ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 40 ทุกคนในบ้านซู
นางเฉียนคอยจ้องจับผิดหนแล้วก็หนเล่า เว่ยเจิ้งอินพลันขมวดคิ้วขึ้นมาหนหนึ่ง แต่ก็ยังหันไปขอขมาแม่เฒ่าเติ้งในทันใด… ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้แม้จะเป็นมารดาแท้ๆ ของฮูหยินซู แต่ดูไปแล้วกลับดูใจดีกว่าฮูหยินซูมาก บรรดาสะใภ้ขัดแข้งขัดขากันต่อหน้านางและหลานๆ ที่มาคารวะจนถึงขึ้นชักสีหน้าใส่กัน แม่เฒ่าซ่งมีท่าทีจนใจ แต่กลับมิได้มีสีหน้าตำหนิหรือรังเกียจ… ครานี้ก็เพียงถอนใจหนหนึ่ง แล้วก็ช่วยรอมชอมอีกครั้ง “หลานสาวของเจ้าคนนี้ก็เพิ่งจะได้พบกันเป็นครั้งแรกหลังจากนางโต จะพูดคุยกันมากสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ให้คนในรุ่นเดียวกันได้คารวะซึ่งกันเถิด”
คุณชายใหญ่และคุณชายสามตระกูลซูล้วนออกไปทำงานข้างนอก นางเติ้งและนางกู้ที่ไปรับคนทั้งสองเข้ามาพากันลุกขึ้นขอขมาแทนสามีที่ไม่ได้มา เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งย่อมรีบย้ำบอกว่าไม่เป็นไร แล้วบอกไปว่าตนเองมาอย่างกะทันหันนับเป็นการรบกวนเสียอีก เมื่อทักทายกันแล้ว คารวะนางเติ้งและนางกู้แล้ว ต่อจากนี้เมื่อนับกันตามอายุก็เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซู ซูอวี๋ลี่
ซูอวี๋ลี่หน้าตาเหมือนกับเว่ยเจิ้งอินมาก รูปหน้าเรียวยาว สูงโปร่งผอมบาง คิ้มงามตาสวย กริยามารยาทเรียบร้อย ต่อจากนางก็คือคุณหนูรองซูอวี๋หลี กลับมีหน้าตาไปทางนางเฉียน ใบหน้ารูปเมล็ดแดง คิ้วใบหลิว ผิวพรรณเนียนละเอียด มีถุงใต้ตา ความจริงแล้วหน้าตาเช่นนี้ทำให้รู้สึกว่ามีความยั่วยวนตามธรรมชาติอย่างมากทีเดียว แต่กริยาวาจาของซู่อวี๋หลีกลับสำรวมเรียบร้อย มองความยั่วยวนไม่ออกเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็เป็นคุณชายสี่ซูอวี๋เหลียง ก่อนนี้เว่ยฉางอิ๋งเคยได้ยินว่าบ้านใหญ่ของตระกูลซูนี้มีเพียงบุตรชายจากภรรยาเอกที่เป็นคนไม่เด็ดขาดยากจะทำการใหญ่ได้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้บ้านใหญ่และบ้านสามขัดแย้งกัน
ดังนั้นในจินตนาการของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว ซูอวี๋เหลียงควรจะเป็นเด็กหนุ่มที่ขี้ขลาดตาขาว แต่ยามนี้ดูไปแล้วซูอวี๋เหลียงในวัยสิบแปดปี มีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้างดงาม กริยาวาจาล้วนเต็มไปด้วยท่าทีของคุณชายตระกูลใหญ่ ลำพังแค่ดูจากท่าทีสง่างามนี้กลับไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่าเขาจะเป็นคนที่ทำการใหญ่ไม่ได้
เมื่อพบกับซูอวี๋เหลียงเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นซูอวี๋อู่ที่เว่ยฉางอิ๋งสนใจมากที่สุดในครั้งนี้แล้ว… หากไม่ใช่เพราะลูกผู้น้องผู้นี้ เว่ยฉางอิ๋งยังต้องรอจนถึงวันหยุดของเสิ่นจั้งเฟิงเสียก่อนจึงจะมีโอกาสมาที่ตระกูลซู
เด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าเว่ยฉางอิ๋งเพียงยี่สิบกว่าวันผู้นี้มีรูปร่างองอาจผึ่งผาย และสูงกว่าพี่สี่ซูอวี๋เหลียงของเขาเสียอีก หน้าตาโดดเด่น หล่อเหลาสง่างาม ยามเหลียวมองมีพลังเต็มเปี่ยมอยู่ภายใน
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มทักทายเขา แล้วคิดในใจว่า มิน่าเล่าท่านแม่จึงต้องเป็นฝ่ายเสนอเรื่องแต่งงานกับท่านอาหญิงรอง ในตระกูลใหญ่ต่างๆ มีลูกหลานที่มีพร้อมทั้งหน้าและความสามารถอยู่ไม่ขาดเหลือ แต่ท่ามกลางคนรุ่นลูกหลานที่มีลักษณะเฉพาะหลากหลายอย่างนั้น คนเป็นผู้ใหญ่จะชื่นชอบคนที่มีชีวิตชีวาและมีพลังแผ่นซ่านออกมาเช่นนี้เป็นที่สุด เพราะทำให้พวกเขานึกถึงตนเองเมื่อครั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวขึ้นมาได้ง่ายดายที่สุดนั่นเอง
รอจนซูอวี๋อู่ถอยลงไปแล้ว สองคนสุดท้ายที่อยู่ในชั้นเดียวกันก็คือ ซูอวี๋เฟยบุตรสาวคนโตและซูอวี๋อินบุตรสาวคนรองจากภรรยาเอกบ้านสอง ต่างเข้ามาคารวะลูกผู้พี่และพี่สะใภ้พร้อมกัน สองสาวพี่น้องนี้อายุห่างกันเพียงหนึ่งปี ซูอวี๋เฟยก็ควรจะเป็นคนที่มีคิ้วโค้งตาหงส์ ผิวขาวเนียนละเอียด… เอ่อ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งคาดเดาหน้าตาของนางมาก่อนนี้
เพียงแต่เมื่อมองไปในเวลานี้ เห็นว่าเค้าโครงหน้าของนางเหมือนนางจางยิ่งนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะเป็นเด็กสาวงดงามตัวน้อยๆ แต่นางกลับทาชาดเสียจนแดง ทั้งทาแป้งหนา ใส่เครื่องประดับมาจนเต็มหัว แต่งหน้าแบบน้ำตาเลือด ปิดบังใบหน้าน้อยๆ ที่มีอยู่เดิมไปจนหมด! เมื่อพี่สาวเป็นเช่นนี้ คุณหนูสี่ซูอวี๋อินก็ไม่เว้น คิ้วทั้งสองถูกวาดด้วยหอยไส้ดำเสียจนทั้งหนาทั้งยาวไปถึงตีนผม สองแก้มก็แดงเหมือนไฟไหม้ ปากทาชาดสีแดงจัดจ้านจนแทบจะหยดออกมา ทั้งเขียนหน้าผากเหลือง ทั้งวาดเส้นแดงข้างแก้ม อีกทั้งยังแต้มแต้มลักยิ้มจนเต็มหน้า… หากไม่เคยเห็นการแต่งงานที่เสิ่นจั้งหนิงบอกว่ากำลังนิยมในเมืองหลวงนี้มาก่อน คราวนี้เว่ยฉางอิ๋งก็คงอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าประหลาดออกมาจากใจจริง…
รอยยิ้มของนางยังคงเป็นปกติ แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับปากอ้าตาค้างไปแล้ว พลางชี้ทางลูกผู้น้องทั้งสองคนแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “นี่คืออวี๋เฟยกับอวี๋อิน?”
ซูอวี๋เฟยและซูอวี๋อินพากันกรอกตาขาวใส่เขาหนหนึ่ง แล้วว่า “ลูกผู้พี่สามก็ตลกจริงๆ แค่ไม่เห็นหน้าไม่กี่วัน ท่านก็จำไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่บุตรสาวทั้งสองคนก้าวขึ้นมาสีหน้าของนางจางก็ย่ำแย่มากแล้ว ในขณะที่เสิ่นจั้งเฟิงกำลังพูดอยู่ หน้าของนางจางก็แดงก่ำขึ้นมา! คราวนี้มาได้ยินคำพูดของบุตรสาวก็นั่งไม่ติดเก้าอี้อีกแล้ว พลันลุกขึ้นด้วยอาการหน้าแดงหูแดง แล้วตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “พวกเจ้ายังมีหน้าพูดอีก! ยังไม่รีบเข้าไปข้างหลังล้างหน้าล้างตาให้สะอาดแล้วค่อยออกมาพบแขกอีก!”
เว่ยฉางอิ๋งอดทำตัวไม่ถูกไม่ได้ แล้วแอบหยิกเสิ่นจั้งเฟิงไปหนหนึ่ง กำลังจะเอ่ยปากช่วยประนีประนอม ซูอวี๋เฟยก็เอ่ยออกมาอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “วันนี้ข้าลุกขึ้นมาแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือดตั้งแต่เช้า แต่งอยู่นานกว่าหนึ่งชั่วยามจึงจะแต่งเสร็จ… หากนี่มิใช่ว่าจะมาพบกับพี่สะใภ้สามครั้งแรก ข้าก็ไม่อยากจะเหนื่อยถึงเพียงนี้หรอกเจ้าค่ะ!”
ซูอวี๋อินก็บอกว่า “คิ้วใบกระวานนี่ข้าก็ยังไปยืมหอยไส้ดำของพี่ใหญ่มาเขียนโดยเฉพาะเชียว…”
บุตรสาวทั้งสองยิ่งแก้ต่าง นางจางก็ยิ่งรู้สึกว่าร้อนผ่าวไปทั้งหน้า… สวรรค์ทรงโปรด ไยนางจึงมีชีวิตรันทดเพียงนี้นะ? หลังจากที่ซูอวี๋เฟยสอนเสิ่นจั้งหนิงแต่งหน้าน้ำตาเลือดที่ว่ากันว่าเป็นที่นิยมในเมืองหลวงนั้น คราวก่อนที่ฮูหยินซูกลับมาดูแลแม่เฒ่าเติ้ง อาศัยจังหวะที่แม่เฒ่าเติ้งอาการดีขึ้นแล้ว ก็มาเลียบๆ เคียงๆ สอบถามพวกพี่และน้องสะใภ้ถึงความเป็นมาของเรื่องนี้แล้ว
เดิมที่ยังนึกว่าซูอวี๋ลี่ของบ้านสามและซูอวี๋หลีของบ้านใหญ่ใกล้จะออกเรือนอยู่แล้ว จึงอยู่ในวันที่สนใจเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว ไม่แน่ว่าอาจพลอยสอนให้แก่เสิ่นจั้งหนิงที่ชอบเล่นซนซึ่งอยู่คนละบ้านไปด้วย ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อสอบถามออกมากลับเป็นซูอวี๋เฟยพี่น้องสองคนเป็นคนสอน!
อารมณ์ของนางจางในยามนี้ช่าง…
ก่อนนี้ครั้งแม่เฒ่าเติ้งยังป่วยอยู่ ซูอวี๋เฟยและซูอวี๋อินคอยเฝ้าอยู่ที่หน้าตั่งนอน ย่อมไม่มีใครกล้าแต่งหน้าแต่งตาสีจัดจ้าน ยามนี้แม่เฒ่าเติ้งหายแล้ว… นางจางก็ยังนึกว่าคราวก่อนที่ฮูหยินซูมาสอบถามและได้ต่อว่าพวกนางไปหนหนึ่ง พวกนางก็ควรจะกลัวแล้วกระมัง? ใครจะคิดว่าแค่ไม่ได้ใส่ใจสักพัก พวกนางสองคนก็แต่งหน้าเลอะเทอะเช่นนี้ออกมาต่อหน้าหลายชายและหลานสะใภ้ที่เพิ่งแต่งงานใหม่!
ฟังพวกนางพูด ยังนึกว่าที่ตนแต่งหน้าเช่นนี้จึงจะเป็นการให้ความเคารพนับถือกับเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋ง เจ้าเด็กตาไม่มีแววสองคนนี่ หากไม่ต้องมาพบกับพี่สะใภ้ของพวกนางก็แล้วไป ในระหว่างที่พี่สะใภ้กำลังพยายามยิ้มกลบเกลื่อน ลูกผู้ของพวกนางก็มีสีหน้าตื่นตกใจเหลือทน พวกนาง… พวกนางยังกล้ารู้สึกว่าการแต่งหน้าที่เป็นที่นิยมนี้มันน่าดูอีก?
เมื่อเห็นว่านางจางแทบจะอดลงไม้ลงมือสั่งสอนบุตรต่อหน้าธารกำนัลไม่ไหวแล้ว แม่เฒ่าเติ้งซึ่งรักใคร่หลานๆ นักหนางจึงรีบบอกว่า “พวกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต้มสีสันต่างๆ บ้างจะได้ดูครื้นเครง ไยต้องเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตเล่า?”
ฮูหยินผู้เฒ่าก็ว่ามาเช่นนี้แล้ว นางจางจึงไม่อาจไม่ฟังได้ แล้วรีบยิ้มตอบไปว่า “ท่านแม่ใจดีมีเมตตาเสมอมา เพียงแต่อะ…ไอ้เจ้าสองตัวนี้ไม่ได้การจริงๆ ค่ะ หากไม่อบรม เกรงว่าวันหน้าจะยิ่งทำเรื่องพิเรนทร์ยิ่งกว่านี้อีก วันนี้ดีที่เฟิงเอ๋อร์และฉางอิ๋งล้วนมิใช่คนนอก หาไม่แล้วพอเห็นสารรูปของนางเช่นนี้ แล้วเอาไปพูดข้างนอก หน้าตาของพวกเราก็คงจะไม่เหลือแล้วเจ้าค่ะ!”
“ยามนี้ในเมืองหลวงกำลังนิยมการแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือดและแบบร้องไห้เป็นที่สุด พวกเราจะทำให้บ้านเราเสียหน้าได้อย่างไรเจ้าคะ?” เมื่อซูอวี๋เฟยและซูวี๋อินมีท่านย่าคอยถือหางจึงไม่เกรงกลัวนางจางเท่าใดนัก เมื่อได้ยินคำจึงพึมพำโต้เถียงกลับไป
นางจางโกรธเสียจนส่งสายตาคมกริบไปหนหนึ่ง สองสาวพี่น้องจึงรีบไปหลบข้างๆ แม่เฒ่าเติ้ง
แม่เฒ่าเติ้งปรามนางจางว่า “ในเมื่อข้างนอกกำลังเป็นที่นิยม ก็มิใช่มีเพียงเด็กๆ บ้านเราที่แต่งหน้าแบบนี้ ดีชั่วพวกเด็กสาวก็ล้วนเป็นเช่นนี้ เมื่อมีคนแต่งตัวทำเช่นนี้มากๆ พอเห็นบ่อยเข้าก็ไม่แปลกแล้ว หาใช่เรื่องเสียหน้าไม่เสียหน้าแต่อย่างใดนี่?” แล้วว่า “บ้านใดจักไม่มีลูกหลานที่ทำให้โมโหสักคนสองคน พออายุมากขึ้นก็จะสุขุมรอบคอบขึ้นเอง สมัยก่อนป้าใหญ่และอาหญิงเล็กของพวกนางก็ทำให้กังวลอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน”
ฮูหยินผู้เฒ่าดึงป้าใหญ่และอาหญิงเล็กมาอ้างแล้ว นางจางจึงไม่อาจสอนสั่งบุตรสาวของนางต่อไปได้ ทำได้เพียงกดเสียงต่ำขู่พวกนางไปว่า “รอกลับไปที่เรือน ดูซิข้าจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไร!”
สองพี่น้องหัวเราะฮิๆ วิ่งไปข้างๆ กายฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ได้สะทกสะท้านอันใด…เห็นชัดว่าแม้ตอนนี้นางจางจะพูดจารุนแรงแต่ความจริงแล้วก็รักใคร่พวกนางนัก เมื่อรอจนกลับบ้านแล้วก็คงจะไม่เข้มงวดเช่นในตอนนี้ พวกนางจึงมิได้มีท่าทีหวาดกลัวใดๆ
เกิดเรื่องทะเลาะกันคราวนี้ แม่เฒ่าเติ้งต้องออกหน้าช่วยหลานๆ ประนีประนอมหนแล้วก็หนเล่า และเพราะเพิ่งจะดีขึ้นจากที่ป่วยมานาน จึงอดจะมีสีหน้าอ่อนเพลียออกมาไม่ได้
นางเฉียนสั่งให้คนยกน้ำแกงโสมมา… เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งเองก็พากันขอขมาหนแล้วหนเล่าที่มารบกวน แม่เฒ่าเติ้งหัวเราะแล้วว่า “ได้เห็นพวกเจ้าที่สมกันดังกิ่งทองใบหยกมาหา ขากลับรู้สึกมีความสุขเสียอีก ป่วยมาหลายวัน วันๆ เอาแต่นอนดื่มน้ำขมๆ นั่นอยู่บนตั่ง ทรมานมามากพอแล้วจริงๆ! ตอนนี้ขอเพียงไม่ให้ข้าต้องนอนอยู่บนตั่ง หากจะเหนื่อยสักหน่อยข้าก็ยังรู้สึกดี”
ปลอบหลานชายและหลานสะใภ้ไปสองสามคำ แม่เฒ่าเติ้งก็รู้สึกว่าไม่ค่อยสบายนัก จึงบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งเป็นหลานสาวของเว่ยเจิ้งอิน หลายปีมานี้ไม่ได้พบกัน คิดว่าอาหลานคงมีเรื่องที่ต้องพูดกันอีกมาก จึงให้เขาไปคุยกันที่บ้านสามก่อน พอถึงเวลาเที่ยงจึงค่อยมางานเลี้ยงที่เรือนหลัก
เว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋งต่างพากันขอบคุณที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอาใจใส่ และส่งฮูหยินผู้เฒ่าไปด้วยสายตา เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเข้าไปในเรือนหลังแล้ว นางเฉียนออกแรงดึงผ้าเช็ดหน้า มองเว่ยเจิ้งอินหนหนึ่งอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วว่า “เมื่อน้องสะใภ้สามและฉางอิ๋งยืนอยู่ด้วยกัน ดูไปแล้วก็เหมือนกับคู่พี่น้องเช่นนั้น น่าอิจฉาเสียจริงๆ!”
คำกล่าวนี้ทั้งเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งล้วนฟังไม่ออกว่ามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง นางจางกลับลากบุตรสาวทั้งสองของตนเข้ามาแล้วพูดด้วยเสียงที่ไม่สูงไม่ต่ำว่า “พวกเจ้าทำงามหน้านัก ทำเอาข้าเสียหน้าหมดแล้ว! รีบกลับไปล้างออกให้สะอาดเชียว แล้วค่อยจัดการกับพวกเจ้าทีหลัง!” ทางหนึ่งพูดเช่นนี้ อีกทางหนึ่งก็เดินรวบสามก้าวเป็นสองก้าวเดินไปจนไกล
เมื่อเห็นว่าบ้านสองมีท่าทีเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็รู้อยู่ในใจว่ามีเรื่องผิดปกติ ปรากฏว่าเดิมทีเว่ยเจิ้งอินกำลังยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนขณะเชิญสองสามีภรรยาไปที่บ้านสาม เมื่อได้ยินคำสีหน้าของนางก็กลายเป็นเขี้ยวคล้ำขึ้นมาในทันใด แล้วหันหน้ามองไปยังนางเฉียนพลางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ระยะนี้พี่สะใภ้ใหญ่คล้ายจะชอบเอ่ยคำว่า ‘คู่พี่น้อง’ สองคำนี้เหลือเกิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้รอให้ท่านพี่กลับมาแล้วข้าจะบอกกับท่านพี่ว่าให้ส่งคนไปบ้านใหญ่ เพื่อให้ปรนนิบัติพี่สะใภ้ใหญ่โดยเฉพาะ!”
“โธ่!” นางเฉียนยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “เจ้าทำเช่นนี้ก็ทำให้ข้าลำบากใจแล้ว ยังไม่ต้องบอกว่าสองพี่น้องคู่นั้นงดงามเสียยิ่งกว่าบุปผา น้องสามอาจจะตัดใจไมได้ ข้าเองก็ไม่กล้าไปแย่งของรักของเขามาหรอก… ว่ากันแต่เรื่องที่องค์ฮ่องเต้พระราชทานคู่พี่น้องคู่นั้นลงมาให้แก่น้องสามนี้เถิด แล้วจักนำมากำนัลให้ผู้อื่นต่อส่งเดชได้อย่างไร? น้องสะใภ้สามอย่าเพิ่งพูดด้วยอารมณ์เลย พี่สะใภ้ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว เป็นเช่นไร?”
เมื่อพูดจบก็ยิ้มพลางหันไปพยักหน้าให้เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋ง แล้วเดินนำคุณหนูรองซูอวี๋หลีที่กำลังก้มหน้าก้มตาอย่างเชื่อฟัง และค่อยๆ เดินจากไปอย่างเอ้อระเหยลอยชาย
เว่ยเจิ้งอินถมึงตาแรงๆ ตามหลังนางไปครั้งหนึ่ง จึงหันมาพูดกับหลานๆ ที่กำลังวางตัวไม่ถูกและไม่รู้จะพูดอะไรดีว่า “พวกเรากลับไปที่บ้านสามก่อนเถิด”
ซูอวี๋ลี่หันไปหาลูกผู้น้องทั้งชายหญิงแล้วส่งสายตาขอโทษและจนใจมาให้หนหนึ่ง เข้าไปประคองมารดา แล้วเดินนำทางไป
เป็นเช่นนี้ไปจนถึงบ้านสาม ตลอดทางเว่ยเจิ้งอินถูกบุตรสาวเอ่ยปลอบเบาๆ ที่สุดก็มีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง เมื่อให้ทุกคนนั่งลงแล้วก็พากันพรรณนาถึงความรู้สึกระหว่างที่แยกจากกัน ยังไม่ทันพูดถึงสองประโยค ก็มีสาวใช้หน้าตางดงามที่มีหน้าตาเหมือนกันอย่างมากเข้ามาคารวะ… สาวใช้คู่นี้น่าจะอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี ล้วนมีดวงตาสดใส ใบหน้าขาวผ่อง เกล้าผมทรงก้นห้อยเดี่ยว สวมเสื้อผ้าเหมือนกันเป็นเสื้อส้างหรูแขนแคบสีเขียวเข้ม กระโปรงลายดอกสีขาวนวล เอวคาดแถบผ้าไหมห้าสี มองดูแล้วสดชื่นทั้งมีชีวิตชีวา
… เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเว่ยเจิ้งอินหม่นหมองลงไปทันใดเมื่อเห็นพวกนาง เว่ยฉางอิ๋งจึงคิดว่าที่นางเฉียนเอ่ยถึงคู่พี่น้องอะไรนั่น ก็คงจะเป็นสองคนนี้แล้ว?
และเห็นชัดว่าสาวใช้หน้าตาสวยทั้งสองก็รู้ว่าพวกนางไม่เป็นที่ชื่นชอบของนายผู้หญิง พวกนางจึงเข้ามาคารวะอย่างกลัวๆ เว่ยเจิ้งอินก็ไม่ได้บอกให้พวกนางลุกขึ้น เพียงถามไปว่า “ผู้ใดเรียกพวกเจ้าออกมากัน? ไม่รู้จักธรรมเนียมรึ?”
สาวใช้คนที่อยู่ทางด้านซ้ายรูปร่างค่อนข้างสูงคล้ายว่าจะเป็นคนพี่จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าฮูหยินทางนี้มีแขก พวกข้าน้อยจึงคิดว่า… จะมาช่วยสิ่งใดได้บ้างหรือไม่เจ้าคะ”
“ที่นี่ข้าไม่มีผู้อื่นให้ใช้สอยแล้วหรือไร?” เว่ยเจิ้งอินขมวดคิ้ว แล้วเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามไปนอกประตูว่า “ผู้ใดคอยเฝ้าอยู่ข้างนอกนั่น?”
มีสาวใช้ชุดเหลืองผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นกลัว หลังจากคำนับแล้วจึงว่า “เรียนฮูหยิน เหอเซียงและเหอซินบอกว่าข้างในมีแขก ต้องมีคนมาคอยรับใช้ดูแล ขะ…ข้าน้อยนึกว่าเป็นฮูหยินสั่งความมาเจ้าค่ะ”
เว่ยเจิ้งอินหน้าเขียวคล้ำ บอกว่า “เจ้าถามสักคำก่อนแล้วมันจะตายหรือไร?”
ด้วยเหตุที่เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งก็อยู่ด้วย แล้วมารดามาเสียกริยาเช่นนี้ ซูอวี๋ลี่และซูอวี๋อู่จึงไม่อาจไม่เอ่ยปากรอมชอม ซูอวี๋ลี่กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ คงเพราะเยี่ยนหลี่บังเอิญพลั้งเผลอไป เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย วันนี้ลูกผู้น้องลางานมาโดยเฉพาะเพื่อมากับลูกผู้น้องนะเจ้าคะ! พวกเราควรจะได้มาสนทนากันอย่างครึกครื้นจึงจะถูก ไยต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เล่าเจ้าคะ?”
ซูอวี่อู่ก็บอกว่า “พี่ใหญ่กล่าวถูกต้อง ดีชั่วก็เพียงแค่บ่าวสองคน ในเมื่อมาแล้วก็ให้พวกนางดูแลรับใช้เรื่องน้ำชาเป็นพอแล้วขอรับ”
สาวใช้ที่มีชื่อว่าเหอเซียงและเหอซินทั้งสองนางรีบโค้งตัวลง “ข้าน้อยนอมรับคำสั่งคุณชายห้าเจ้าค่ะ!”
สองพี่น้องกล่าวขอบคุณซูอวี๋อู่ด้วยน้ำเสียงเล็กๆ เหมือนนกร้องที่ให้โอกาสพวกนางมาปรนนิบัติดูแล เพียงแต่ซูอวี๋อู่พูดเพียงเท่านี้ก็มิได้สนใจพวกนางอีก พลันหันไปหาเว่ยฉางอิ๋งแล้วว่า “ลูกผู้พี่หญิงสามแต่งงานกับลูกผู้พี่ชายสาม ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าพี่สะใภ้สามหรือว่าลูกผู้พี่สามดี”
คำพูดนี้ทำเอาเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งต่างหัวเราะออกมา เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ลูกผู้พี่ใหญ่ยังเรียกข้าว่าลูกผู้น้องอยู่เลยนี่? พวกเราต่างคนต่างเรียกเป็นพอแล้ว”
ซูอวี๋ลี่จึงยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ตลอดทางมานี่ข้าล้วนใคร่ครวญว่าจะเรียกขานกันเช่นไรดี? ปรากฏว่าคิดอยู่เป็นนานก็ยังเอ่ยเรียกไปตามปากเสียแล้ว”
“คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น จะนับอย่างไรก็เป็นสายเลือดเดียวกัน” พวกรุ่นเด็กเอาวิธีเรียกขานมาพูดล้อเล่นกัน แม้เว่ยเจิ้งอินจะไม่ชอบให้เหอเซียงและเหอซินมาอยู่ตรงหน้า แต่เวลานี้ก็ไม่คิดจะสนใจต่อไปอีก จึงพูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าเปรมปรีดิ์ว่า “ขอเพียงพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายเต็มใจ จะเรียกขานกันเช่นไรก็ย่อมได้”
“ท่านอาหญิงรองกล่าวถูกต้องเป็นที่สุดเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งอมยิ้มแล้วว่า “เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งจะเรียกว่าท่านน้าสะใภ้สามก็รู้สึกไม่ใคร่ชินเลยเจ้าค่ะ กลับมิได้เป็นเพราะสาเหตุอื่นใด ครั้งอยู่ที่เฟิ่งโจวนั้น ท่านย่ามักจะเอ่ยถึงท่านอาหญิงรองกับข้าบ่อยๆ ท่านแม่เองก็กำชับว่าเมื่อมาถึงแล้วจักต้องเชื่อฟังท่านอาหญิงให้จงดี ได้ยินมากเข้า สิ่งที่คิดได้ในใจก็คือท่านอาหญิงรองแล้ว”
เว่ยเจิ้งอินย่อมเต็มใจจะให้หลานสาวเรียกขานว่าอาหญิงมากว่า แทนที่จะเรียกว่านางว่าน้าสะใภ้ตามฐานะของหลานสะใภ้ คราวนี้จึงยิ้มออกมาและบอกว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เรียกท่านอาหญิง… เฟิงเอ๋อร์คงจะไม่ถือสาภรรยาของเจ้าในเรื่องเหล่านี้หรอกกระมัง?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ย่อมต้องถือสาอยู่แล้วขอรับ นอกเสียจากท่านน้าสะใภ้สามจะตบรางวัลข้าเป็นขนมแป้งกวนสองชิ้น หาไม่แล้วกลับไปข้าจะต้องไปฟ้องท่านน้าสะใภ้สามต่อหน้าท่านยาย ว่าพอท่านน้าสะใภ้สามได้พบอิ๋งเอ๋อร์แล้วก็ไม่รักใคร่หลานชายแล้ว”
เขาหล่อเหลาลุ่มลึก ทั้งยังมีท่าทีเฉียบคมชัดเจน จู่ๆ ก็มาพูดเรื่องล้อเล่นเช่นนี้ นอกจากเว่ยฉางอิ๋งที่เห็นจนเคยชินแล้ว พวกของเว่ยเจิ้งอินล้วนพากันนิ่งอึ้ง หลังจากตกตะลึงแล้วจึงเพิ่งจะมารู้สึกตัว ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี… เว่ยเจิ้งอินไม่ว่างจะมารำคาญเหอเซียงและเหอซินแล้ว นางพลันหัวเราะออกมา แล้วชี้ไปทางเขาพลางกล่าวว่า “ข้าหลงนึกว่าเจ้าเป็นสุภาพบุรุษแสนเคร่งขรึมเสียอีก ไม่คิดว่าเจ้าก็มียามซุกซนกับเขาด้วยเหมือนกัน!” จึงให้คนเอาจานขนมแป้งกวนข้างๆ มือนางส่งให้แก่เขา “ให้ ให้ ให้ ทั้งจานให้เจ้าหมดเลย เจ้าคงจะไม่ไปฟ้องเรื่องอาสะใภ้สามกับท่านยายแล้วกระมัง?”
เสียงหัวเราะหนนี้ของเว่ยเจิ้งอินทำให้บรรยากาศครื้นเครงขึ้นมาในทันใด… เสิ่นจั้งเฟิงลุกขึ้นคารวะขอบคุณด้วยท่าทางแสนจะเกินจริง พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอาสะใภ้สามใจกว้างเช่นนี้ ข้าจะกล้าไปฟ้องได้อย่างไร? หากต่อไปท่านอาสะใภ้สามพูดเรื่องอื่นอีก ข้าก็จะไม่ไปฟ้องแน่นอนขอรับ!”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะเสียงดัง “ขนมแป้งกวนจานนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริงๆ!”
_________________________