ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 4 หนึ่งจอกลบล้างความแค้น (2)
จากนั้นตำแหน่งบนล่างก็สลับกันอีกครั้ง เว่ยฉางอิ๋งถูกกดลงบนเตียงใหม่อีกหน ไม่เพียงเท่านั้น เสิ่นจั้งเฟิงยังบดจูบลงที่ริมฝีปากของนาง ขยับริมฝีปากพลิกไปมาเม้มดูดริมฝีปากนาง…เว่ยฉางอิ๋งยิ่งรู้สึกโกรธขึ้นไปอีก!
ทั้งสองคนใช้ศอก ใช้หมัด เท้าถีบ ใช้นิ้วจิ้ม ฝ่ามือตบตีอยู่ภายในมุ้ง บนตั่งขนาดหกฉื่อนั้นไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครผ่อนผันให้ใคร การต่อสู้สุดแสนจะดุเดือด เสียงตั่งสั่นสะเทือนดังอยู่ไม่ขาด เวรยามเฝ้าประตูยามค่ำคืนที่อีกฝั่งหนึ่งของประตูต่างปิดปากแอบหัวเราะอย่างรู้กันในที
แต่หารู้ไม่ว่าสถานการณ์ภายในห้องนั้นทั้งไร้แก่นสารทั้งน่าอึดอัด แรกเริ่มนั้นเสิ่นจั้งเฟิงเพียงต้องการจะเย้าหยอกภรรยาสักหน่อย จนที่สุดถึงได้พบว่าความจริงแล้ววรยุทธ์ของเว่ยฉางอิ๋งมิได้ด้อยเลย หากเพียงเชยชมนางสักเล็กน้อยก็พอทำเนา แต่ถ้าอยากจะเล่นบทอัศจรรย์พันลึกกันจริงจังโดยไม่ต้องทำให้นางบาดเจ็บก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายจริงๆ
เสิ่นจั้งเฟิงที่ยามนี้ยากจะลงจากหลังเสื้อจึงทำได้เพียงรับมือนางต่อไปเรื่อยๆ…ในที่สุด เรี่ยวแรงของเว่ยฉางอิ๋งก็ค่อยๆ อ่อนล้าลง นับแต่แรกที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ก็มาอยู่ในสภาพที่ถูกผ้าห่มกดทับตัวเอาไว้และไม่อาจพลิกตัวไปที่ใดได้อยู่เนิ่นนาน นางจึงอดจะกล่าวออกมาอย่างขัดเคืองไม่ได้ว่า “ข้ารู้แล้ว จะต้องเป็นเพราะวันนี้ข้าหิวเกินไป ข้าถึงได้แพ้!”
การต่อสู้รอบนี้ เริ่มจากเสิ่นจั้งเฟิงถูกเว่ยฉางอิ๋งถอดเสื้อออก ซึ่งก็ต้องได้รับผลตอบแทน ยามนี้เสื้อคลุมหลัวซานของเว่ยฉางอิ๋งถูกดึงออกไปแล้ว เหลือเพียงเอี๊ยมบังอกที่ปิดด้านหน้าหน้าอกเอาไว้เท่านั้น ล้วนคือ…เอ่อ เสิ่นจั้งเฟิงจนใจเหลือ จะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังคงแข็งขืนไม่ยอมแพ้
เมื่อได้ยินคำนางดังนี้ เสิ่นจั้งเฟิงจึงเอ่ยออกไปด้วยคอที่แหบพร่าว่า “หิวจริงๆ รึ?”
“แน่นอน!” สองแขนของเว่ยฉางอิ๋งเมื่อยล้าเสียจนรู้สึกชา ซึ่งเป็นผลมาจากที่นางทั้งชนทั้งกระแทกยามต่อสู้ประชิดตัวกับเสิ่นจั้งเฟิง ยามนี้แม้แต่เรี่ยวแรงจะดิ้นรนก็ยังไม่เหลือแล้ว แต่กลับยังคงไม่ยอมแพ้อยู่เช่นนั้น นางพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ก็เจ้าไม่เคยต้องต้องใส่เครื่องประดับผมหนักสิบกว่าจินไว้บนหัว และต้องใส่ชุดแต่งงานนักหลายสิบจินนี่! ตื่นขึ้นมาทำผมแต่งหน้าตั้งแต่ดึกดื่น น้ำสักหยดก็ยังไม่ถึงปาก…”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มเจื่อนๆ พลางลุกขึ้นมาจากตัวนาง ถอนหายใจแล้วว่า “ข้าบอกแล้วอย่างไร เช่นนั้นข้าจะเรียกคนเอาสุราอาหารมาให้ เจ้าทานสักหน่อยเถิด อย่าได้หิวจนเกินไป”
ไม่คิดว่าจะสามารถเอาตัวรอดมาได้จริงๆ!
เว่ยฉางอิ๋งมองเขาด้วยความยินดียิ่ง แล้วรีบดึงเสื้อคลุมที่อยู่บนเตียงมาคลุมตัวเอาไว้ให้ดี พลางกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้าเป็นคนดีจริงๆ!”
เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งอึ้งอยู่เป็นนาน พลางมองไปยังอาหารต่างๆ บนโต๊ะที่ยามนี้ไม่ร้อนแล้ว จึงว่า “อาหารคงเย็นหมดแล้ว ข้าจะเรียกคนเปลี่ยนอีกชุดมาให้”
“ไม่ต้อง!” เว่ยฉางอิ๋งมองไปตามสายตาของเขา พลันเกิดความคิดดีๆ ความคิดหนึ่งขึ้นมา…
ว่าแล้วนางก็หาปิ่นยาวๆ อันหนึ่งมาม้วนผมยาวของนางขึ้น ไปนั่งที่ข้างหน้าต่างแล้วทานอาหารไปเรื่อยเปื่อยคำสองคำ จากนั้นนางก็หงายจอกสุราคู่หนึ่งขึ้นมาและรินสุราจนเต็ม กล่าวว่า “ข้าคิดว่าพวกเราสู้กันต่อไปก็ไม่ใช่หนทางที่ดี มิสู้มาเจรจาสงบศึกกันดีกว่า เจ้าเห็นว่าเป็นเช่นไร?”
เสิ่นจั้งเฟิงจ้องไปยังกาสุราที่นางกำลังรินลงไป กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มพลางสวมเสื้อคลุมของตนและเดินเข้ามา กล่าวอย่างเป็นนัยว่า “เจ้าคิดจะ…ใช้สุรานี้มาเจรจาสงบศึก?”
“เป็นเช่นนั้น” เว่ยฉางอิ๋งคิดคำนวณในใจว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ถูกไล่ให้ออกไปต้อนรับแขกพอกลับมาก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ยามพูดจายังได้กลิ่นสุรา เห็นชัดว่าคืนนี้จะต้องดื่มไปแล้วไม่น้อยเลย… ยามนี้หากมอมสุราเขาไปอีกสักไม่กี่จอกก็คงจะนอนหลับล้มพับไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ใช่ว่ารอดตัวแล้วหรอกหรือ?
ไม่ถูก เป้าหมายของข้าจะมีแค่เพียงให้รอดตัวได้อย่างไร? ข้าควรจักรอให้เขาเมาจนหลับไปแล้วซัดเขาให้หนักสักรอบ! ชกจนเขาตื่นขึ้นมา! ให้เขาได้รู้จักความร้ายกาจของข้า ดูซิว่าต่อไปยังจะกล้าไม่เชื่อฟังข้าอีกหรือไม่!
เช่นนั้นนางจึงยื่นข้อเสนอไปด้วยความหวังอันเปี่ยมล้นว่า “พวกเรามาดื่มหนึ่งจอกลบล้างความแค้นกัน เป็นเช่นไร?”
พลันได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงพูดออกมาอย่างเต็มใจว่า “ตกลง!”
“ใจคอกว้างขวางยิ่งนัก!” เว่ยฉางอิ๋งเบิกบานหายโกรธ พลางยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาชมเชยเขา จากนั้นก็ยกสุราจอกหนึ่งส่งให้แก่เสิ่นจั้งเฟิง แต่ครั้งเสิ่นจั้งเฟิงรับจอกสุรามาเขาก็กลับไม่ดื่ม หากแต่พูดจาไปในทางอื่นว่า “แต่คืนนี้ก็เป็นคืนเข้าหอ ก็ควรจักทำตามประเพณี! แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้ข้า สุรานี้หาได้เอาไว้ดื่มเช่นนี้ไม่!”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง รู้สึกว่าตนถูกหลอกเสียแล้ว จึงกล่าวไปอย่างโกรธเคืองว่า “แล้วเจ้าจะเอาเช่นไร?”
เสิ่นจั้งเฟิงมองไปที่จอกสุรา ครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วว่า “เอาเช่นนี้… หากเจ้าดื่มติดต่อกันสามจอก ข้าก็จักยกโทษให้เจ้า เป็นเช่นไร?”
เว่ยฉางอิ๋งมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง แล้วว่า “ยกโทษ? ข้าดื่มสามจอก ที่เหลือนั้นเจ้าต้องดื่มให้หมด!” กาสุราเงินกานี้ยังสูงไม่ถึงสามชุ่น สุราเต็มจอกก็เพียงแค่หนึ่งอึก ครั้งเว่ยฉางอิ๋งอยู่ที่บ้านของตน ยามเทศกาลปีใหม่พวกญาติผู้ใหญ่ล้วนอนุญาตให้นางดื่มได้หลายๆ จอก นางจึงคอแข็งไม่เลวทีเดียว ลำพังแค่สามจอกจะนับสิ่งใดได้…กลายเป็นว่าข้อเสนอนี้ของเสิ่นจั้งเฟิงกลับทำให้นางรู้สึกเคลือบแคลงว่า เจ้าหมอนี่ดื่มต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงยื่นขอเสนอเช่นนี้มารึ?
จะอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยโอกาสมอมสุราแล้วจัดการทุบตีเขาไปได้!
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มตาหยีจ้องมองนาง กล่าวว่า “เจ้าดื่มสามจอกแล้ว อยากทำสิ่งใด ข้าล้วนทำตามเจ้า!”
“คำไหนคำนั้น?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางยกจอกสุราขึ้นมา
“คำไหนคำนั้น” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวยืนยันพลางกลั้นหัวเราะ
เว่ยฉางอิ๋งเปรมปรีดิ์เป็นนักหนา พลันดื่มสุราหมดจอกในอึกเดียว แล้วรินอีกสองจอก เมื่อดื่มหมดก็มองลงไปที่ก้นจอกแล้วกล่าวอย่างได้ใจว่า “ตอนนี้จะทำสิ่งใดก็ล้วนว่าตามข้าแล้วใช่หรือไม่? วันนี้เจ้าไม่ต้องนอนในห้องแล้ว ออกไป…”
พูดถึงตรงนี้ นางพลันรู้สึกว่ามีความร้อนวูบหนึ่งแผ่ขึ้นมาจากท้องน้อย แล้วแผ่ซ่านไปทั้งตัวอย่างรวดเร็ว รู้สึกกระหายน้ำอย่างประหลาด… เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วน้อยๆ คิดในใจว่า อาจเป็นเพราะตนกระหายน้ำมากเกินไป? จึงได้ไปรินสุรามาอีกจอก…เมื่อดื่มไปหนนี้ นางพลันรุ่มร้อนขึ้นมาทั้งตัว รู้สึกทรมานเหลือแสน
นางรู้สึกแปลกใจ นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะพลางใคร่ครวญดูว่ามีที่ใดไม่ถูกต้อง เสิ่นจั้งเฟิงเห็นว่าผิวขาวนวลของนางแต่เดิมทีนั้นพลันเปลี่ยนเป็นสีท้อ ก็รู้อยู่ภายใจ แล้วเอ่ยถามอย่างมีนัยยะว่า “เจ้าน่าจะรู้ว่าสุราที่เจ้าดื่มไปนี้เป็นสุราใด?”
เว่ยฉางอิ๋งถามไปอย่างงวยงงว่า “อะไรนะ?”
“….ก่อนเจ้าออกเรือน จักต้องมิได้ฟังคำสอนของท่านอาอย่างละเอียดเป็นแน่!” เสิ่นจั้งเฟิงลูบที่ใต้คาง กล่าวอย่างไม่ประสงค์ดีว่า “ทว่า ก็มิเป็นไร…อืม ยามนี้เจ้ายังจะไล่ข้าไปหรือ? จะไล่ข้าไปจริงหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งอยากจะพูดไปว่า ‘แน่นอน’ ทว่าเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงถามออกไป เขาก็พลันลุกขึ้นมาจากที่นั่ง มือกดอยู่บนโต๊ะอาหารที่อยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วโน้มตัวไปจูบนาง… สัญชาตญาณบอกเว่ยฉางอิ๋งให้หันตัวหลบ แต่ในขณะที่นางกำลังคิดจะหลบอยู่นั้น ในใจพลันเกิดความรู้สึกประหลาดที่ไม่รู้ที่มา ทำให้นางเคลื่อนไหวได้ช้าลงอย่างน่าแปลก จนถึงขั้นเงยหน้าขึ้นรับริมฝีปากของเสิ่นจั้งเฟิงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แรกเริ่มนั้นนางนิ่งเหม่อและปล่อยให้เสิ่นจั้งเฟิงจูบตน ทว่ายามเขาขบริมฝีปากนางเบาๆ แล้วมีหนหนึ่งขบลงแรงไปหน่อย ทำให้นางเผลอส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ริมฝีปากนางจึงเปิดออกเล็กน้อยและถูกเสิ่นจั้งเฟิงฉวยโอกาสรุกล้ำเข้ามาภายใน แทรกผ่านฟันเข้ามาเย้าหยอกกับปลายลิ้นแสนหอมหวานอย่างชำชอง
เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกอ่อนระทวยไปทั้งตัว ร่างของนางโอนเอน คล้ายจะล้มลงไปที่พื้น…เสิ่นจั้งเฟิงสัมผัสได้จึงเอื้อมมือไปโอบตัวนางเอาไว้ แล้วออกแรงดึงตัวนางจากอีกฝากของโต๊ะอาหารมากอดเอาไว้ในอ้อมอก มือหนึ่งรั้งเอวนางไว้ อีกมือหนึ่งประคองท้ายทอยของนาง ทั้งริมฝีปากและลิ้นกระหวัดรัดกันไปมา จุมพิตนางอย่างเคลิบเคลิ้มดูดดื่ม
เสียง ‘ตึ้ง’ หนหนึ่ง เป็นปิ่นยาวที่เว่ยฉางอิ๋งใช้มวยผมร่วงลงมาบนที่นั่ง เสิ่นจั้งเฟิงไม่เพียงไม่เก็บให้นาง แต่กลับสอดนิ้วมือเข้าไปในผมสลวยดำขลับนั้นแล้วสยายผมยาวของนางให้แผ่ออกมาจนหมด…
_______________________