือเจ้าคะ!”
เว่ยฉางอิ๋งไม่พอใจนาง “ท่านอา! ท่านพูดเรื่องจริงสิ!”
“ที่ข้าน้อยพูดนั้นไม่จริงหรือเจ้าคะ?” นางหวงยิ้ม และรู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งปากแข็งจึงไม่ไปโต้แย้งนาง แล้วพูดเรื่องจริงจังต่อไปด้วยเสียงค่อนข้างต่ำ “เพื่อให้ฮูหยินน้อยรับปาก ฮูหยินน้อยใหญ่ยังบอกอีกว่าคุณชายยี่สิบสามตระกูลหลิวที่เกิดจากนางจางนั้นแม้ยังเยาว์ทว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดมาแต่กำเนิด จึงเป็นที่รักใคร่ของท่านอาห้าของนางยิ่ง และเพราะคุณชายท่านนี้ ฐานะของคุณหนูสิบตระกูลหลิวนับวันจึงถดถอยลงทุกที ส่วนนางจางก็มีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ… แต่ผู้ที่ตระกูลหลิวฝากความหวังไว้มากที่สุดในยามนี้กลับเป็นคุณชายสิบหกหลิวซีสวิน เรื่องที่มีคนขวางเกี้ยวเพื่อร้องเรียนต่อเว่ยฉีเมื่อปีก่อนนั้น ในทางแจ้งว่ากันว่าเป็นตระกูลหลิวลงมือเพื่อเอื้อประโยชน์ให้หลิวซีสวิน ส่วนในทางลับกลับเป็นนางจางยุยงส่งเสริมให้สามีของตนยัดเยียดความผิดให้แก่หลิวซีสวิน บอกว่าด้วยเหตุที่เขาไม่อาจเอาชนะคุณชายของเราได้จึงหันไปใส่ร้ายป้ายสีทำลายชื่อเสียงสตรีที่ยังมิได้เข้าบ้านแทน… ได้ยินมาว่าเดิมทีนั้นหลิวซีสวินมีมิตรสหายในบรรดาราชองครักษ์ทั้งสามไม่น้อยเลย แต่เพราะเรื่องนี้ ทำให้การประลองหน้าพระพักตร์ในวันชูอิกเมื่อปีก่อน เขากลับมิได้เข้ารอบแม้แต่สิบอันดับแรก ต้องรู้เสียก่อนว่าแต่ไรมาหลิวซีสวินเป็นรองก็แต่คุณชายของเราเท่านั้นนะเจ้าคะ!”
สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งอดจะเปลี่ยนไปไม่ได้ “เรื่องนี้…ที่แท้กลับเป็นนางจางรึ?”
…เรื่องนี้บีบคั้นนางจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาสองวันสองคืน หากไม่ใช่เพราะผ้ายาวสีขาวที่ส่งมาจากจวนจิ้งผิงกงทำให้ความโกรธของนางกลายเป็นความแค้น
และได้คิดว่านางจะต้องมีชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปให้จงได้เพื่อไม่ให้คนที่คอยเยาะหยันนางได้อกได้ใจ แม้ไม่รู้เลยว่าภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไรก็ตาม!
ครั้งนั้นนางเอาแต่คิดว่าตนเองเสียใจเป็นทุกข์ ยามนี้เมื่อนึกย้อนกลับไป เมื่อครั้งที่นางเป็นทุกข์เสียจนไม่กินไม่ดื่ม เพียงคิดก็รู้ได้ว่าท่านย่าที่เอานางวางไว้บนสุดยอดของดวงใจตลอดมาจะรู้สึกเช่นไร? ขณะนั้นฮูหยินซ่งมารดาของตนยังคอยช่วยดูแลงานในเรือนหลังที่จวนจิ้งผิงกง… บิดาก็สุขภาพอ่อนแอเพียงนั้น หากวันใดตนถูกข่าวลือบีบคั้นจนต้องตาย ต่อให้ยังมีฉางเฟิงอยู่ แต่ท่านย่าก็สูงวัยมากแล้ว บิดาก็ขี้โรคมาแต่ไร แล้วจะฟังข่าวร้ายเช่นนั้นไหวได้อย่างไร!
หากคิดให้ลึกและยาวไกลกว่านั้นสักหน่อย หากเกิดเรื่องขึ้นกับท่านย่าขึ้นมา เมื่อไม่มีท่านย่าคอยปกป้องคุ้มครองแล้วบ้านใหญ่จักเป็นเช่นใด? อนาคตของฉางเฟิง… แล้วฮูหยินซ่งที่สูญเสียทั้งสามีและบุตรสาวไปจะทำเช่นใด?
สิ่งที่พวกเขาทำคราวนี้ อีกเพียงน้อยเดียวเท่านั้นก็เกือบจะทำให้บ้านของนางต้องล่มสลายทั้งมีคนล้มตาย ไม่สิ สำหรับทั้งสี่ชีวิตในครอบครัวเว่ยฉางอิ๋งแล้ว นี่เท่ากับเป็นแผนการสังหารยกครัว!
เรื่องฝังใจเช่นนี้นางจะลืมลงได้อย่างไร?
ในแผนการชั่วครานั้น บุตรชายจิ้งผิงกงถูกลอบสังหาร เว่ยฉีต้องเกษียณตัวออกจากราชการ ความจริงก็นับว่าได้แก้แค้นไปแล้ว มีเพียงบ้านตระกูลหลิวที่จนยามนี้ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน… เว่ยฉางอิ๋งหาใช่คนที่เมื่ออยู่สุขสบายก็จะไม่ไปจดจำเรื่องความแค้น ทว่าเพิ่งจะแต่งงานเข้าบ้านมา เรือนของตนยังมิทันจัดแจงให้เรียบร้อย ยังไม่มีเวลาไปสอบสวนเรื่องนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเอาคืนเลย
ยามนี้มาได้ยินว่าศัตรูตัวจริงของตนคือผู้ใด มีหรือจะระงับอารมณ์อยู่ได้? นางแทบจะเต้นออกมาทีเดียว!
นางหวงรีบเอ่ยเตือนว่า “ที่ฮูหยินน้อยใหญ่กล่าวเช่นนี้ ฮูหยินน้อยก็อย่าได้เชื่อไปเสียหมดนะเจ้าคะ! เพราะอย่างไรตอนนี้ฮูหยินน้อยใหญ่ก็ต้องการช่วยเหลือคุณหนูสิบตระกูลหลิวอยู่เต็มหัวใจ! ผู้ใดจะรู้ว่านางจงใจอาศัยเรื่องนี้เพื่อทำให้ฮูหยินน้อยอยู่ข้างนางหรือไม่? เรื่องที่ไม่มีหลักฐานใดๆ ฮูหยินน้อยเพียงจดจำไว้เป็นพอ แต่อย่าได้คิดเห็นเป็นจริงเป็นจังเชียวเจ้าค่ะ!”
สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นจึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกลับลงมานั่ง กล่าวเย้ยหยันไปว่า “ข้ารู้แล้ว… ข้าเข้าใจความหมายของท่านอา ดีชั่วอย่างไรตระกูลหลิวก็มีส่วนทำร้ายข้า ไม่ว่าเป็นผู้ใด นั่งดูพวกนางห้ำหั่นกันเองล้วนเป็นเรื่องดี! ส่วนเป็นผู้ใดที่ลงมือทำร้ายข้าแต่แรก พวกเราค่อยๆ สืบดู อย่างไรเสียยามนี้ข้าก็อยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องเวลา… หาใช่ว่าจะอยู่ในบ้านสามนี้เพียงวันเดียวเสียเมื่อใด? ท่านไปบอกพี่สะใภ้ใหญ่ทีว่าข้าตกลง ข้ากลับไม่เชื่อว่าเมื่อมีข้าอยู่ที่นี่ หลิวรั่วเหยียผู้นั้นยังจะกล้าวิ่งมาทอดสะพานถึงเรือนจินถง!”
_________________________________
[1] จ้านฮวาถี่ เป็นเทคนิคการเขียนอักษรจีนด้วยพู่กันแบบหนึ่ง ที่เขียนออกมาแล้วจะเป็นเส้นเรียวและบาง