ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 37 นกแก้วที่น่าสงสาร
ดังนั้นแล้วพอกลับเข้ามาภายในห้อง เว่ยฉางอิ๋งจึงจงใจไม่แม้แต่จะมองเสิ่นจั้งเฟิงสักหน แล้วเข้าไปนอนในมุ้ง
เสิ่นจั้งเฟิงเห็นดังนั้นจึงตามเข้าไป ทั้งสองคนเอะอะกันอยู่พักใหญ่ เว่ยฉางอิ๋งจึงจูบที่แก้มเขาไปอย่างไม่เต็มใจหนหนึ่ง… เสิ่นจั้งเฟิงถึงยอมเล่าเรื่องอย่างละเอียดให้ฟัง ที่แท้เหนียนเซิงเล่อตั้งชื่อกลอนบทนี้ว่า ‘กลอนคะนึงถึงสามี’ ทว่าวันนั้นในเรือนของบ้านหมิ่นมีสตรีอยู่เพียงคนเดียว ดังนั้นแล้วบ่าวบ้านหมิ่นจึงไม่จำเป็นต้องสอบถามที่หลังเรือนว่าผู้ที่เหนียนเซิงเล่อเห็นนั้นคือผู้ใด
ปัญหาก็คือ สตรีตระกูลหมิ่นผู้นี้ก็เป็นคุณหนูตระกูลหมิ่น จนยามนี้ก็ยังมิได้หมั้นหมาย เหนียนเซิงเล่อแอบมองนางจากนอกเรือนก็แล้วไป แต่กลับไปแต่ง ‘กลอนคะนึงถึงสามี’ ให้นางเพราะเห็นนางขึ้นไปทอดตามองอยู่บนอาคาร บ่าวบ้านหมิ่นรู้เรื่องเข้ามีหรือจะไม่ชกเขา?
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวว่า “คุณหนูหมิ่นผู้นี้ก็น่าสงสารเสียจริง ก็เพียงแค่ขึ้นไปชมทิวทัศน์ยามฤดูใบไม้ผลิแต่กลับถูกเขาล่วงเกินเอาเช่นนี้… หากมิได้พบเจ้าเข้าไปช่วยประนีประนอม เหนียนเซิงเล่อผู้นี้ไปให้ร้ายหญิงสาวชาวบ้านที่ยังมิได้ออกเรือน หากบิดาและพี่ชายนางรู้เข้า ไม่ตีขาเขาจนหักก็แปลกแล้ว!”
เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัวยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “ก็มิใช่ว่าเป็นเพราะเห็นแก่หน้าข้าเสียทั้งหมด แต่เป็นเพราะเขาดวงดีด้วย คุณหนูหมิ่นผู้นี้แม้จะเป็นหลานยายฝั่งตระกูลตวนมู่ ทว่าบิดาของนางหมิ่นจือเสียเกิดในตระกูลหมิ่นในสายเล็กๆ หากนับกันแล้วก็เป็นเพียงตระกูลระดับติ่งเท่านั้น หมิ่นจือเสียเองยังเป็นลูกหลานในสายห่างๆ ของตระกูลหมิ่น บรรพบุรุษตกอับ ในบ้านไร้สมบัติใดๆ มีเพียงแต่ชื่อเสียงว่าเป็นลูกหลานตระกูลมีชื่อเท่านั้น ในวัยหนุ่มเขายากจนข้นแค้นนัก ภายหลังได้ร่ำเรียนหนังสือ เมื่อสำเร็จแล้วจึงเข้าไปฝากตัวกับตระกูลต่างๆ ในเมืองหลวง ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลตวนมู่ และยกบุตรสาวให้เป็นภรรยาเขา ทั้งยังผลักดันให้เข้าทำงานในวัง จึงได้มีหน้ามีตาขึ้นมา เพราะคนผู้นี้เคยได้รับความยากลำบากจากความยากจนเมื่อครั้งวัยหนุ่ม ต้องหาทางร่ำเรียนอย่างยากลำบากท่ามกลางคำถากถางของผู้คนจึงสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงใจกว้างยิ่งนักกับพวกบัณฑิตไม่ว่าจักยากดีมีจนเช่นใด ดังนั้นเมื่อท่านเหนียนล่วงเกินบุตรสาวของเขา บ่าวบ้านเขาจึงเห็นแก่ที่นายของตนให้ความสำคัญกับบัณฑิตจึงมิได้ไปไล่เรียงเอาความมากนัก หากเป็นคนบ้านอื่นแล้ว เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของหญิงสาวเช่นนี้ ไม่ส่งเขาให้ทางการหรือจะเป็นไปได้? ต่อให้ข้าและพี่ชายแซ่หมิ่นของนางจะนับว่าเป็นสหายกัน ก็ยังไม่อาจปรามอยู่เลย”
ทั้งสองคนพากันหัวร่อต่อกระซิกอีกสองสามประโยด จากนั้นจึงเข้านอน
วันต่อมา เสิ่นจั้งเฟิงเข้าวังไปทำงาน เว่ยฉางอิ๋งก็ไปเข้าพบฮูหยินซูตามธรรมเนียม
หลังจากพักผ่อนดีๆ หนึ่งคืน สีหน้าของฮูหยินซูก็ดีขึ้นมาก เมื่อรับชาโสมที่ลดน้ำผึ้งลงเล็กน้อยจากเว่ยฉางอิ๋งแล้วจิบไปหนึ่งอึกก็พยักหน้าน้อยๆ แสดงว่าพึงพอใจ
บรรดาสะใภ้พากันเข้ามากล่าวคำชมเชยฮูหยินซู เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของฮูหยินซูไม่เลว นางหลิวจึงเอ่ยถามว่า “วานนี้สะใภ้กลับลืมถามไปเสียได้ ว่าน้องสี่มิได้กลับมากับท่านแม่หรือเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินแล้วก็แอบรู้สึกผิดในใจ นางเพิ่งจะแต่งเข้าบ้านไม่ถึงสามวันฮูหยินซูก็พาบุตรสาวไปดูแลแม่เฒ่าเติ้งที่บ้านตระกูลซูแล้ว เว่ยฉางอิ๋งยังมิทันคุ้นเคยกับบรรยากาศต่างๆ ในบ้านเสิ่น… นี่คงมิใช่เพราะ… นิสัยชอบหาเรื่องหาราวของเสิ่นจั้งหนิง คนตัวโตเพียงนั้นไม่ได้กลับมากลับฮูหยินซู แต่นางกลับมิได้นึกถึงเลย…
เมื่อเทียบกันแล้ว วันนี้นางหลิวและนางตวนมู่เพิ่งจะมาสอบถามดู ก็เพราะเย็นวานนี้สะใภ้ทั้งสามทะเลาะกัน จึงยังไม่สบโอกาสถาม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ก็ยังเป็นนางหลิวที่ชิงเอ่ยถามถึงน้องสามีตัวน้อยเสียก่อน
เพียงแต่ว่า แม้เสิ่นจั้งหนิงจะเป็นบุตรสาวคนเล็กของฮูหยินซู แต่…
เมื่อได้ยินคำว่า ‘น้องสี่’ คำนี้ ฮูหยินซูที่เดิมทีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็พลันหม่นลงไปทันใด แล้วยิ้มเยาะพลางว่า “เจ้าตัวแสบนั้นไม่กลับมาเป็นดีที่สุด! วานนี้หากมิใช่ท่านยายและท่านป้าท่านน้าสะใภ้ของพวกเจ้ารั้งตัวข้าไว้ ข้าก็คงจะตีขานางจนหักไปแล้ว!”
ทุกคนพากันกล่าวเตือนฮูหยินซูว่าอย่าได้มีโทสะ เพื่อมิให้เจ็บป่วยเอาได้ นางหลิวทำท่าโทษตัวเองคราวหนึ่งว่า “เป็นสะใภ้ไม่ดีเองเจ้าค่ะ ทั้งที่รู้ว่าท่านแม่เพิ่งจะกลับมาจากบ้านซู แต่ยังเอ่ยถึงเรื่องที่ทำให้ท่านแม่โมโห!” แล้วก็พูดแทนเสิ่นจั้งหนิงว่า “น้องสี่อายุยังน้อย ทั้งเป็นคนไร้เดียวสายังไม่รู้ความ หากมีสิ่งใดที่ทำให้ท่านแม่เดือดร้อนใจ ท่านแม่โปรดอย่าได้ถือสานางเลยเจ้าค่ะ อย่างไรเสียน้องสี่ก็ยังเล็ก รอให้โตอีกสักนิด นางก็จะสำรวมเป็นกุลสตรีเองนั่นล่ะเจ้าค่ะ จะว่าไปครั้งพวกเราอายุเท่าน้องสี่ก็คอยทำให้พวกญาติผู้ใหญ่ในบ้านเป็นห่วงอยู่ทั้งวันเช่นกันเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูกล่าวอย่างมีน้ำโหว่า “นางยังเล็กอยู่อันใดกัน? นี่ก็ถึงอายุที่ควรหมั้นหมายแล้ว ตั้งแต่เช้าจนค่ำไม่รู้จักเรียนรู้เรื่องดีๆ เลย! สองสามวันก่อนก็ไปเรียนแต่งหน้าน้ำตาเลือดอะไรนั่นกับอวี๋เฟยและอวี๋อิน ดีที่ข้ามาเห็นตอนกลางวัน! หากไปเจอเข้าตอนกลางคืน ข้าจะคิดว่านางจงใจทำให้ข้ากลัวทีเดียว! สองวันมานี้เห็นว่านางพอจะเชื่อฟังขึ้นมาบ้าง ตัวข้าเองก็เหนื่อยล้า จึงมิได้สนใจนางนัก… ปรากฏว่าพอละเลยนาง นางก็วิ่งไปก่อเรื่องเสียแล้ว!”
บรรดาสะใภ้ย่อมพากันพูดหนแล้วหนเล่าว่าขอให้นางอย่าได้เคืองโกรธ รอจนฮูหยินซูคลายความโกรธลงแล้ว จึงได้สอบถามรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น
“หลายปีก่อน ครั้งชิงโจวส่งของมายังเมืองหลวง ได้นำนกแก้วปีกหลากสีหางยาวที่มีเพียงในดินแดงรกร้างทางใต้เท่านั้นมาสิบตัว พวกมันมีปีกหางหลากสีงดงามนัก ทั้งยังเลียนเสียงได้คล่องแคล่วรวดเร็วผิดกับนกแก้วธรรมดา เพียงแต่นกแก้วชนิดนี้คุ้นเคยกับถิ่นกำเนิดที่มีสภาพร้อนชื้นในดินแดนใต้ เมื่อออกมาจากดินแดนใต้จึงไม่คุ้นกับสภาพอากาศ ระหว่างทางนกแก้วสิบตัวตายไปแปดตัว ยามถึงเมืองหลวงจึงเหลือรอดมาเพียงสองตัว ท่านยายของพวกเจ้าเก็บเอาไว้ลองเลี้ยงเองหนึ่งตัว อีกตัวหนึ่งมอบให้อวี๋อู่ลูกผู้น้องห้าของพวกเจ้า” ฮูหยินซูดื่มชาโสมไปอึกหนึ่ง แล้วพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “หลังจากนั้นปรากฏว่า นกแก้วตัวที่ท่านยายของพวกเจ้าเลี้ยงไว้ก็มาตายลง กลับเป็นตัวที่มอบแก่ลูกผู้น้องห้าของพวกเจ้าที่ถูกเขาเลี้ยงดูจนค่อยๆ มีเรี่ยวแรงขึ้นมา และอยู่รอดมาจนยามนี้!”
พวกของนางหลิวทั้งสามคนรู้สึกว่าไม่ใคร่ดี จึงลองถามไปว่า “เช่นนั้น… ยามนี้นกแก้วตัวนั้น?”
“เจ้าตัวแสบนั่นอยากกินตุ๋นลิ้นนกแก้ว แล้วก็เกี่ยงว่าหากคนครัวเอานกแก้วธรรมดามาทำก็จะธรรมดาเกินไป จะ…จึงไปหมายตาเอานกแก้วตัวนั้น!” เมื่อถึงตรงนี้ฮูหยินซูพูดขึ้นมาก็รู้สึกเสียหน้าเป็นที่สุด แล้วพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ลิ้นนกแก้วมันจะใหญ่สักเท่าใดกัน? แล้วนกแก้วหนึ่งตัวก็มีลิ้นเพียงอันเดียว! นางก็ยังพยายามวิ่งไปที่บ้านสามแล้วไปขโมยนกแก้วตัวนั้นออกมาแล้วบังคับให้ห้องครัวทำให้นางกิน!
แล้วมันน่าสลดใจเหลือเกินที่นางไปเจอลิ้นนกแก้วเพียงอันเดียวนั้นอยู่ในจาน! แต่แรกนั้น เพื่อเลี้ยงดูนกแก้วตัวนั้นให้มีชีวิตรอด ไม่รู้ว่าอวี๋อู่ไปค้นตำรามากี่มากน้อย ทั้งยังไปขอคำชี้แนะจากผู้ดูแลเลี้ยงดูสัตว์ปีกสองสามคนในสวนนกในวังหลวงด้วยตนเอง… แล้วปีก่อนก็เพิ่งจะไล่สาวใช้ข้างกายสองคนไป เพราะพวกนางไม่ตั้งใจดูแลนกแก้วตัวนี้ให้ดี ปรากกฎว่าเจ้าตัวแสบนี่… วันก่อนหลังจากอวี่อู่รู้เรื่องก็รีบไปที่ห้องครัว เมื่อเห็นกองขนอยู่ที่มุมมุมหนึ่ง ก็เสียใจจนเอาแส้เฆี่ยนคนครัวไปหลายหน ดีที่ได้ท่านน้าสะใภ้สามของพวกเจ้ารีบไปยั้งเขาเอาไว้!”
“ไม่เพียงเท่านี้ อวี๋อู่โกรธก็เพราะตอนที่เจ้าตัวแสบเอานกแก้วส่งไปที่ห้องครัว แต่กลับไม่มีใครไปรายงานแก่เขา จึงเอะอะจะไล่ทุกคนในครัวออกไปให้หมดให้จงได้ ท่านยายของพวกเจ้ากลัวว่าเขาจะโมโหจนป่วย จึงออกปากรับคำเขาไป… แต่แม่บ้านในห้องครัวเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้า น้าสะใภ้สามของพวกเจ้าจึงวางตัวลำบาก จึงต้องไปขอขามกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าอีก ทั้งยังต้องไปอธิบายกับท่านยายของพวกเจ้าอีก…”
ฮูหยินซูกุมขมับ “เดิมทีที่ท่านยายของพวกเจ้าล้มป่วยมาหลายวันนี้ คนทั้งบ้านบ้านซูก็วุ่นวายกันพออยู่แล้ว! สู้อุตส่าห์เฝ้ารอจนถึงวันที่รักษาหาย ทุกคนในบ้านล้วนพากันโล่งใจ และต่างก็ว่ากันว่าต่อไปคงจะได้สบายใจกันได้เสียที เจ้าตัวแสบนี้กลับก่อเรื่องเช่นนี้ออกมา จนทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างท่านป้าสะใภ้ใหญ่และท่านน้าสะใภ้สามของพวกเจ้า! ยามนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะไปอธิบายกับท่านลุงและท่านน้าทั้งสองคนของพวกเจ้าว่าอย่างไร!”
แล้วกล่าวอย่างเคืองโกรธว่า “หลายวันก่อนยามข้าถูกป้าสะใภ้และน้าสะใภ้ของนางรั้งตัวเอาไว้ ข้าก็บอกไปว่ากลับไปจักต้องจัดการนางให้สาสม! ไม่คิดว่าเจ้าตัวแสบยังโอหังอวดดีถึงเพียงนี้ วานนี้ยามข้ากลับมา ไม่ว่าจะหานางอย่างไรก็หาไม่พบ ปรากฏว่านางไปแอบอยู่ในห้องของอวี๋เฟยโน่น! ข้าให้แม่นมถาวเข้าไปหาตัว เจ้าตัวแสบก็กระโดดโหย่งเหยงวิ่งไปหาท่านยายของพวกเจ้า แล้วร้องห่มร้องไห้พลางฟ้องว่าหากกลับไปจะต้องถูกข้าตีอย่างหนักแน่ๆ… ท่านยายของพวกเจ้าก็เป็นคนขี้ใจอ่อนมาแต่ไร จึงปกป้องนางขึ้นมาในทันที และบอกให้ข้ากลับไปคนเดียวก่อน… จะ…เจ้าตัวแสบนี่!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮูหยินซูก็หน้าดำคร่ำเครียด แล้วตบโต๊ะแรงๆ ไปหนหนึ่ง!
ก็มิน่าเล่าที่ฮูหยินซูโมโห… เรื่องที่ล่วงเกินคนในบ้านมารดานั้นยังเป็นเรื่องรอง ปีนี้เสิ่นจั้งหนิงก็อายุสิบสี่แล้ว แม้นางจะเป็นบุตรสาวคนสุดท้อง แต่ผู้ที่เป็นบิดามารดาย่อมหวังให้นางมาอยู่ปรนนิบัติ อีกไม่กี่ปีก็ถึงวัยที่ควรเอ่ยถึงเรื่องหมั้นหมายแล้ว หญิงสาวที่ใกล้จะหมั้นหมายย่อมไม่อาจมองนางเป็นเด็กน้อยได้อีก ปรากฏว่านางยังทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ออกมา… แม้บ้านซูจะเห็นแก่หน้าตาของญาติพี่น้องจึงไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป แต่บุตรสาวที่ก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ฮูหยินซูเองจึงยังไม่วางใจอนุญาตให้นางออกไปอยู่ที่อื่น!
เดิมทีบรรดาสะใภ้ยังคาดเดากันไปทำนองว่าเสิ่นจั้งหนิงแค่เพียงถอนขนของนกแก้วตัวนั้น จึงพากันเตรียมคำปลอบใจประมาณว่า “ผ่านไปสักสองสามวันก็ลองดูว่าขนจะงอกออกมาอีกหรือไม่” “ก็เพียงแค่หางและขนไม่กี่อัน ลูกผู้น้องห้าเป็นคนใจกว้างมาแต่ไร คงจักไม่ถือสาหรอก” เอาไว้ คิดไม่ถึงว่าน้องสามีตัวน้อยผู้นี้จักอาจหาญถึงเพียงนี้ ถึงขั้นเอานกแก้วแสนรักของลูกผู้พี่ไปห้องครัวเพื่อทำอาหารกิน!”
สะใภ้ทั้งสามซึ่งต่างก็มีฝีปากคล่องแคล่วต่างพากันนิ่งเงียบไปพักใหญ่ นางหลิวจึงฝืนยิ้มแล้วว่า “นะ…ในเมื่อนำนกแก้วมาจากชิงโจว หรือว่าครานี้จะเขียนจดหมายกลับไปที่ชิงโจว บอกว่าปลายปียามทางนั้นส่งของมา ยังสามารถนำมาอีกสักตัวได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ฮูหยินซูถอนหายใจบอกว่า “ครานั้นที่ส่งนกแก้วมา พวกเจ้ายังไม่ได้เข้าบ้าน จึงไม่รู้ว่า ในดินแดนรกร้างทางใต้ก็มีนกแก้วชนิดนี้อยู่ไม่มาก ทั้งยังจับได้ยาก คราก่อนรวบรวมมาได้สิบตัวจึงคิดจะลองส่งมาดู ทว่าระหว่างทางก็ตายไปแปดตัว ตัวที่ท่านยายของพวกเจ้าเก็บเอาไว้ก็เลี้ยงไม่รอด หากว่าได้มาน้อยกว่าสิบตัว ก็เกรงว่าพอออกเดินทางก็จะเสียเที่ยวเปล่า! ยิ่งไปกว่านั้นคราก่อนที่ท่านยายของพวกเจ้ามอบนกแก้วตัวนั้นให้แก่ลูกผู้น้องห้าซึ่งมีผลการาสอบดีที่สุด พวกลูกผู้น้องคนอื่นๆ ของพวกเจ้าทั้งชายหญิงต่างพากันน้อยอกน้อยใจยิ่ง ดังนั้นท่านยายของพวกเจ้าจึงเคยให้ค่ำมั่นว่า หากทางชิงโจวสามารถส่งนกแก้วมาให้อีก ก็จะแบ่งให้แก่คนอื่นๆ และลูกผู้น้องห้าของพวกเจ้าก็จะไม่มีสิทธิ์แล้ว… นอกจากเสียจากว่ามีเหลือจากคนอื่นๆ แล้วเท่านั้น ดังนั้นเรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”
หลานสาวคนโตเสิ่นซูจิ่งอายุสิบขวบ นับไปแล้วนางหลิวก็แต่งงานมาสิบเอ็ดปีแล้ว… ซึ่งเท่ากับเวลาที่เลี้ยงดูนกแก้วตัวนั้นมา เพียงคิดก็รู้ได้ว่าความผูกพันที่ซูอวี๋อู่มีต่อนกแก้วตัวนั้นจะลึกซึ้งปานใด! ก็มิน่าเล่าที่วานนี้เสิ่นจั้งหนิงไม่กล้ากลับมาพร้อมกับมารดา เพื่อเป็นการให้คำตอบบางอย่างแก่บ้านฝั่งมารดาของฮูหยินซู หลังจากนางกลับมาจึงไม่มีทางไม่ตีเสิ่นจั้งหนิงให้หลาบจำสักหน!
แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เสิ่นจั้งหนิงจะอยู่ที่บ้านซูตลอดไป ในเมื่อเวลานี้ฮูหยินซูมีท่าทีชัดเจนว่าจะต้องสั่งสอนบุตรสาวผู้นี้อย่างหนักหน่วง ดังนั้นย่อมต้องเป็นบรรดาสะใภ้เป็นคนจัดการหาช่องทางให้เสิ่นจั้งหนิงกลับมา ว่าแล้วทุกคนจึงพากันพูดคนละคำสองคำเพื่อหาวิธีชดเชยให้แก่ซูอวี๋อู่ และโน้มน้าวให้ฮูหยินซูให้อภัยแก่เสิ่นจั้งหนิง.. นางหลิวจึงว่า “อีกสองวันก็จะเป็นวันเกิดของน้องสะใภ้สาม พวกเรามิสู้ไปรับน้องสี่กลับมาก่อน ให้นางตระเตรียมของขวัญสักชิ้นเอาไว้ รอจนถึงงานเลี้ยงวันเกิดของน้องสะใภ้สาม ลูกผู้น้องห้าก็จะต้องมาด้วย พอถึงยามนั้น ก็ให้น้องสี่ยกสุราขอขมาลูกผู้น้องห้าต่อหน้าทุกคน ลูกผู้น้องห้าจักได้คลายความโกรธนี้ไป เป็นเช่นไรเจ้าคะ?”
นางตวนมู่ก็ว่า “อย่างไรก็เป็นลูกผู้พี่ลูกผู้น้องกันแท้ๆ แม้ลูกผู้น้องห้าจะชอบนกแก้วตัวนั้นเพียงใด อย่างไรก็เป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่ง แล้วจะเทียบกับญาติพี่น้องได้อย่างไรกัน? แม้ตอนนั้นจะโมโห อีกวันสองวันต่อมาก็เกรงว่าจะหายโกรธแล้วเจ้าค่ะ”
พอถึงตาเว่ยฉางอิ๋งกำลังจะพูด นางตวนมู่พลันกรอกตาไปส่งสายตากับนางหลิวคราหนึ่ง จากนั้นก็พากันส่งเสียงอ่ะออกมา แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากไว้ครึ่งหนึ่ง กล่าวว่า “สะใภ้กลับลืมไปว่า ท่านอาหญิงแท้ๆ ของน้องสะใภ้สามก็มิใช่มารดาของลูกผู้น้องห้าหรอกหรือเจ้าคะ? แต่ไรผู้เป็นอาหญิงย่อมเอ็นดูหลานชายหลานสาวเป็นที่สุด ยามนี้ท่านแม่ก็มิใช่ว่ากำลังสงสารลูกผู้น้องห้าอยู่หรือเจ้าคะ? ลูกผู้น้องห้าเป็นคนกตัญญู เมื่อคิดว่าท่านน้าสะใภ้สามจักต้องเห็นแก่หน้าของน้องสะใภ้สาม เรื่องนี้หากให้น้องสะใภ้สามเป็นคนไปพูด ก็จักต้องสำเร็จแน่นอนเจ้าคะ!”
นางหลิวยิ้มอ่อนๆ พลางว่า “หากเจ้าไม่พูดข้าก็เกือบจะลืมแล้ว! จะว่าไปในเมื่อลูกผู้น้องห้าต้องเรียกน้องสะใภ้สามว่าพี่สะใภ้ทั้งยังต้องเรียกว่าลูกผู้พี่ ย่อมต้องสนิทกันมากกว่าเราสองคนที่เป็นพี่สะใภ้ เพียงแต่ยามนี้น้องสะใภ้สามยังอยู่ในบ้านไม่ทันครบเดือนเลย ทั้งยังไม่ควรออกจากบ้าน แล้วจะไปพูดกับท่านน้าสะใภ้สามให้ช่วยพูดกับลูกผู้น้องห้าให้ได้อย่างไรเล่า?”
นางตวนมู่ยิ้ม “เวลานี้สุขภาพของท่านยายเพิ่งจะดีขึ้นมา ท่านน้าสะใภ้สามย่อมไม่อาจปลีกตัวมาได้! แต่สามารถเชิญลูกผู้น้องห้ามาที่จวน ให้น้องสะใภ้สามออกหน้าพูด… ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่น้องสะใภ้สามได้พบกับลูกผู้น้องห้า อย่างไรเสียลูกผู้น้องห้าจักต้องให้เกียรติน้องสะใภ้สามแน่ๆ”
แล้วหันไปบอกกับฮูหยินซูที่กำลังนิ่งเงียบไม่พูดจาอีก “ท่านแม่เจ้าคะ ตอนนี้นกแก้วก็ถูกกินไปแล้ว ทั้งยังไม่อาจนำอีกตัวจากชิงโจวมาชดเชยให้แก่ลูกผู้น้องห้า หรือต่อให้นำจากชิงโจวมาได้แล้วนำมามอบให้ลูกผู้น้องห้า แต่ก็มิใช่ตัวที่เคยเลี้ยงมาสิบกว่าปีตัวนั้น พูดไปพูดมา พวกเราก็ทำได้เพียงหาทางชดเชยให้แก่ลูกผู้น้องห้าอย่างเต็มกำลัง… แต่ลูกผู้น้องห้าเป็นคนกตัญญูต่อผู้ใหญ่มาแต่ไร หากท่านแม่ไปถาม ลูกผู้น้องห้าจะต้องบอกว่าเขาหาได้ต้องการสิ่งใด และไม่ไล่เรียงเอาความอีก แต่เรื่องที่ไม่เอาความก็ส่วนไม่เอาความ แต่ลูกผู้น้องห้าจักต้องยังเศร้าเสียใจอยู่ หากให้น้องสะใภ้สามออกหน้าช่วยประนีประนอมไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้จบลงด้วยดี ก็มิใช่เป็นการลดความกระอั่กกระอ่วนใจระหว่างท่านป้าสะใภ้ใหญ่และท่านน้าสะใภ้สามหรอกหรือเจ้าคะ?”
พี่สะใภ้ทั้งสองคน คนหนึ่งส่งคนหนึ่งรับ เว่ยฉางอิ๋งไม่อาจพูดแทรกได้เลย เดิมทีหากเพียงไปปลอบโยนซูอวี๋อู่ เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกว่าไม่เป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด ทั้งสองคนก็เป็นลูกผู้พี่ผู้น้องกันแท้ๆ ต่อให้ไม่เคยพบกันมาก่อน ก็เป็นดังที่นางตวนมู่กล่าวไว้ เพื่อเห็นแก่หน้าของแม่เฒ่าซ่งและเว่ยจิ้งอิน คาดว่าซูอวี๋อู่คงไม่ทำให้ลูกผู้พี่ต้องลำบากใจมากเกินไป
อย่างไรเสียนกแก้วก็ไม่มีชีวิตรอดแล้ว… และจะว่าไปแล้วเสิ่นจั้งหนิงก็เป็นลูกผู้น้องแท้ๆ ของซูอวี๋อู่ แม้ซูอวี่อู่จะเอาแส้เฆี่ยนตีคนครัว จะสามารถไล่บ่าวติดตามหลังแต่งงานของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ออกไปได้ หรือว่ายังจะไปจับเสิ่นจั้งหนิงมาชกสักรอบ? หลังจากเขาระบายอารมณ์และสงบลงแล้วย่อมเข้าใจได้เองว่าเขาเอาเรื่องถึงเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว หากยังเอาเรื่องต่อไปพวกญาติผู้ใหญ่ก็จะรู้สึกว่าเขาใจคอคับแคบ เพื่อนกแก้วตัวเดียวกลับเอาแต่ขัดเคืองลูกผู้น้องแท้ๆ ของตนเช่นนี้ ซึ่งลูกผู้ชายไม่ควรจะมีจิตใจคับแคบเช่นนี้
แต่เรื่องที่นางหลิวและนางตวนมู่พูดมานั้น กลับเป็นการผลักภาระเรื่องลบรอยร้าวระหว่างฮูหยินใหญ่และฮูหยินสามตระกูลซูให้แก่นาง?
ยังไม่ต้องบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของเว่ยเจิ้งอินซึ่งเป็นฮูหยินสามของบ้านซู ลำพังแค่ฐานะเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่ตระกูลซูก็จะไม่เชื่อนาง… และบอกเพียงว่านางเป็นแค่เด็กรุ่นหลัง มีสิทธิ์มีเสียงใดไปไกล่เกลี่ยเรื่องบาดหมางของผู้ใหญ่สองคน ทั้งยังเป็นญาติผู้ใหญ่คนและแซ่ด้วย?
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวด้วยหน้าตาเคร่งขรึมว่า “พี่สะใภ้ทั้งสองอย่าได้ถือโทษที่ข้าจะพูดตรงๆ ข้าอายุยังน้อย ทั้งยังเพิ่งแต่งเข้าบ้าน ทุกเรื่องยังต้องขอคำชี้แนะจากพวกพี่สะใภ้อยู่เลย! หากบอกว่าจะให้อาศัยหน้าตาของท่านย่าและท่านอาหญิงของข้า เพื่อไปโน้มน้าวลูกผู้น้องห้าสักคำสองคำยามเขามาหา นี่ก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่ แต่เรื่องของตระกูลซูนั้น ข้ากลับไม่กล้าไปพูดมากเจ้าค่ะ”
____________________________