ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 30 ลอกคราบ
“พี่เจ็ด…” หลิวรั่วอวี้ส่งน้ำชาให้พลางกล่าวด้วยเสียงบางเบา
นางหลิวมองไปยังน้องสาวร่วมตระกูลที่นางปกป้องประหนึ่งเป็นบุตรสาวผู้นี้หนหนึ่ง เห็นใบหน้าขาวซีดของหลิวรั่วอวี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกังวล จึงอดจะสูดหายใจลึกๆ หนหนึ่งไม่ได้ นางรับน้ำชามาและดื่มหมดในคราวเดียว รวบรวมสติแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร… ก็แค่ไม่ทันได้ระวังว่านั่งสารเลวนั่นมันจะมีพิษสงร้ายกาจเช่นนี้ ทำให้คิดถึงบางเรื่องเมื่อก่อนนี้ขึ้นมา…”
“เพราะข้าไม่ดีเอง ข้าไม่ได้เรื่องเกินไป ทำให้พี่เจ็ดต้องเป็นห่วงเช่นนี้” หลิวรั่วอวี้ขบริมฝีปากพลางกล่าวด้วยเสียงต่ำๆ
นางหลิวมองนางด้วยความรักและสงสาร กล่าวว่า “โทษเจ้าไม่ได้ เจ้าน่ะ ก็เหมือนท่านอาสะใภ้ห้านั่นล่ะ! ใจดีนัก! จู่ๆ ยามนี้จะให้เจ้าโหดเหี้ยมขึ้นมา เจ้าปรับตัวไม่ทันก็เป็นเรื่องธรรมดา” แม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อคิดว่าวันนี้ทำงานไม่สำเร็จทั้งยังถูกหลิวรั่วเหยียโต้กลับหนหนึ่ง กลับทำให้นางและเว่ยฉางอิ๋งที่รู้กันอยู่ในทีว่าเป็นพวกเดียวกันมีอันต้องแตกหัก ในใจอดจะรู้สึกเสียใจและเสียดายไม่ได้ “พลาดโอกาสนี้ไปแล้ว กลัวว่ารั่วเหยียจะไม่ยอมตกหลุมพรางอีก อีกไม่กี่วันราชโองการก็จะลงมาแล้ว และเจ้าก็ต้องกลับบ้าน… เฮ่อ เจ้าทำได้แค่ต้องระวังเอาเองแล้ว กลับไปข้าจะกำชับนางลู่ให้ดี”
นางลู่เป็นแม่นมของหลิวรั่วอวี้ เดิมทีเป็นบ่าวติดตามมารดาของหลิวรั่วอวี้ยามแต่งงาน เป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยนิดที่ยังจงรักภักดีต่อหลิวรั่วอวี้หลังจากนางจางแต่งเข้าบ้าน จึงสามารถไหว้วานได้เป็นอย่างดี
ว่าแล้วหลิวรั่วอวี้ก็ฟังออกว่าที่นางหลิวกล่าวเช่นนี้ ก็มิใช่เพราะยังไม่อาจวางใจในตัวนาง จึงคิดว่ากำชับนางก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้ไปบอกกันนางลู่เองดีกว่า
นางอดจะขบริมฝีปากล่างไม่ได้… เมื่อนับไปแล้วหลิวรั่วเหยียยังอ่อนกว่านางสองปี วันนี้นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งร่วมมือกันจัดการนาง แต่กลับถูกนางทำให้ต้องแตกหักกันด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค และกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ ตนเองอ่อนหัดกว่าน้องสาวต่างมารดาผู้นี้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ในขณะที่นางกำลังใจลอยอยู่นั้น ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอก นางหลิวพลันขมวดคิ้ว ยังมิทันเรียกคนเข้ามาสอบถามสาเหตุ ประตูก็ถูกถีบให้เปิดออกเสียแล้ว สองพี่น้องมองตามไปด้วยอาการตกตะลึง กลับเห็นว่าเสิ่นจั้งลี่พุ่งตัวเข้ามาอย่างโมโหโกรธา เข้ามาได้ก็ถามทันทีว่า “วันนี้เจ้าจัดงานเลี้ยงในบ้านรึ? ท่านยายยังป่วยอยู่เจ้ารู้หรือไม่?!”
นางหลิวพลันหนักอึ้งในใจ แล้วรีบหันไปบอกหลิวรั่วอวี้ว่า “น้องสิบเจ้ากลับไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องพูดกับพี่เขยเจ้า”
หลิวรั่วอวี้ลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน เมื่อเห็นว่าใบหน้าเสิ่นจั้งลี่เต็มไปด้วยโทสะ กังวลว่าเขาจะทำไม่ดีต่อนางหลิว จึงกลับไม่อยากจะออกไปในทันที แล้วถูกนางหลิวผลักออกไปสองหนจึงก้มตัวคำนับไปอย่างไม่ทันรู้สึกตัว แล้ววิ่งโซซัดโซเซออกไป… ด้วยความขลาดของนาง เดิมทีแล้วครานี้นางก็ควรจะรีบวิ่งตาลีตาลานกลับไปร้องห่มร้องไห้กับนางลู่ว่าตนเป็นกังวลเพียงใดแล้ว
แต่เมื่อนางออกมาจากประตูคราวนี้และกลับไปที่ระเบียงทางเดิน ก็เห็นว่าบ่าวไพร่ที่อยู่โดยรอบล้วนถูกเสิ่นจั้งลี่สั่งให้ออกไปหมดยามเขาเข้ามา ก็ไม่รู้ว่านางไปเอาความกล้ามาแต่ทีใด นางดึงปิ่นปักผมบนหัวออกมาอันหนึ่ง แล้วค่อยๆ ย่องไปข้างหลังห้องอย่างแผ่วเบา ใช้ปิ่นแทงหน้าต่างกระดาษบานหนึ่งจนทะลุ รวบรวมสติแล้วตั้งใจฟัง…
นางคิดในใจว่า หากมิใช่เพื่อข้า เหตุใดวันนี้พี่เจ็ดต้องเชิญหลิวรั่วเหยียมา? และก็เพราะข้า พี่เจ็ดจึงคิดจัดงานเลี้ยงต้อนรับรั่วเหยีย เพื่อให้โอกาสนางลอบทำร้ายพี่เว่ย… ปรากฏว่ารั่วเหยียกลับมิได้คารวะสุราพี่เว่ยแต่อย่างใด จนตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเรื่องที่พี่เจ็ดจัดงานเลี้ยงถูกแพร่ออกไป… หากพี่ขายตำหนิพี่เจ็ดด้วยเหตุนี้ มะ…ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้อง…
ยังคิดไม่ทันจบ กลับได้ยินเสียงสนทนาดังมาจากภายในห้อง แต่กลับมิได้รุนแรงเหมือนที่นางคาดเอาไว้
เสิ่นจั้งลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไยเจ้าจึงเลาะเลือนเช่นนี้? ท่านยายยังป่วยอยู่ เจ้าเชิญน้องสาวมาพบปะที่จวนก็ไม่เป็นไร ตั้งโต๊ะเลี้ยงอาหาร จักให้พรั่งพร้อมสักหน่อยก็ดี ไยต้องมีสุราด้วย? เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อครู่นี้ข้าถูกรถม้าของบ้านหลิวรั้งไว้ระหว่างทาง น้องสิบเอ็ดของเจ้าผู้นั้นมาขอบคุณข้าผ่านม่านรถ บอกว่าสุราลิ้นจี่เขียวที่เจ้านำมาต้อนรับนางนั้นไม่เลวเลย?”
นางหลิวยิ้มเจื่อนๆ “ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า ที่วันนี้นำสุรามาต้อนรับนางก็มีเหตุผล ปีนี้สุขภาพของน้องสิบนับวันจะยิ่งย่ำแย่ลง เดิมทีนึกว่าเพราะนางเป็นกังวลเกินไป แต่กลับไม่คิดว่าเมื่อสองวันก่อนพอเชิญท่านอาหวงคนข้างกายของน้องสะใภ้สามมาตรวจดูอาการให้ ก็พบว่าที่แท้แล้วนางโดนพิษ! คนที่ลงมือก็คือนางจาง!”
“ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง?” เสิ่นจั้งลี่ดูคล้ายจะตกใจ จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “หรือว่าจักต้องวางยาลงในสุราให้จงได้? เจ้ากับน้องสิบเอ็ดไม่ถูกกัน นางจะต้องพูดจาส่งเดชไปทั่ว เจ้าไม่คิดถึงเรื่องนี้หรือไร?”
นางหลิวหัวเราะเยาะหนหนึ่ง แล้วพูดอย่างคาดการณ์ไว้แล้วว่า “เขาก็เพียงบอกกับเจ้าเท่านั้น นางและนางจางแม่ของนาง ยามนี้ร่วมใจกันวางแผนจะให้น้องสิบแต่งเข้าตำหนักตะวันออกอยู่นะ! ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากมีเสียงร่ำลือออกไปว่าข้าไม่กตัญญู แล้วตระกูลหลิวจะมีพระชายาองค์รัชทายาทได้อย่างไร? นางบอกกับเจ้าก็เพื่อให้เจ้ากลับมาตำหนิข้า หากพวกเราทะเลาะกันขึ้นมาได้เป็นดีที่สุดและนางจะยิ่งดีใจ หากเป็นผู้อื่น ต่อให้ไปถามนาง นางก็จะไม่ยอมรับหรอก เพราะอย่างไรตนเองก็เป็นบุตรสาวตระกูลหลิว หากบุตรสาวตระกูลหลิวถูกผู้คนครหานินทาว่าไม่กตัญญูไม่มีคุณธรรม แล้วจะมีผลดีใดต่อนางที่ใด? แม้นางจะอายุยังน้อย ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา นางกลับเข้าใจหลักการต่างๆ ดียิ่งนัก”
เสิ่นจั้งลี่แค่นเสียงกล่าว “อายุน้อยๆ เจ้าเล่ห์นับร้อย! คนมีจิตใจไม่ดีงามประเภทนี้ วันหน้าอย่าได้เรียกนางมาอีก หาไม่แล้วจะสอนให้ลูกสาวเราเสียคนหมด!”
“ข้าจักให้นางเข้าใกล้จิ่งเอ๋อร์ได้อย่างไร?” นางหลิวรีบอธิบายว่า “ที่นางมาในวันนี้ ข้าก็สั่งให้จิ่งเอ๋อร์พาพวกน้องๆ ไปเล่นกันในสวนแล้ว”
“นางจางผู้นั้นใจร้ายกับลูกเลี้ยงของตน ทั้งบุตรสาวนางก็ยังเจ้าเล่ห์” เสิ่นจั้งลี่กล่าวว่า “ความคิดอ่านของสองแม่ลูกนี้ล้ำลึกนัก คนเช่นนี้ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เกรงว่าจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีแน่ หากยังคบหากับพวกนาง ต่อให้ระวังตัวเพียงใด ก็ยากจะไม่ต้องรับเคราะห์ไปกับพวกนาง อย่างไรก็ตาม ต่อไปเจ้าไปมาหาสู่กับครอบครัวท่านอาห้าของเจ้าให้น้อยๆ สักหน่อยเป็นดีที่สุด!”
หลิวรั่วอวี้ที่อยู่นอกหน้าต่างได้ยินว่าพี่เขยของตนรังเกียจ ก็อดจะอายจนหน้าแดงก่ำขึ้นมาไม่ได้ ในขณะที่กำลังลังเลว่าจะฟังต่อไปดีหรือไม่ ก็ได้ยินนางหลิวบอกว่า “ก่อนนี้คิดแค่เพียงว่าแม้รั่วเหยียจะเอาอย่างมารดาของนาง จึงได้มีความคิดอ่านที่ไม่ถูกต้อง แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะปากดีถึงปานนี้ ต่อไปจะไม่ให้นางมาแล้ว ส่วนนางจางยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง แต่รั่วอวี้ไม่เหมือนกับพวกนาง… เด็กคนนี้ เจ้าเองก็นับว่าเห็นนางเติบโตมา หาได้มีเล่ห์เหลี่ยมซับซ้อนเช่นสองแม่ลูกนั่นไม่ นางเป็นเด็กที่มีจิตใจดีงาม เสียดายก็แต่…”
เสิ่นจั้งลี่เอ่ยขัดนางขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ “จิตใจดีงามที่ใดกัน? ก็แค่พูดให้น่าฟังสักหน่อยเท่านั้น เด็กคนนี้ใช้การสิ่งใดไม่ได้เลยสักอย่าง! เจ้าปฏิบัติกับนางต่างกับที่เราปฏิบัติต่อจิ่งเอ๋อร์ที่ใด? ตลอดหลายปีมานี้ เจ้าดูสิ นางจะมีราศีได้เท่ากับจิ่งเอ๋อร์ของเราสักนิดก็หาไม่! แต่เพราะนางเป็นน้องสาวเจ้า ข้าจึงพูดลำบาก หากจั้งหนิงเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะใช้กฎของตระกูลปลุกนางให้ได้สติขึ้นมาเสียตั้งนานแล้ว! เจ้าเอาแต่บอกว่าแต่แรกนั้นหากมิใช่ว่าท่านอาสะใภ้ห้าของเจ้าผู้นั้นไปช่วยเจ้า นางก็จะไม่ต้องถูกรังแกมากมายถึงเพียงนี้ แต่ข้ากลับเห็นว่าต่อให้ท่านอาสะใภ้ห้าของเจ้ายังอยู่ นางก็จะไม่ดีไปกว่านี้ได้สักเท่าใด!”
นางหลิวอดจะคับแค้นใจแทนน้องสาวไม่ได้ “หากไม่ได้ถูกรังแกมากมายถึงเพียงนี้ ถูกนางจางนั่นข่มเหงอย่างสาหัส แล้วนางจะกลายเป็นคนอ่อนแอเช่นนี้หรือ? หากท่านอาสะใภ้ห้ายังอยู่ และคอยปกป้องนางเสมือนมุกในฝ่ามือ แล้วนางยังจะไม่มีราศีอย่างคุณหนูตระกูลใหญ่สักหน่อยหรือ?”
“เจ้าลองดูน้องสะใภ้สาม” เสิ่นจั้งลี่ยิ้มเยาะ “ข่าวลือเมื่อปีก่อนลือกันไปเสียจนคนทั้งบ้านเราแทบไม่กล้าออกจากบ้าน! ได้ยินว่าทางเฟิ่งโจวนั้น ป้าของนางนำผ้าขาวผืนยาวไปมอบต่อหน้านาง! ปรากฏว่าจนยามนี้นางกลับยังอยู่ดีมีสุข? เจ้าดูสินับแต่นางแต่งเข้ามาก็ล้วนยิ้มแย้มต้อนรับผู้คน มีท่าทางหดหู่เป็นทุกข์สักน้อยหรือไม่? ตอนแรกมิใช่เจ้าเองก็ยังพึมพำว่าได้มาเป็นสะใภ้ร่วมกับคนเช่นนี้ทำให้ไม่มีหน้าไปพบปะผู้คน แต่ยามนี้นางเรียกเจ้าว่าพี่สะใภ้ เจ้าจักไม่รับได้หรือ? หากไม่รับ ท่านแม่และน้องสามจักไม่มาจัดการเจ้าได้หรือ? ยืนหยัดด้วยตนเอง ต่อให้ผู้อื่นจะเกลียดชังปานใดก็ทำสิ่งใดไม่ได้ หากตนไม่ยืนหยัด ต่อให้ผู้อื่นประคับประคองปานใดก็ทำได้แค่ช่วยต่อลมหายใจให้อีกน้อยนิดเท่านั้น… ข้าจักเตือนเจ้าคำหนึ่ง น้องสิบของเจ้าผู้นี้หากยังคงอ่อนแอขี้ขลาดอยู่เช่นนี้เรื่อยไป ต่อให้เจ้าเลี้ยงนางให้เหมือนกับจิ่งเอ๋อร์สิบคนก็ไร้ประโยชน์!”
“…” ผ่านไปพักใหญ่นางหลิวก็ยังพูดสิ่งใดไม่ออก
หลิวรั่วอวี้ปิดปากตนไว้สุดแรง ปิ่นทองที่กำไว้ในมือพลันมีเลือดสดๆ ไหลลงมา แต่นางกลับไม่รู้สึกเลยสักน้อย… และไม่รู้ว่านางกลับมาถึงห้องที่นางหลิวจัดไว้ให้นางได้อย่างไร นางลู่นั่งเย็บผ้าอยู่ที่หน้าประตูเพียงลำพัง เมื่อเห็นคุณหนูบ้านตนมีน้ำตานองหน้า วิ่งโชซัดโซเซกลับมา จึงรีบวางเข็มกับด้ายลุกขึ้นมาต้อนรับ “คุณหนู…”
“เชอะ!” ไม่คิดว่าหลิวรั่วอวี้ที่เป็นคนอ่อนโยนมาโดยตลอดกลับวิ่งปรี่เข้าห้องไป แล้วก็ปิดประตูเข้าอย่างแรงจนเกือบจะโดนหน้านางลู่!
นางลู่ตกตะลึงเป็นนักหนา เอามือทาบประตูอยากจะผลักเข้าไปแต่กลับพบว่าประตูลงกลอนไว้เสียแล้ว คิดอยากจะร้องเรียกแต่กลับได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่กลับพยายามจะสะกดกลั้นเอาไว้ดังออกมาหนแล้วหนเล่า นางจึงอดจะสงสัยเต็มหัวใจไม่ได้ว่า ‘มิใช่คุณหนูไปคุยธุระกับคุณหนูเจ็ดหรอกหรือ? แล้วเหตุใดจึงกลับมาในสภาพนี้? หรือว่า…หรือว่าถูกคุณหนูเจ็ดต่อว่าเอา?’
นางพลันกลัดกลุ้มขึ้นมา ‘แต่ไรมาคุณหนูก็ตัวคนเดียวไม่มีพี่น้องคอยช่วยเหลือ นางจางก็มองคุณหนูเป็นหอกข้างแคร่คอยทิ่มตำ ส่วนนายท่านนั้นก็เชื่อแต่คำนางจางมาโดยตลอด หาได้รักใคร่คุณหนูไม่! แต่ไรมาก็มีเพียงคุณหนูเจ็ดที่คอยคิดถึงบุญคุณของฮูหยินถึงได้… หากวันนี้แม้แต่คุณหนูเจ็ดก็ยังไม่พอใจคุณหนูเสียแล้ว แล้วจักทำเช่นใดดี?’
นางลู่คิดจะเคาะประตูเรียกหลิวรั่วอวี้ออกมาสอบถามให้ชัดเจน แต่เมื่อนึกย้อนกลับมาก็คิดได้ว่าคุณหนูที่นางคอยดูแลมาจนโตผู้นี้แม้จะถูกแม่เลี้ยงข่มเหงรังแกก็ยังไม่เคยมีอารมณ์ใดๆ แต่ยามนี้ร้องห่มร้องไห้อย่างโศกเศร้าเสียใจอยู่ข้างใน หากยังไปรับกวนนางก็เกรงว่าจะยิ่งทำให้หลิวรั่วอวี้รับไม่ไหว นางลู่อดน้ำตาร่วงไม่ได้ พึมพำไปว่า “คุณหนูผู้น่าสงสาร!”
นางเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูไม่กล้าเข้าไปและไม่กล้าสอบถาม ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ ก็ไม่เห็นว่าเสียงร้องไห้ข้างในจะหยุดลงเสียที นางลู่จึงร้อนรนยิ่งนัก เดินวนเวียนไปมาที่หน้าประตู ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
กำลังคิดว่าจะลองเสี่ยงไปหานางหลิวดูสักหนหรือไม่ ที่สุดเสียงร้องไห้ก็หยุดลง… จากนั้นไมกี่อึดใจ ประตูก็เปิดออกแล้ว หลิวรั่วอวี้ที่อยู่ภายในเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ท่านอา รบกวนท่านตักน้ำมาให้ข้าล้างหน้าแปรงผมสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ!” นางลู่ถอนหายใจยาวๆ พลางแอบขอบคุณสวรรค์อยู่ในใจ แล้วจึงไปตักน้ำมา
เมื่อยกน้ำเข้าประตู ก็เห็นหลิวรั่วอวี้นั่งอยู่ที่ข้างตั่งนอนพร้อมกับดวงตาที่บวมแดงทั้งคู่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย ส่วนเสื้อผ้าผ่านการจัดแจงมาแล้วจึงเรียบร้อยดี มีผ้าพันที่มือขวาอย่างลวกๆ ดูคล้ายมีรอยเลือด แต่สิ่งที่ทำให้นางลู่ประหลาดใจก็คือ สีหน้าของหลิวรั่วอวี้นั้นเย็นยะเยือกเป็นที่สุด นางไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของคุณหนูบ้านตนมาก่อนเลย… มิใช่ว่าตลอดมาคุณหนูเป็นคนอ่อนแอ ใบหน้าซีดขาว และเงียบๆ ไม่พูดจาหรอกหรือ? คุณหนูเจ็ดพูดสิ่งใดกับคุณหนูสิบกันแน่ จึงทำให้หลังจากคุณหนูสิบร้องไห้หนัก แล้วกลับกลายเป็นคนละคนเช่นนี้?
นางลู่บิดน้ำออกจากผ้าและส่งให้นางด้วยความสงสัย เดิมทีคิดจะลองถามดูว่าสีหน้าที่ไม่ปกติของหลิวรั่วอวี้นี้เป็นเพราะบาดแผลที่มือหรือไม่ นางยังคิดไม่ทันจบ หลิวรั่วอวี้รับผ้ามาและกดไว้บนหน้าอยู่พักใหญ่จึงเอาลงมา จู่ก็ถามว่า “กุ้ยหว่า กับเยวี่ยหว่าเล่า?”
กุ้ยหว่าและเยวี่ยหว่าเป็นคนที่นางจางส่งมาให้รับใช้หลิวรั่วอวี้ จึงมีนางจางคอยถือหางอยู่ ทั้งหลิวรั่วอวี้ยังเป็นคนมีนิสัยเชื่องช้า พวกนางจึงมักจะเพิกเฉยต่อหลิวรั่วอวี้ ในนามแล้วพวกนางเป็นสาวใช้ของหลิวรั่วอวี้ แต่ความจริงแล้วทุกเรื่องล้วนผลักภาระมาให้นางลู่เป็นคนทำ วันๆ เอาแต่คอยขโมยกินขโมยของเล็กๆ น้อยๆ ของคุณหนูหลิวรั่วอวี้ผู้นี้ เวลาว่างๆ ไม่มีสิ่งใดทำก็ยังชอบเอาเรื่องต่างๆ ไปฟ้องนางจาง ให้นางจางมีข้ออ้างไปหาเรื่องหาราวลูกเลี้ยง
แม้จะมาที่บ้านเสิ่น ยามมีนางหลิวอยู่พวกนางไม่อาจแสร้งทำเป็นหางานทำสักเล็กน้อย แต่ยามไม่ได้อยู่ต่อหน้านางหลิวก็พากันวิ่งออกไปแอบอู้งาน เช่นวันนี้ก็มีเพียงนางลู่ผู้เดียวอยู่ที่หน้าประตู ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าพวกนางคงจะไปหลบอยู่ที่มุมใดสักมุมหนึ่ง
เรื่องนี้ทั้งนางลู่และหลิวรั่วอวี้ล้วนรู้อยู่เต็มอก แต่ด้วยความหวาดกลัวนางจาง ตลอดมาจึงไม่เคยพูดไม่เคยเอ่ยถึงและปล่อยพวกนางไป แต่ยามนี้จู่ๆ หลิวรั่วอวี้ก็เอ่ยถามขึ้นมา นางลู่จึงอดประหลาดใจไม่ได้ “พวกนาง…” ในขณะที่กำลังคิดว่าจะบอกอย่างไรจึงจะไม่ทำให้หลิวรั่วอวี้เสียหน้าอยู่นั้น ก็ได้ยินหลิวรั่วอวี้กล่าวอย่างเย็นชาว่า “บอกว่าเป็นสาวใช้ของข้า แต่ทั้งวันกลับไม่เห็นหัว! ข้าว่าพวกนางก็อายุมากแล้วคงจะอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ในเมื่อเป็นคนของท่านแม่ จึงไม่ควรให้ล่วงเลยวัยสาวของพวกนางไปเปล่าๆ! หลายวันก่อนคล้ายได้ยินว่าพ่อบ้านหลินที่เรือนนอกกำลังอยากจะหาสะใภ้ดีๆ ให้บุตรชายของเขามิใช่รึ? พ่อบ้านหลินเป็นบ่าวสูงวัยของบ้านเรา หากจะบอกว่าเขาเคยทำงานลำบากและมีคุณงามความดีก็คงไม่เกินไป ข้าว่าก็ยกพวกนางให้แก่บุตรชายพ่อบ้านหลินไปเสียทั้งหมดดีกว่า!”
นางลู่ตกตะลึงไปเป็นนาน จึงได้กล่าวว่า “บุตรชายของพ่อบ้านหลินนั้น…ออกจะเป็นคนเลาะเลือนนะเจ้าคะ?” เลอะเลือนเช่นใด? พ่อบ้านหลินเคยเป็นเด็กรับใช้ของนายท่านห้า บิดาของหลิวรั่วอวี้มาแต่เล็กจนโต หลังจากแต่งงานแล้วก็มาเป็นพ่อบ้าน และกุมอำนาจมาจนถึงปัจจุบัน ได้รับความเชื่อใจจากนายท่านห้าตระกูลหลิวเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่นางจางก็ยังเกรงอกเกรงใจเขายิ่ง
พ่อบ้านหลินผู้นี้มีบุตรธิดาทั้งหมดสี่คน สามคนแรกล้วนเป็นหญิง กว่าจะได้บุตรชายมา ก็ยังต้องแลกมาด้วยชีวิตของภรรยา! บุตรชายที่มิใช่ได้มาง่ายๆ เช่นนี้ พ่อบ้านหลินย่อมจะทะนุถนอมรักใคร่เขาเป็นนักหนา แต่แล้วบุตรชายผู้นี้กลับบุญน้อยนัก ด้วยอาการไข้หนักหนหนึ่งตอนอายุสามขวบ พ่อบ้านหลินคุกเข่าขอร้องต่อนายท่านห้าตระกูลหลิวให้ออกหน้าไปเชิญแพทย์หลวงมารักษาที่จวน ทว่าแม้จะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่สติปัญญากลับหยุดอยู่ที่อายุสามขวบ
ไม่เพียงเท่านั้น แม้บุตรชายสกุลหลินผู้นี้จะไม่รู้ความก็ส่วนไม่รู้ความ แต่ร่างกายกลับแข็งแรงกำยำ มีเรี่ยวแรงมหาศาล… เขาชอบตีคนนัก ชอบตีจนถึงขึ้นที่เมื่อสองปีก่อน ภรรยาที่บ้านฝั่งแม่ของเขาขืนเอาบุตรสาวของตนแต่งเข้าบ้านมาด้วยเห็นแก่สินสอดทองหมั้นถูกเขาตีจนตายไปสามคน เคราะห์ดีที่ในเมื่อบ้านทั้งสามบ้านนั้นกล้าทำเรื่องขายลูกสาวกินออกมาได้ เมื่อได้รับเงินทองจากพ่อบ้านหลินไปแล้วเรื่องก็เงียบลง แม้ว่าจะเป็นถึงขั้นนี้แล้ว ตอนนี้พ่อบ้านหลินก็ยังคงคิดจะหากภรรยาให้แก่เขาต่อไปเพื่อจะได้มีคนจุดธูปเทียนกราบไหว้ให้สกุลหลิน แต่กลับไม่มีใครตกปากรับคำ… แม้ผู้เป็นพ่อแม่จะไม่คำนึงถึงความเป็นตายของลูกสาว แต่คนเป็นลูกสาวก็ยอมผูกคอตายในบ้านเสียดีกว่าจะถูกตีตายทั้งเป็นๆ เมื่อแต่งเข้าบ้านไปแล้ว…
ยามนี้หลิวรั่วอวี้จะมอบกุ้ยหว่ากับเยวี่ยหว่าให้เขาไป ก็เท่ากับคิดจะให้พวกนางไปตาย แม่นางลู่จะไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูบ้านตนจู่ๆ ก็กลายเป็นคนจิตใจโหดร้านเช่นนี้ แต่ด้วยความหวาดกลัวนางจาง จึงยังบอกไปว่า “เกรงว่าบุตรชายของพ่อบ้านหลินจะไม่ใคร่เหมาะสักเท่าใดนะเจ้าคะ”
หลิวรั่วอวี้กลับหัวเราะหยันว่า “มีเรื่องใดไม่เหมาะ? ก็เพราะว่าบุตรชายคนเล็กของพ่อบ้านหลินมีปัญญาไม่สมประกอบ ลำพังแค่ภรรยาคนเดียวจะพอดูแลเขาได้อย่างไร? หากมีสองคนก็จะทำให้พ่อบ้านหลินวางใจได้สักหน่อย จักได้ตั้งใจทำงานให้ท่านพ่อยิ่งกว่าเก่า! อีกประการกุ้ยหว่าและเยวี่ยหว่าเอาแต่วิ่งไปข้างนอกทั้งวัน จิตใจเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว หากยังขืนอยู่ข้างกายข้าก็ไม่ยุติธรรมกับพวกนาง มิใช่หรือ?”
นางลู่ยิ้มเจื่อน เหตุใดจึงบอกว่าสองคนแล้วจักทำให้พ่อบ้านหลินวางใจได้สักหน่อย? นางลู่เคยเห็นมากับตายามที่บุตรชายพ่อบ้านหลินผู้นั้นคลุ้งคลั่ง เพียงหมัดเดียวก็สามารถทำให้ท่อนไม้ที่หนาเท่าปากชามหักเอาได้ง่ายๆ เพียงอึดใจเดียวชกจนหักไปเจ็ดแปดท่อนเขาก็ยังไม่หอบเลยแม้แต่น้อย… ที่คุณหนูเท่าเช่นนี้เพราะกลัวว่ากุ้ยหว่าและเยวี่ยหว่าเพียงคนเดียวจะไม่พอให้บุตรชายพ่อบ้านหลิวผู้นั้นตีตายเสียมากกว่า?
“ตกลงตามนี้ ท่านอา ท่านอย่าเพิ่งพูดสิ่งใด รกจนพวกเรากลับไปก่อน แล้วก็เอาคนไปส่งที่พ่อบ้านหลินทางนั้น แล้วพวกเราจึงค่อยกลับบ้าน!” หลิวรั่วอวี้เอาผ้าเช็ดหน้าทิ้งลงในอ่านน้ำ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ก็เป็นคนเหมือนๆ กัน แล้วถือดีอย่างไรที่ผู้อื่นทำได้ แล้วข้าจะทำไม่ได้… ท่านอา ท่านว่า ใช่หรือไม่?”
นางลู่จ้องมองนางอย่างตกตะลึง อยากจะพูดบางสิ่ง แต่หลิวรั่วอวี้กลับดึงมุ้งลงมาปิดตั่งนอนไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ท่านอาออกไปก่อนเถิด”
_________________________________