ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 43 ความจริงเรื่องนกแก้ว (2)
“นางเติ้งจับนกแก้วเอาไว้ แล้วแนะนำแก่จั้งหนิงว่าขนนกแก้วตรงที่ใดที่งดงามที่สุด แนะนำอยู่เป็นนาน แล้วจู่ๆ ก็เกิด ‘พลังมือ’ บิดคอนกแก้วจนหัก!” เว่ยเจิ้งอินจิบน้ำชาอึกหนึ่ง พลางกล่าวอย่างเนิบนาบ
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินแล้วตกใจขึ้นมาทันใด กล่าวว่า “อะไรนะเจ้าคะ?”
เว่ยเจิ้งอินกลับมีท่าทางสงบยิ่ง แล้วพูดต่อว่า “คราวนี้จั้งหนิงเองก็ยังตะลึงตาค้าง จึงมองหน้ากันกับนางเติ้ง ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับอวี๋อู่อย่างไรจึงจะดี! นางเติ้งร้องไห้ไปพลางพูดไปพลางว่านางเฉียนก็ไม่ชอบนางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะก่อนนี้บุตรสาวของนางอายุยังไม่ครบปีก็มาตายไปก่อน ทั้งยังพูดต่อหน้าลูกผู้พี่ของพวกเจ้าหลายหนว่าบุตรที่เกิดจากนางนั้นอับโชค ยามนี้ไม่แน่ว่านางเฉียนอาจสั่งให้นางกลับบ้านเดิมไปด้วยเรื่องนี้ก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนี้นางจะยังมีหน้ามีชีวิตอยู่ในเหล่าตระกูลต่างๆ ได้อย่างไร? จั้งหนิงถูกนางเอาเรื่องความตายมาอ้าง จึงรับปากว่าจะรับผิดเรื่องนี้ให้เอง”
“แต่รับผิดก็ไม่จำเป็นต้องส่งไปที่ห้องครัวนี่เจ้าคะ…” เว่ยฉางอิ๋งถามด้วยความสงสัย ตอนนี้แม้ทุกคนในตระกูลซูและตระกูลเสิ่นจะไม่เอ่ยปากว่าอย่างไร แต่ในใจล้วนนึกคิดกันไปว่าเสิ่นจั้งหนิงก่อเรื่องก่อราวจนเลยเถิดเกินไป หากรู้ว่าเดิมทีนางเพียงคิดจะถอนขนนกมาสองอันแล้วเกิดพลั้งมือทำนกแก้วตาย ก็คงไม่ถึงขั้นโทษนางเช่นนี้
เว่ยเจิ้งอินบอกว่า “เรื่องนี้ก็มีสาเหตุ เจ้ายังไม่เคยเห็นนกแก้วตัวนั้น มันตัวใหญ่ว่านกแก้วที่เลียนเสียงพูดได้ทั่วไปเสียอีก นางเติ้งร่างกายอ่อนแอมาแต่เล็ก ดังนั้นนางจึงเป็นเช่นเจ้า ที่บ้านเชิญอาจารย์มาสอนเพลงหมัดเพลงเตะให้นางเล็กน้อยเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง นางจึงสามารถหักคอนกแก้วตัวนั้นได้ จั้งหนิงบอบบางอยู่แต่ในเรือน ที่ใดจะมือหนักปานนั้น? อวี๋อู่เป็นคนละเอียดรอบคอบ เขาหวงแหนนกแก้วตัวนั้นเสียยิ่ง หากไปบอกเขาตามนั้นว่าเป็นเสิ่นจั้งหนิงพลั้งมือทำมันตาย เขาก็จะต้องมองออกว่ามีพิรุธ! ดังนั้นเพื่อกลบเกลื่อนสาเหตุการตายของนกแก้ว จั้งหนิงจึงส่งมันไปห้องครัวเสีย!”
นางยิ้มหนหนึ่ง “แม่บ้านในห้องครัวเป็นบ่าวติดตามของนางเฉียน แต่คนที่รับหน้าที่เฉือดคอพวกสัตว์ปีกกลับถูกนางเติ้งซื้อตัว ทั้งที่ตอนที่นกแก้วนั่นถูกส่งมามันก็ตายแล้ว เขาก็ไม่ยอมพูด เอาแต่ปิดบังแม่บ้าน และหลังจากชำแหละนกจนเรียบร้อยแล้วจึงไปรายงานว่ามันเป็นนกแก้วเป็นๆ … แต่ว่าบ่าวเพียงคนเดียวจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไรไหว? ดังนั้นบ่าวติดตามของนางเฉียนจึงยังถูกไล่ออกไปด้วย!”
“…จั้งหนิงก็มีเจตนาดีแท้ๆ แต่เรื่องนี้ก็กลับทำให้ท่านแม่เศร้าใจยิ่ง” เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ว่าจะพูดอะไร นางรู้สึกเสมอว่าเสิ้นจั้งหนิงเป็นเด็กเกเรเอาแต่ใจ แต่เหตุใดเมื่อมาได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ในยามนี้ กลับรู้สึกว่าน้องสามีผู้นี้เป็นคนมีจิตใจดีจนน่าใจหาย? ดีจนถึงขั้นซื่อเซ่อเลยทีเดียว
เว่ยเจิ้งอินบอกว่า “ก็เป็นเด็กผู้หญิงนี่ นอกเสียจากพวกที่มีจิตใจไม่ซื่อตรง อย่างไรย่อมมีความไร้เดียงสาและมีน้ำใจงามอยู่ไม่น้อย อีกประการ จั้งหนิงเองก็ใช่ว่าไม่รู้ว่านางเติ้งกำลังหลอกใช้นาง เพียงแค่นางรู้สึกว่านางสามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ไหว ยิ่งไปกว่านั้นนางเติ้งเองก็น่าสงสารจริงๆ”
เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เข้มงวดถึงเพียงนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ย่อมถูกข่มเหงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่กลับไม่รู้ว่าถูกข่มเหงด้วยเรื่องใด จนทำให้พี่สะใภ้ใหญ่ต้องหลอกใช้จั้งหนิงและต้องลงมือทำการเช่นนี้ ทั้งยังมาใช้นกแก้วของลูกผู้น้องเป็นเครื่องมือด้วย?”
เว่ยเจิ้งอินยิ้มเยาะพลางว่า “จะว่าไปที่นางเฉียนทำก็หาได้เกินเลยแม้แต่น้อยไม่! ก่อนนี้บุตรสาวของของนางเติ้งเพิ่งจะอายุได้สี่เดือน เพราะแม่นมไม่ระวังทำให้โดนลมหนาวจนล้มป่วย ครั้งนั้นหมอบอกออกมาคำหนึ่งว่า ดีที่มาพบเร็ว หากกลายเป็นไข้รากสาดใหญ่ก็จะยิ่งยุ่งยาก นางเฉียนจึงเอาคำพูดประโยคนี้มาเป็นข้ออ้าง บอกว่าสงสัยเด็กเล็กคนนั้นจะเป็นไข้รากสาดใหญ่จริงๆ และเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในบ้าน จึงบีบให้นางเติ้งพาบุตรสาวไปอยู่ที่ชนบทนอกเมือง พอหายแล้วจึงอนุญาตให้กลับมาได้!”
เอ่ยถึงตรงนี้ เว่ยเจิ้งอินก็สะอื้นขึ้นมาเล็กน้อย “เด็กเล็กๆ เพียงนั้น ที่ใดจะทนแรงกระเทือนระหว่างทางได้? ยิ่งไปกว่านั้นก็กำลังป่วยอยู่ ปรากฏว่าพอไปถึงชนบทนอกเมืองไม่ถึงสองวันก็ไปเสียแล้ว หลังจากนางเฉียนรู้เรื่อง ยังพูดอย่างดีใจว่าโชคดีที่บีบให้พวกนางออกไป หาไม่แล้วคนทั้งบ้านไม่ถูกพวกนางทำร้ายจนหมดหรือ? จนกระทั่งลูกผู้พี่ของเจ้าทนจนสุดจะทนไหว จึงไปคุกเข่าต่อหน้าท่านลุงใหญ่ของพวกเจ้า ยืนกรานให้ไปขอให้ท่านแพทย์หลวงจี้ไปชันสูตรศพให้แก่บุตรสาว เมื่อยืนยันแน่ชัดว่าเป็นอาการป่วยจากลมหนาว ท่านลุงใหญ่ของพวกเจ้าจึงตำหนินางเฉียน นั่นล่ะนางเฉียนจึงได้หุบปากไป”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินแล้วใจสะท้าน บอกว่า “แล้วไม่มีผู้ใดจัดการเรื่องนี้เลยหรือเจ้าคะ? ท่านยายเล่า?”
ดูไปแล้วแม่เฒ่าเติ้งเป็นคนใจดีมีเมตตานัก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนับไปแล้วนางเติ้งก็ยังเป็นหลานสาวของแม่เฒ่าเติ้งด้วยนี่! เหตุใดจึงไม่ช่วยนางเติ้งจัดการเรื่องนี้?
เว่ยเจิ้งอินยิ้มหยันพลางว่า “ยามนางเฉียนบีบนางเติ้งให้พาบุตรสาวไปที่ชนบทนอกเมืองนั้นหาได้ให้ผู้อื่นรู้เรื่องไม่ คนของนางเติ้งล้วนถูกจับตาดูไม่ให้ไปส่งข่าวได้ และถูกจับยัดขึ้นรถไป อย่างไรเสียนางเฉียนก็เป็นคนดูแลบ้านนี่ รอจนท่านยายรู้เรื่อง นางเติ้งแม่ลูกก็ไปถึงชนบทแล้ว และคงไม่อาจเรียกให้กลับมาในทันทีทันใดกระมัง? เพราะทำเช่นนั้นยิ่งจะเป็นอันตรายต่อเด็กเล็กๆ! ส่วนเรื่องที่บอกว่านางเติ้งมีความสัมพันธ์กับท่านยายของพวกเจ้านั้น เรื่องนี้ก็ต้องโทษตัวของนางเติ้งเองด้วย ครานั้นที่ลูกผู้พี่ใหญ่ของเจ้าแต่งงานกับนาง ก็เป็นท่านยายของพวกเจ้าเป็นคนไปตกลงเอง หลังจากแต่งเข้าบ้านมา แน่นอนว่าท่านยายของพวกเจ้าย่อมเข้าข้างนาง ปรากฏว่านางกลับถูกรังแกด้วยน้ำมือของนางเฉียนหนแล้วก็หนเล่า ตอนแรกนั้นยังเอาไปบอกกับท่านยายของพวกเจ้า ท่านยายของพวกเจ้าใจดี แม้จะว่ากล่าวตักเตือนนางเฉียนว่าอย่าได้ใจร้ายกับสะใภ้เกินไปนัก ทว่านางเฉียนยิ่งจับทางได้ว่าท่านยายของพวกเจ้าเป็นคนเช่นไร นางจึงปกปิดเรื่องต่างๆ ที่ลงมือทำมากขึ้นเรื่อยๆ ”
“ภายหลังนางเติ้งถูกข่มเหงจนไม่มีทางพูดออกไปได้ นางถูกรังแกเสียจนกลัว กลายเป็นว่าต้องคอยทำตามนางเฉียนไปทุกเรื่องเพื่อขอให้ได้อยู่อย่างสุขสงบ นานวันเขาจึงค่อยๆ ห่างเหินจากท่านยายของพวกเจ้ายังไม่พอ ระหว่างนั้นยังถูกนางเฉียนบงการและทำเรื่องที่ทำให้ท่านยายของเจ้าต้องเสียใจหลายครั้งหลายหน ท่านยายของเจ้าเป็นคนจิตใจดี มิได้ไล่เรียงเอาความกับนาง แต่ภายหลังจึงมองนางเป็นเช่นหลานสะใภ้ทั่วๆ ไปคนหนึ่งเท่านั้น”
พูดถึงตรงนี้นางจึงหันมาชี้แนะหลานสาวว่า “จากเรื่องนี้ ความจริงนางเติ้งก็ทำผิดแล้ว แม้จะบอกว่านางเคยทำให้ท่านยายเสียใจ แต่ประการแรกท่านยายของพวกเจ้าก็เป็นคนใจดี ประการต่อมาอย่างไรเสียพวกนางก็เป็นบุตรสาวตระกูลเติ้ง เป็นคนในสายเลือดเดียวกัน หากภายหลังนางสำนึกแล้ว ไปรับผิดต่อท่านยายของพวกเจ้า วิงวอนขอร้องนาง ท่านยายของพวกเจ้าหรือจะใจแข็งไม่ไปสนใจนาง? ปรากฏว่าหลังจากที่นางสำนึกแล้ว เรื่องที่รู้สึกผิดก็ส่วนรู้สึกผิด แต่กลับรู้สึกกระดากใจที่จะไปอธิบายกับท่านยายของเจ้าให้ชัดแจ้ง และเมื่อเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ มีหรือนางเฉียนจะเห็นหัวนาง? ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเรื่องที่นางใช้ข้ออ้างว่าเด็กเป็นไข้รากสาดใหญ่เพื่อไล่พวกนางแม่ลูกไปชนทบนอกเมืองอย่างไรเล่า! ดังนั้นจึงว่ากันว่าผิดพลาดไปหนหนึ่งไม่เป็นไร แต่หากยังผิดแล้วผิดเล่าจึงเป็นการตัดหนทางของตนเอง!”
เว่ยฉางอิ๋งทอดถอนใจกล่าวว่า “ท่านอากล่าวถูกต้องเป็นที่สุด เรื่องต่างๆ ที่พี่สะใภ้ทำก่อนหน้านี้ช่างเลอะเลือนเหลือเกินเจ้าค่ะ” สาเหตุที่นางเฉียนใจร้ายกับนางเติ้งในตอนแรกนั้นก็ใช่ว่าเป็นเพราะไม่ชอบนางเติ้ง ความจริงแล้วก็เพียงเพราะนางเฉียนไม่ชอบซูรั่วเฉียนซึ่งเป็นบุตรของอนุเท่านั้น จนภายหลังที่นางเติ้งเอาเรื่องมาฟ้อง แล้วแม่เฒ่าเติ้งก็ใจดีและไม่น่าเกรงขามพอ กดสะใภ้เอาไว้ไม่อยู่ กลับทำให้นางเฉียนยิ่งเกิดความเกลียดชังนางเติ้งขึ้นมา ส่วนนางเติ้งนั้นก็มิใช่คู่ปรับของแม่สามีผู้นี้ จะว่าไปนางก็เป็นคนอ่อนแอ จึงรู้สึกว่าในเมื่อท่านย่ารองของตนไม่อาจปกป้องตนเองได้ จึงหันไปทำตามนางเฉียนเสียเลย!
ทว่าแม่สามีเช่นนางเฉียนผู้นี้ แม้แต่สะใภ้ของบุตรชายแท้ๆ ของตน ซึ่งเป็นหลานสาวป้าใหญ่แท้ๆ ของตน และเป็นนับเป็นหลานสาวฝั่งสามีของตน อีกทั้งยังกำเนิดในตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงที่มีฐานะทัดเทียมกับตระกูลซูแห่งชิงโจว นางยังบีบคั้นเสียจนเกือบจะเอาหัวพุ่งชนโลกศพของสามีจนตาย แล้วจักเป็นไปได้อย่างไรว่าหากยอมทำตามนางแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสงบ?
เมื่อหนนี้นางเติ้งก้าวผิดไปอีกก้าว ไม่เพียงจะกลายมาเป็นหุ่นเชิดของนางเฉียนอย่างเต็มที่ ยิ่งไปว่านั้นยังทำให้นางเฉียนยิ่งดูแคลนนาง จนแม้แต่ทำให้บุตรสาวของนางตายด้วยการบีบบังคับทางอ้อม นางเฉียนก็ยังทำออกมาได้!
หากนางเติ้งเป็นคนปากกล้าใจกล้า ต่อให้ไม่ฉลาดเท่าใด นางเฉียนมีหรือจะกล้าจับหลานสาวอายุสี่เดือนที่กำลังป่วยยัดใส่รถและไล่ไปอยู่ชนบทนอกเมือง? อย่างไรเสีย แม้ว่าแม่เฒ่าเติ้งจะเป็นคนอ่อนโยน ไม่อาจกดพวกสะใภ้เอาไว้ได้ แต่ซูผิงจ่านก็จะไม่มีวันปล่อยให้สะใภ้เหิมเกริมได้ถึงเพียงนี้!
เว่ยฉางอิ๋งคิดอยู่ในใจ ว่าแม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นแล้ว แต่เหตุที่ยังคงเป็นความลับก็เพราะว่าหากแพร่งพรายออกไป คนที่จะต้องเสียหน้าก็คือตระกูลซู และเพราะเด็กที่เสียไปก็เป็นเพียงเหลนผู้หญิง ซูรั่วเฉียนและนางเติ้งต่างก็อายุน้อย วันหน้ายังสามารถมีบุตรคนอื่นได้อีก ซูผิงจ่านจึงสั่งให้ปิดเรื่องนี้เสีย
ถ้านางเติ้งเป็นคนเก่งกาจ ต่อให้นางเฉียนไม่ดีต่อนาง นางก็จะโวยวายเอาเรื่องอยู่ไม่เว้นวัน… ทั้งตอนนี้แม่เฒ่าเติ้งก็ยังอยู่ ต่อให้นางเฉียนคิดแต่จะกล้าออกปากให้นางกลับบ้านไปได้อย่างไร? เมื่อไม่อาจส่งนางกลับบ้าน ทั้งยังกดนางไว้ไม่ได้ และเพราะมีตัวอย่างของเสิ่นจั้งจูอยู่ก่อนหน้า ทุกคนจะไม่คิดว่าเป็นนางเติ้งไม่กตัญญู ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคิดว่าเป็นนางเฉียนที่ใจดำกับสะใภ้ เมื่อเป็นดังนี้ คาดว่านางเฉียนต้องเป็นคนเสนอออกมาเองว่าจะให้ซูรั่วเฉียนออกไปอยู่ข้างนอก เพื่อจะได้เอานางเติ้งไปให้พ้นตา จะได้ไม่ต้องอยู่ให้รกหูตกตาอีก
และเมื่อเวลานั้นมาถึง ก็กลับกลายเป็นว่านางได้อิสระแล้ว
ส่วนเรื่องที่บอกว่านางเติ้งสูญเสียบุตรสาวผู้นี้ไป…และนางก็ไม่กล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต หากจะทำให้เป็นเรื่องขึ้นมาจริงๆ แม้ในใจของซูผิงจ่านจะเคืองโกรธที่หลานสะใภ้ไม่รู้ความ แต่ก็ไม่อาจไม่ให้คำตอบสักคำแก่นางได้ อย่างน้อยๆ นางเฉียนก็ต้องได้ชื่อว่าไร้ความเมตตา วันหน้าหากต้องการหาเรื่องมาบีบคั้นบุตรของอนุรวมทั้งสะใภ้ก็จะไม่ง่ายดายอีกแล้ว แน่นอนเว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องสถานการณ์ต่างๆ ของบ้านซูอย่างกระจ่างชัดนัก นางเติ้งเองก็เป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ แต่อิทธิพลของบ้านตนไม่สู้บ้านของสามี ดังนั้นจะทำการหรือพูดจาใดๆ ย่อมมีเรื่องที่ต้องลำบากใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรเสีย แม้ว่ายามนี้ตระกูลเติ้งยังมีพระสนมเอกชั้นกุ้ยเฟยอยู่ในวังหลวง ทว่าองค์ชายหกซึ่งเป็นพระโอรสพระองค์เดียวของพระสนมเอกก็เสียไปตั้งแต่ยังเล็ก ความโปรดปรานที่องค์ฮ่องเต้มีต่อนางก็มีเพียงบางเบา ห่างไกลกับเมื่อก่อนนี้ ครั้งยังมีไทเฮาเติ้งอยู่มากนัก
“ก็มิใช่หรือไร?” เว่ยเจิ้งอินจับแต่งเครื่องประดับผมรูปดอกไม้ที่อยู่ขอบมวยผม เอ่ยเสียงต่ำว่า “ภายหลังท่านยายของเจ้าก็เศร้าเสียใจด้วยเรื่องของเหลนผู้นี้ นานๆ ที่จะเห็นนางโกรธเกรี้ยวออกมา และยึดเอาอำนาจการดูแลบ้านจากนางเฉียนมามอบให้แก่นางเติ้ง เพียงแต่ประการแรกนางเติ้งยังคงเสียใจจากการตายของบุตรสาวอยู่ ประการที่สองนางเฉียนก็ดูแลบ้านมานานปี มีรากฐานในบ้านที่มั่นคง ดังนั้นเมื่อท่านยายของเจ้าพูดมาเช่นนี้ ในนามแล้วนางเฉียนต้องส่งมอบอำนาจกลับคืนมา แต่ในความเป็นจริงแล้วหากนางเติ้งไม่อาศัยนางก็ไม่มีปัญญาจะไปจัดการเรื่องต่างๆ ในบ้าน! ภายหลังท่านยายของพวกเจ้าจนปัญญา จึงทำได้แต่ให้นางกู้ของบ้านสองเข้าไปช่วยด้วย ดีชั่วอย่างไรจักได้ไม่ให้นางเติ้งกลายเป็นหุ่นเชิดของนางเฉียนอย่างเบ็ดเสร็จ ครานี้จู่ๆ นางเติ้งกลับสร้างเรื่องขึ้นมา ก็คงเพราะแค้นเคืองจนถึงที่สุดแล้ว!”
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งคิดถึงนกแก้วตัวนั้นขึ้นมา ก็อดจะรู้สึกไม่ได้ว่าแม้นางเติ้งจะต้องการแก้แค้นแม่สามี แต่การลากผู้บริสุทธิ์ลงน้ำไปด้วยกลับเป็นการกระทำที่มากเกินไป จึงว่า “น่าเสียดายนกแก้วของลูกผู้น้องนะเจ้าคะ!”
สำหรับนกแก้วที่เล่าลือกันว่ามีค่าเหนือธรรมดา และมีความสำคัญใหญ่หลวงกับซูอวี๋อู่ตัวนี้ เว่ยเจิ้งอินกลับมิได้เสียใจเลยแม้แต่น้อย กลับกันนางกลับพูดอย่างพอใจว่า “นกแก้วนั่นไม่มีสิ่งใดน่าเสียดาย! ก่อนนี้ท่านตาของพวกเจ้าก็เคยบอกแล้วว่าอย่าให้อวี๋อู่หลงใหลในของเล่นจนเสียการ ข้าคิดไปคิดมา นอกจากปีก่อนที่อวี๋อู่ไล่สาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้เขามานานปีออกไปสองสามคนเพราะนกแก้วตัวนั้น แล้วยังจะมีเรื่องใดที่บ้านใหญ่เอาไปฟ้องได้อีก? ก่อนนี้เขายังเล็ก นอกจากร่ำเรียนหนังสือแล้ว เลี้ยงมันเอาสนุกกลับมิเป็นไร แต่ยามนี้เขาโตแล้ว นกแก้วตัวนั้นตายเสียได้ก็ดี จักได้ให้อวี๋อู่เอาจิตใจจดจ่อกับเรื่องสำคัญ เพื่อมิให้ต้องวอกแวกไปกับของเล่นชิ้นหนึ่ง!”
…มิน่าเล่าเมื่อเว่ยเจิ้งอินเอ่ยถึงเรื่องทั้งหมดจึงดูสงบนิ่งนัก คงเพราะพอดีกับที่นางหวังให้นกแก้วตัวนี้ตายอยู่แล้วกระมัง? เพียงแต่ก่อนนี้ซูอวี๋อู่คอยปกป้องมันมาโดยตลอด?
เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “ก่อนนี้พี่สะใภ้ทั้งสองของข้ายังพากันหารือกันว่าจะหานกแก้วที่คล้ายคลึงกันมาชดใช้ให้ลูกผู้น้องอยู่เลยเจ้าค่ะ! ยังบอกอีกว่าจะไปเอามาจากเมืองรกร้างทางใต้ได้อีกสักตัวหรือไม่”
เว่ยเจิ้งอินรีบบอกว่า “อย่าเชียว! อุตส่าห์ได้โอกาสให้ของนั่นหายไป ข้ากลับไม่อยากได้อีกตัวที่จะมาแย่งเวลาร่ำเรียนและตั้งใจในเรื่องสำคัญของอวี๋อู่นะ! หากคราหน้าพวกนางยังเสนออีก หากข้าไม่อยู่ด้วย เจ้าก็คิดหาหนทางตอบแทนข้าไปเสียเลย!”
“เจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งตอบไปคำหนึ่ง แล้วว่า “วันนี้ในโถงหลักล้วนไม่เห็นน้องสี่เลยเจ้าค่ะ?”
“ก็นางกลัวว่าจะถูกพวกเจ้าพากลับไปแล้วถูกตีน่ะสิ!” เว่ยเจิ้งอินหัวเราะพลางว่า “วันนี้นางจึงไม่ตื่นไปเสียเลย ก่อนพวกเจ้าจะมาก็ให้อวี๋เฟยมาขอลาแล้ว บอกว่าปวดหัว คาดว่าคงไม่มีผู้ใดรักษาได้หรอก ต้องรอให้พวกเจ้าไปเสียก่อน หรือให้แม่สามีเจ้าบอกว่าจะไม่ตีนาง นั่นล่ะจึงจะหาย”
เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง กล่าวว่า “ท่านแม่ก็พูดแรงไปเช่นนี้เอง เพียงดูจากเรื่องที่ท่านแม่มาเอ่ยเรื่องแต่งงานกับท่านอาครานี้ ก็รู้แล้วว่าท่านแม่รักนางเพียงใด ดังเช่นท่านอาว่า หากมิใช่ทำเพื่อนาง แล้ววันนี้ท่านแม่จะให้ย้าวเหยี่ยเขาลางานและมาที่นี่กับข้าได้อย่างไร? แท้จริงแล้วก็ยังคงกังวลว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องแต่งงาน จึงรีบร้อนให้ข้ามาสอบถามความเห็นของท่านอาเจ้าค่ะ!”
เว่ยเจิ้งอินบอกว่า “ข้าก็คิดอยู่ว่าวันนี้ไม่ใช่วันหยุด แม่สามีเจ้าให้ความสำคัญกับสามีของเจ้าผู้นี้มากเสียกว่าที่ข้ามีต่ออวี๋อู่เสียอีก แล้วจะให้สามีเจ้าลาหยุดเพื่อให้มาคารวะท่านอาของสะใภ้ได้อย่างไร? เรื่องที่เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ในชีวิตจองบุตรสาวนางจะไม่ร้อนใจได้หรือ ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงที่นางกลับมาอยู่ที่นี่พักหนึ่ง ได้ยินว่าระหว่างนั้นทางจวนท่านราชครูก็เกิดเรื่องขึ้นเช่นกัน สองสามวันมานี้คงกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่กันกระมัง?”
เว่ยเจิ้งอินกลับไม่ได้มีท่าทีจะสอบถามว่าระยะนี้บ้านเสิ่นเกิดเรื่องใดขึ้น ก็เพียงสอบถามไปเท่านั้น เมื่อยามนี้ได้ยินหลานสาวบอกมา นางกลับพยักหน้าและบอกว่า “เจ้าเพิ่งจะแต่งเข้าบ้าน ก็ควรต้องเป็นเช่นนี้ หากพอแต่งเข้ามาก็เดินไปนั่นมานี่เข้าออกประตูในจวนเพื่อสอดส่องถามไถ่เรื่องต่างๆ เช่นนี้จึงจะถือว่าปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง และทำลายชื่อเสียงอันดีของบุตรสาวตระกูลเว่ยของเรา!”
เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากยิ้มแล้วว่า “เจ้าค่ะ!”
เว่ยเจิ้งอินบอกไปอีกว่า “ในเรือนเจ้ายามนี้มีบ่าวบ้านเสิ่นอยู่น้อย แต่ก็ไม่ต้องรู้สึกว่าไม่สะดวกหรอก เพราะแม้จะเป็นบ่าวติดตามเจ้ามาหลังแต่งงาน แต่ยามนี้แต่งเข้าบ้านเสิ่นมาแล้ว พวกบ่าวยังต้องกลัวว่าตนจะไม่อาจทำความคุ้นเคยกับบ่าวบ้านเสิ่นอีกหรือ? เจ้าน่าจักรู้ว่าเหตุใดบ่าวไพร่ในบ้านเจ้าแต่เดิมจึงมีน้อย?”
_________________________________