ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 44 กลับจวน
วันนี้หลังจากเสิ่นจั้งเฟิงเลิกงานก็มารับภรรยาที่บ้านซู เว่ยฉางอิ๋งประเหลาะเสิ่นจั้งหนิงได้แล้ว จึงไปเก็บของและรออยู่ด้วยกัน
ทว่าว่ากันตามตรงแล้วพี่สะใภ้หรือจะสนิทชิดเชื้อได้เท่ากับพี่ชายแท้ๆ แม้ก่อนหน้านี้เสิ่นจั้งหนิงจะตอบตกลงว่าจะกลับไปพร้อมกับนาง แต่เห็นเสิ่นจั้งเฟิงมาก็ลากเขาไปข้างๆ แล้วสอบถามว่าสองสามวันมานี้ฮูหยินซูยังคงโกรธอยู่หรือไม่ หากตนกลับไปยามนี้จะเป็นอันตรายหรือไม่?
ด้วยเหตุที่อยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าเติ้งและคนอื่นๆ เสิ่นจั้งเฟิงจึงทำหน้าบึ้งดึงและตำหนินางไปว่า “ตอนนี้เจ้ารู้สึกกลัวขึ้นมา แล้วเหตุใดก่อนนี้จึงได้ทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนั้น?”
เสิ่นจั้งหนิงสะบัดแขนเสื้อไปมาพลางกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “ก็ข้าขอโทษลูกผู้พี่ห้าแล้วอย่างไร ลูกผู้พี่ห้าก็บอกว่าไม่โทษข้าแล้ว”
แม่เฒ่าเติ้งย่อมต้องช่วยแก้สถานการณ์ให้หลานสาว “ก็เพียงแค่นกแก้วตัวหนึ่ง ลูกผู้พี่ห้าของเจ้าก็เพียงแค่เลี้ยงมันมาหลายปีจึงได้โมโหขึ้นมายกหนึ่ง ว่ากันจริงๆ แล้วก่อนจะเขาโกรธ ไอ้เจ้าพวกไม่ได้ความก็ไม่รู้จักช่วยเตือนเขาสักหน่อย ทำเอาพวกเจ้านายต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน! ยามนี้ลูกผู้พี่ห้าของพวกเจ้าใจเย็นลงแล้ว ย่อมไม่โกรธเจ้าแล้ว… มาถือโทษโกรธเคืองลูกผู้น้องแท้ๆ ด้วยเรื่องของเล่นเพียงชิ้นเดียว หากเขากล้าเช่นนั้น ยายจะตีเขาให้พวกเจ้าเอง!”
ตอนนี้ซูอวี๋อู่เองก็อยู่ด้วย ได้ยินคำพลันถอนหายใจแล้วว่า “ท่านย่า ข้าก็บอกไปนานแล้วว่าไม่ถือสาอย่างไรเล่าขอรับ”
“นี่ก็เป็นเพราะลูกผู้พี่ของเจ้าใจกว้าง หากเป็นคนนอก แล้วไม่คิดแค้นเจ้าก็แปลกแล้ว!” เสิ่นจั้งเฟิงต่อว่าน้องสาวต่อไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ก็พูดออกมาอีกว่า “เห็นแก่ที่ท่านยายช่วยพูดให้เจ้า และลูกผู้พี่ของเจ้าไม่ถือสาเจ้า ครานี้จะปล่อยเจ้าไปสักหน! แต่หากยังมีคราหน้า…”
เสิ่นจั้งหนิงรีบยกมือขึ้นอย่างคล่องแคล่วว่องไง บอกว่า “ข้าไม่กล้าอีกแล้ว!”
แม่เฒ่าเติ้งจึงรู้สึกสงสารนางขึ้นมาอีกหน แล้วขึ้นเสียงไปสองสามคำว่าเสิ่นจั้งเฟิงเข้มงวดกวดขันเกินไป หลังจากร่ำลากันแล้ว จึงชักชวนไปตามธรรมเนียมว่าให้พวกเข้าอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกัน เสิ่นจั้งเฟิงบอกปัด บอกว่าไม่ได้ถามบิดามารดาก่อน หากกลับไปช้าก็จะไม่ใคร่ดีนัก ฮูหยินผู้เฒ่าจึงปล่อยให้พวกเขาไป และให้ซูอวี๋อู่ไปส่งพวกเขา
เมื่อไม่ได้อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า เสิ่นจั้งหนิงจึงหันไปแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ซูอวี๋อู่ แล้วขู่ไปว่า “คราวหลังหากท่านยังเลี้ยงนกแก้วอีก พอเลี้ยงอีก ข้าก็จะเอามากินอีก! ไม่ใช่ว่าแค่นกแก้วตัวเดียวหรอกหรือ? ท่านก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่เสียจนหลายวันมานี่ข้าไม่กล้ากลับบ้านเลย วันนี้กลับไปถ้าข้าถูกตี คราวหลังจะต้องมาตีท่านระบายอารมณ์!”
ซูอวี๋อู่แค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง บอกว่า “เจ้ายังกล้าพูดออกมาได้? เต่าที่เจ้าเลี้ยงไว้ในห้องตัวนั้นก็มิใช่ว่ารักใคร่มันเสียอย่างกับอะไร… เต่าตัวนั้นมันมีดีอันใด พูดก็พูดไม่ได้ ถ้าข้าเอาเต่าตัวนั้นของเจ้าไปต้ม เจ้าจะทำเช่นไร?”
เสิ่นจั้งหนิงกระโดดโหยงเหยงขึ้นสูงสามฉื่อ พูดอย่างโกรธเคืองว่า “เช่นนั้นข้าก็จะสู้ตายกับท่านแล้ว!”
“หุบปาก!” เสิ่นจั้งเฟิงตะเบงเสียงออกมาอย่างมีน้ำโห บอกว่า “เจ้ายังกล้าพูดอีก! หากยังไม่เคารพลูกผู้พี่ของเจ้าอีก กลับไปข้าจะไปฟ้องท่านแม่ แล้วเอาเต่าตัวนั้นของเจ้าไปทิ้งเสีย!”
“พี่ชายสาม นี่ท่านเป็นพี่ชายร่วมท้องของข้านะ!” เสิ่นจั้งหนิงดึงแขนเขาเหวี่ยงไปมาอย่างน้อยอกน้อยใจ “ยามนี้ก็ไม่ได้อยู่ต่อหน้าท่านยายแล้ว ไยท่านไม่ช่วยข้าสักหน่อยเล่า?”
ซูอวี๋อู่เอียงตามองนางหนหนึ่ง กำลังจะพูดบางอย่าง เสิ่นจั้งเฟิงกลับพูดออกมาก่อนอย่างเย็นชาว่า “เจ้ายังจะให้ข้าช่วยเจ้ารึ? ข้ากำลังสั่งสอนเจ้าอยู่ แต่เจ้ากลับแทบจะไปตีลูกผู้พี่ห้าต่อหน้าข้าแล้ว!”
เสิ่นจั้งหนิงหมดตัวช่วยจึงตาแดงขึ้นมาด้วยความน้อยใจ ปล่อยแขนเขาทิ้ง แล้วเดินไปข้างหน้าด้วยความโมโห และไม่พูดสิ่งใดอีก
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าที่เสิ่นจั้งเฟิงพูดเช่นนี้ ก็มิใช่เพราะในขณะที่มีซูอวี๋อู่อยู่ข้างๆ เสิ่นจั้งหนิงยังแสดงออกด้วยท่าทีโอหังเพียงนี้ เสิ่นจั้งเฟิงย่อมต้องอบรมเสิ่นจั้งหนิงสักหน่อย แต่นางรู้ว่าเสิ่นจั้งหนิงรับผิดแทนนางเติ้ง ครานี้จึงอดจะรู้สึกไม่ได้ว่าน้องสามีผู้นี้น่าสงสารยิ่งนัก จึงรีบเข้าไปคล้องแขนนางแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “น้องสี่อย่าโกธรไปเลย พี่ชายสามของเจ้าก็พูดไปเช่นนั้นเอง เจ้าอย่าได้ไปถือสาเขา!”
เสิ่นจั้งหนิงทำหน้าบึ้งไม่ยอมให้นางคล้องแขน ปากก็พึมพำว่า “ข้าจะถือสาเขา! ข้าขู่ลูกผู้พี่ห้าแค่ไม่กี่คำ ลูกผู้พี่ห้าก็ไม่ยอมให้ข้า แล้วมันเรื่องใดที่พี่ชายสามต้องอดรนทนไม่ไหวและไปช่วยเขาเช่นนั้น? ลูกผู้พี่ห้าโตกว่าข้า ทั้งยังเป็นลูกผู้พี่ ยอมให้ข้าสักหน่อยมิได้หรือไร?” พูดไปปากน้อยก็เบ้ไปจะร้องไห้ออกมา
เว่ยฉางอิ๋งรีบพูดปลอบนาง “ใช่ๆๆ พวกเขาเข้าใจแคบเกินไปแล้ว! พี่สะใภ้จะช่วยเจ้าต่อว่าพวกเขา” แล้วว่างท่าเป็นลูกผู้พี่ต่อว่าซูอวี๋อู่ “ลูกผู้น้องก็จริงๆ เชียว จั้งหนิงอายุยังน้อย เจ้าเป็นพี่ ก็ยอมให้นางสักน้อยจะเป็นไรไป?” ทางหนึ่งพูดไป อีกทางหนึ่งก็หันไปกระพริบตาให้ซูอวี๋อู่
ซูอวี๋อู่จนใจ จึงได้แต่ประสานมือคำนับไปทางเสิ่นจั้งหนิง พลางกล่าวกลบเกลื่อนไปว่า “ลูกผู้พี่หญิงกล่าวถูกต้องนัก ลูกผู้น้องสี่เจ้าก็อย่าได้ถือสาข้าเลย เมื่อครู่นี้เป็นข้าที่ใจคอคับแคบเอง!”
เสิ่นจั้งหนิงเงยหน้าขึ้นมองพูดฟ้าไม่มองเขา พลางแค่นเสียงออกมาทางจมูก “เห็นว่าท่านน่าสงสาร แล้วก็มีพี่สะใภ้ข้าช่วยพูดให้ ข้าเป็นผู้ใหญ่ใจคอกว้างขวาง คราวนี้ก็จะปล่อยท่านไปก็แล้วกัน!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งกุมขมับพลางมองซูอวี๋อู่ด้วยสายตาขออภัยไปหนหนึ่ง ข้างซูอวี๋อู่ก็ทำหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘ข้ารู้อยู้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้’ เห็นชัดว่าทั้งซูและเสิ่นทั้งสองบ้านล้วนอยู่ที่เมืองหลวง พวกเด็กๆ จึงเล่นด้วยกันมาแต่เล็กจนโต เสิ่นจั้งหนิงเป็นคนเช่นไร ซูอวี๋อู่รู้ชัดเหลือเกินแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายว่านางจะต้องได้ทีขี่แพะไล่เช่นนี้
เสิ่นจั้งเฟิงทนดูต่อไปไม่ไหว กำลังจะต่อว่าน้องสาวไปอีก เว่ยฉางอิ๋งถลึงตาใส่เขาหนหนึ่ง แล้วพูดเสียงต่ำว่า “รถม้าอยู่ตรงหน้านี้แล้ว เจ้าอย่ามาร่วมวงด้วยเลย!”
ที่สุดก็มาถึงตรงหน้ารถม้าแล้ว รถม้าที่ฮูหยินซูพาบุตรสาวกลับบ้านมาเยี่ยมแม่เฒ่าเติ้งนั้น เมื่อนางกลับไปรถม้าย่อมกลับไปด้วยแล้ว ยามนี้เสิ่นจั้งหนิงจะกลับไป ย่อมต้องนั่งกลับไปกับเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋ง
เสิ่นจั้งเฟิงจึงสละที่นั่งให้น้องสาว ส่วนตนเองก็ขี่ม้าที่ยืมจากจวนตระกูลซูตอนกลับไปทำงานก่อนหน้านี้ แล้วนัดกันเรียบร้อยว่าอีกสองวันจะนำมาส่งคืน… ซูอวี๋อู่จึงบอกว่าเขาอย่างได้เกรงใจ
จึงร่ำลากันไปเช่นนี้
ระหว่างทางกลับ เสิ่นจั้งหนิงใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ คอยสอบถามเว่ยฉางอิ๋งหนแล้วหนเล่าเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อกลับไปจะถูกตีหรือไม่ เพราะในรถมีแต่คนสนิท ทั้งผีผาและเชียงตี๋สาวใช้สองคนของเสิ่นจั้งหนิงก็ล้วนปรนนิบัติอยู่ใกล้ชิดนาง เว่ยฉางอิ๋งจึงพูดอย่างคลุมเครือไปว่า “น้องสี่เป็นคนมีคุณธรรมสูงส่ง ขอเพียงมีเรื่องใดก็ควรบอกท่านแม่สักคำ ท่านแม่จักได้ไม่เข้าใจผิด”
เสิ่นจั้งหนิงได้ฟังพลันสะดุ้ง บอกว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรกัน?” จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมา “เป็นท่านน้าสะใภ้สามบอกท่านกระมัง?”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “เรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านน้าสะใภ้สามก็กลัวว่าเมื่อเจ้ากลับไปแล้วจะถูกท่านแม่ตำหนิเอา”
“เฮ่อ!” เสิ่นจั้งหนิงถอนหายใจ กล่าวว่า “ท่านก็มิใช่ว่าไม่รู้ หากท่านแม่รู้สาเหตุ ที่ใดจะยอมให้ข้าไปรับผิดแทนพี่สะใภ้ใหญ่? และจะต้องพูดความจริงออกมาแน่ๆ เช่นนั้นพี่สะใภ้ใหญ่จะทำเช่นไรเล่า? หากข้ารับผิดแทนนาง พี่สะใภ้สามท่านก็เห็นแล้ว ดีชั่วอย่างไรข้าก็เพียงถูกต่อว่าไม่กี่คำ อย่างมากสักประเดี๋ยวกลับบ้านไปก็ให้ท่านแม่ลงโทษตามระเบียบตระกูลไปสักหน เรื่องก็จะผ่านไปแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าจิตใจของนางก็ดีเกินไปเสียแล้ว จึงกล่าวเตือนไปว่า “ความจริงแล้วแม้ความจริงจะถูกเปิดเผยออกมา และถึงแม้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะไม่อาจรอดตัวได้ง่ายดายเช่นน้องสี่ แต่ก็ไม่ถึงกับถูกส่งตัวกลับบ้าน และที่บอกว่าเป็นเช่นนี้แล้วจะไม่มีชีวิตรอด ก็เป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้น”
ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งหนิงฟังคำพูดนี้กลับมองนางด้วยหน้าตาไร้คำพูด แล้วบอกว่า “ข้าต้องรู้อยู่แล้ว”
“…” เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพักจึงบอกว่า “เช่นนั้นเหตุใดน้องสี่ยังจะไปช่วยรับผิดแทนพี่สะใภ้ใหญ่เล่า?”
เสิ่นจั้งหนิงกล่าวว่า “เพราะท่านไม่ได้เห็นว่ายามแขนเสื้อของพี่สะใภ้ม้วนขึ้นมาเล็กน้อยนั้น บนตัวพี่สะใภ้มีแต่รอยช้ำจากนิ้วมือ…”
เว่ยฉางอิ๋งตกใจใหญ่ “ท่านป้าสะใภ้ถึงกับกล้าตีพี่สะใภ้ใหญ่จนเป็นเช่นนี้รึ?!”
ต่อให้เป็นแม่ใหญ่ที่เลี้ยงดูบุตรของอนุ หรือแม่เลี้ยงที่เลี้ยงดูลูกของภรรยาคนก่อน แม้จะไม่ดีต่อพวกนางอย่างไรก็ยังไม่กล้าตีจนเกิดบาดแผลชัดเจนถึงเพียงนี้ เพราะหากมีคนเห็นเข้า ก็มิใช่จะกลายเป็นหลักฐานให้เห็นอยู่ทนโท่หรอกหรือ? นางเฉียนร้ายกับนางเติ้งจนถึงขั้นอาจหาญไม่เกรงกลัวสายตาใครถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เสิ่นจั้งหนิงถลึงตาใส่นางหนหนึ่งแล้วพึมพำว่า “พี่สะใภ้สามนี่โง่เสียจริง ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เป็นคนโง่เช่นนั้นรึ?”
คำพูดนี้แม้จะพูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ แต่เพราะนางอายุยังน้อย ยังคิดอะไรแบบไร้เดียงสา พวกสาวใช้พากันเอาแขนเสื้อปิดปากหัวเราะ เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ได้ถือสา ลูบผมนางแล้วว่า “ใช่ๆ พี่สะใภ้สามโง่… เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาซิว่าเหตุใดบนตัวพี่สะใภ้ใหญ่จึงมีบาดแผลเช่นนี้?”
นางอดจะสงสัยไม่ได้ว่าคงไม่ใช่ซูรั่วเฉียนทำหรอกระมัง?
จึงได้ยินเสิ่นจั้งหนิงพูดเสียงเบาๆ ว่า “เป็นพี่สะใภ้ใหญ่หยิกตัวเอง!”
“…!” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกงงงัน แล้วจากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมา “นั่นก็เพื่อ…บุตรสาวของนาง?” นับแต่นางเติ้งแต่งเข้าบ้านมาก็มีบุตรสาวผู้นี้เพียงคนเดียว แม้แต่ชื่อก็ยังไม่ทันได้ตั้ง กลับถูกแม่สามีบีบคันจนต้องตายไปเสียแล้ว ภายในใจทุกข์ทรมานจนไม่อาจอธิบายออกมาได้ จึงกลับใช้วิธีทำร้ายตัวเองเพื่อระบายความทุกข์ออกมาเช่นนั้นหรือ?
เสิ่นจั้งหนิงได้ยินคำ พลันหรี่ตาลงแล้วว่า “อ่ะ วันนี้ท่านน้าสะใภ้สามล้วนบอกกล่าวกับท่านจนหมดเลยรึ?”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะแล้วบอกว่า “ท่านน้าสะใภ้สามบอกว่าน้องสี่ฉลาดนัก ข้ายังบอกว่าข้าเพิ่งจะแต่งเข้ามาไม่นาน ยังไม่ค่อยคุ้นเคยอุปนิสัยใจคอของน้องสี่ ยามนี้ก็นับว่ารู้แล้วว่าคำที่ท่านน้าสะใภ้สามกล่าวนั้นไม่ผิดเลย!”
“ข้าย่อมฉลาดเป็นที่สุดอยู่แล้ว!” เสิ่นจั้งหนิงพยักหน้าหนแล้วหนเล่า ยอมรับคำวิจารณ์นี้อย่างไม่ถ่อมตัวเลยแม้สักน้อย จากนั้นก็พูดอย่างกลัดกลุ้มว่า “แต่ยามนี้น้องสี่ที่ทั้งฉลาดและใจดีของท่านผู้นี้ กำลังจะถูกตีแล้ว ทำอย่างไรดีนะ?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดีว่า “เมื่อครู่นี้มิใช่เจ้าบอกว่าอย่างมากก็ถูกตียกหนึ่งหรอกหรือ? เหตุใดยามนี้จึงกลัดกลุ้มขึ้นมาเสียแล้วเล่า?”
“ไม่กลัวได้รึ?” เสิ่นจั้งหนิงบ่นออกมาคำหนึ่ง แล้วพิงตัวไปข้างรถพลางเอ่ยอย่างเซ็งๆ ว่า “แม่นมเถาที่อยู่กับท่านแม่เป็นคนที่ไม่เห็นแก่หน้าใครเป็นที่สุด ยามตีคนขึ้นมานางไม่ยอมยั้งมือเลยแม้สักน้อย เจ็บเอาการ!”
เว่ยฉางอิ๋งอดจะพูดไปไม่ได้ว่า “ความจริงแล้วข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าในเมื่อเจ้าจะช่วยรับโทษแทนพี่สะใภ้ใหญ่ ไยต้องเอานกส่งไปห้องครัวด้วย? ก็เพียงแค่ยอมรับว่าจับนกแก้วของลูกผู้น้องห้าไป โทษก็จะไม่เบากว่านี้รึ แล้วท่านแม่ก็จะต้องโกรธถึงเพียงนี้ด้วย?
เสิ่นจั้งหนิงเงยหน้าขึ้นพูด “เอ๋ ท่านน้าสะใภ้สามไม่ได้บอกพี่สะใภ้หรอกรึ? ว่าที่นกแก้วตัวนั้นตาย…”
“…แอบสั่งคนที่เชื่อใจเอาออกไปฝังแล้ว หรือไม่ก็บอกว่าไม่ทันระวังจึงทำมันบินหนีไปแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเสียงเบาๆ
“…!” เสิ่นจั้งหนิงนิ่งอึ้งอยู่เป็นนาน แล้วจึงตบหน้าผากตัวเอง พลางกล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า “จริงด้วย! ข้าบอกว่ามันบินหนีไป ก็ไม่สิ้นเรื่องแล้วหรือ? เมื่อเป็นดังนั้นลูกผู้พี่ห้าก็จะไม่ต้องโกรธถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเอาแต่คิดออกไปตามหานกแก้วโน่น แล้วจะมามัวอาละวาดอยู่ที่ใดกัน? หากเขาไม่อาละวาด ท่านแม่ก็จะไม่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ…โธ่ ดูไปแล้วข้ายังฉลาดไม่พอ วันหน้าหากพบเจอเรื่องเช่นนี้ จักต้องมาขอคำชี้แนะกับพี่สะใภ้ให้มากๆ จึงจะดี!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบบอกไปว่า “ความจริงข้าเองก็เป็นคนนอกจึงมองได้ชัดกว่า เมื่อว่ามาเช่นนี้ หากเป็นข้าอยู่ในเรื่องนี้เอง ก็ไม่แน่ว่าจะคิดความคิดนี้ออก” นางพลันคิดในใจว่าข้าก็เพียงพูดไปลอยๆ วันหน้าเจ้าอย่าได้ทำเรื่องไม่ดีใดๆ ก็มาให้ข้าช่วยเชียว หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะช่วยเจ้าออกความคิดดี หรือว่าจะเปิดโปงเจ้าดี? ไม่ใช่ทั้งสองทางแน่!
เสิ่นจังหนิงกัดหมัดแล้วบอกว่า “อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ข้าจำเอาไว้แล้ว หนหน้าหากมีเรื่องคล้ายๆ กัน ข้าก็รู้แล้วว่าควรพูดเช่นใด”
เว่ยฉางอิ๋งปาดเหงื่อแล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ความคิดเรื่องเอานกแก้วส่งไปห้องครัวนี้เป็นผู้ใดคิด? เป็นเจ้าหรือเป็นพี่สะใภ้ใหญ่?”
“พี่สะใภ้ใหญ่คิด” เสิ่นจั้งหนิงทำปากจู่ พลางเล่นแถบผ้าที่ย้อยลงมาจากผมทรงก้นหอยคู่ กล่าวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าหากเอาไปทำของกินก็จะมองไม่ออกแล้วว่ามันตายอย่างไร”
เป็นเช่นนี้นี่เอง เว่ยฉางอิ๋งคิดใคร่ครวญว่าจะเตือนน้องสามีตัวน้อยผู้นี้เช่นไรดี ว่าวันหน้าอย่าได้ทำตามคำผู้อื่นเช่นนี้อีก ก็ได้ยินเสิ่นจั้งหนิงบอกว่า “ความจริงข้ารู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ซื้อตัวคนในห้องครัว คิดจะโยนเรื่องนี้ไปที่ตัวของท่านป้าสะใภ้ใหญ่”
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจแล้วว่า “น้องสี่รู้หมดทุกสิ่ง แต่เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าทำเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะเป็นการช่วยพี่สะใภ้ใหญ่? เจ้าดูเอาเถิดวันนี้พวกเรากลับบ้าน หากน้องสี่ไม่เอ่ยออกมาเอง ผู้ใดจะรู้ว่าครานี้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จะทำเช่นใดกับพี่สะใภ้ใหญ่บ้าง?” นี่ล้วนเป็นเรื่องภายในบ้านตระกูลซู ฮูหยินซูจึงไม่ไปเอ่ยถึงมากมายนัก กระทั่งซูผิงจ่านก็ไม่ต้องการให้ฮูหยินซูพูดมากด้วย… เจ้าซึ่งเป็นหลานตายาย เข้าไปก้าวก่ายแล้วจะดีหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นที่นางเติ้งทำเช่นนี้ โดยอ้อมแล้วแม้จะเป็นการขวางซูอวี๋เหลียงหนหนึ่ง แต่ดูจากวิธีการและนิสัยของนางเฉียนที่เห็นตลอดมา แล้วนางเฉียนจะปล่อยนางไปได้อย่างไร? ในเมื่อเสิ่นจั้งหนิงเห็นใจนางเติ้งจึงไปรับผิดแทนนาง แต่เมื่อนางรับผิดนี้แล้ว นางเติ้งเองก็กลับไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขได้นี่!
เสิ่นจั้งหนิงขยับเข้ามาข้างหูนาง กระซิบบอกว่า “อีกวันสองวันพี่สะใภ้ท่านก็จะรู้เอง ข้าเป็นโง่เพียงนั้นจนคิดเรื่องพวกนี้ไม่ออกรึ?”
เว่ยฉางอิ๋งสอบถามนางอย่างสงสัย “พี่สะใภ้ใหญ่ยังมีแผนการในภายหลัง?”
เสิ่นจั้งหนิงเอานิ้วม้วนแพรมัดผม แต่กลับเอาแต่มองไปซ้ายขวาไม่ยอมพูด
_________________________________