ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 45 ปรองดอง
เมื่อกลับมาที่จวนราชครู พอฮูหยินซูได้พบเสิ่นจั้งหนิงก็อดจะวิ่งวุ่นไปมาไม่ได้ สองแม่ลูกวิ่งอ้อมต้นเสา เจ้าไล่ตาม ข้าวิ่งหนีอยู่พักใหญ่ เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งเตือนคนนี้ปลอบคนนั้น ทุกคนต่างพากันกระหืดกระหอบไปหมด สุดท้ายฮูหยินซูเหนื่อยเอง จึงได้เว่ยฉางอิ๋งประคองกลับไปนั่งที่ แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “หากไม่เห็นแก่ที่พี่ชายสามและพี่สะใภ้สามของเจ้าช่วยพูดแทนเจ้า วันนี้เข้าไม่ตีเจ้าให้ขาหักก็แปลกแล้ว!”
เสิ่นจั้งหนิงเถียงกลับไปทั้งน้ำตาคลอตาว่า “หักขาข้าแล้ว ต่อไปดูซิว่าท่านจะบอกกับท่านยายและท่านพ่ออย่างไร!” แม่เฒ่าเติ้งเป็นคนใจอ่อนและรักใคร่เอ็นดูหลานๆ เป็นที่สุด เสิ่นเซวียนมีบุตรหกคนธิดาสองคน ของที่มีน้อยย่อมเป็นสิ่งสำคัญ เขาจึงรักใคร่บุตรสาวมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อบุตรสาวคนโตแต่งกับท่านอ๋องจี้และติดตามไปอยู่ในเขตศักดินากับสามีและนานๆ ครั้งจะได้พบกันสักหน ดังนั้นแล้ว สำหรับเสิ่นจั้งหนิงบุตรสาวคนเล็กผู้นี้ เขาจึงอดจะไม่ได้ที่จะให้ท้ายนางบ้าง ก่อนนี้แม้แต่ห้องหนังสือซึ่งเป็นสถานที่สำคัญยิ่ง ก็ยังอนุญาตให้นางเข้าออกได้ตามใจ
แม้หลังจากที่เสิ่นจั้งหนิงจะช่วยเสิ่นจั้งเฟิงขโมย ‘ลู่หู’ ไป เสิ่นเซวียนก็ไม่อนุญาตให้นางเข้ามาในห้องหนังสืออีก ทว่านอกเหนือจากนี้แล้วความรักใคร่เอ็นดูนางก็มิได้แตกต่างจากเมื่อก่อนแต่อย่างใด หนนี้เสิ่นจั้งหนิงจึงได้ยกผู้ใหญ่ทั้งสองคนมาอ้างหน้า
“เจ้าตัวแสบนี่!” เดิมทีฮูหยินซูก็เตรียมจะผ่อนคลายลงอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำจึงพลันบันดาลโทสะขึ้นมาอีกหน และลุกโหยงขึ้นมาจะเข้าไปตีนาง
เสิ่นจั้งเฟิงรีบผลักน้องสาวไปข้างหลังตน ทางหนึ่งก็เอาตัวบังนางไว้ อีกทางหนึ่งก็ตำหนินางว่า “เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? ยังไม่รีบขอขมาท่านแม่อีก!”
เสิ่นจั้งหนิงทำปากจู๋ โผล่หัวออกมาจากหลังพี่ชาย แล้วพูดไปพอผ่านๆ ประโยคหนึ่งว่า “ท่านแม่อย่าได้โกรธไปเลย ข้าเป็นผิดเอง!”
เสิ่นจั้งเฟิงจึงช่วยนางรอมชอมอีกหน “น้องสี่ยังเล็กไม่รู้ความ ท่านแม่อย่าถือสานางเลย… วันนี้เห็นว่าท่านยายแจ่มใสขึ้นมาก หรือว่าจะให้ลูกพาน้องสี่ไปอบรม แล้วให้อิ๋งเออร์เล่าเรื่องท่านยายให้ท่านแม่ฟัง?”
ฮูหยินซูรู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงทำเช่นนี้เพื่อเบี่ยงเบนประเด็น เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งก็จับแขนนางเอาไว้แน่นๆ แล้วบอกว่า “ก็มิใช่หรือเจ้าคะ? วันนี้สีหน้าของท่านยายดีขึ้นมาก ทั้งยังคุณเรื่องน่าสนใจกับสะใภ้ตั้งมากมาย สะใภ้ยังคิดว่าจะนำกลับมาเล่าให้ท่านแม่ฟังจะได้ดีใจอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”
เมื่อมาคิดว่าตนเองก็ตั้งตาคอยฟังข่าวอยู่ที่บ้านมาทั้งวัน ฮูหยินซูจึงถลึงตาอย่างดุดันใส่บุตรสาวที่หลบอยู่ข้างหลังเสินจั้งเฟิงและกำลังดังแขนเสื้อพี่ชายแอบมองสีหน้าของตนอยู่ และกล่าวว่า “ก็ดี อย่างไรเสียท่านยายของพวกเจ้าก็สำคัญกว่า ส่วนเจ้าตัวแสบนี้… เฟิงเอ๋อร์เจ้าพานางกลับไปที่เรือน ภายในสามวันนี้ห้ามออกมาจากประตู!”
เสิ่นจั้งเฟิงรีบเอามือปิดปากเสิ่นจั้งหนิงแล้วลากนางออกไป หางตาของฮูหยินซูพลันกระตุก… นางยกแขนขึ้นทันใด รอจนบุตรสาวออกไปแล้ว จึงตบโต๊ะแรงๆ ไปหนหนึ่ง พลางด่าทอว่า “ไอ้เจ้าเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! คราหน้าห้ามพวกเจ้าพูดแทนนางแล้วนะ”
เว่ยฉางอิ๋งขบมุมปากกลั้นหัวเราะ พลางก้มตัวคำนับบอกว่า “เจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูปล่อยวางท่าทีลงอย่างฝืนใจ จากนั้นก็ถอนหายใจ เมื่อสั่งให้บ่าวทั้งซ้ายขวาออกไปแล้วก็ถามเข้าประเด็นว่า “คืนปิ่นไปแล้วหรือยัง?”
“เดิมทีท่านอาไม่ยอมรับกลับคืนเจ้าค่ะ แต่หลังอาหารเที่ยง ท่านตากลับมาแล้วเอ่ยมาประโยคหนึ่ง ท่านอาจึงรับกลับไปเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน
ฮูหยินซูได้ยินคำสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป แล้วลุกขึ้นมานั่งตัวตรงโดยไม่ทันรู้สึกตัว เอ่ยถามไปว่า “พูดสิ่งใด?”
“ท่านตาบอกว่า สายตาของท่านตาและท่านยายก็เฉียบคมเช่นกัน ดังนั้นพวกลูกๆ จึงมีแต่ดีๆ ทั้งนั้น เจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก “ตอนนั้นท่านยายบอกว่าสะใภ้และท่านพี่รักใคร่ปรองดองกัน ชมว่าท่านปู่ของสะใภ้และท่านพ่อมีสายตาเฉียบคม แล้วท่านตาก็พูดต่อมาเช่นนี้เจ้าค่ะ”
ใบหน้าของฮูหยินซูพลันมีอาการไม่เป็นธรรมชาติปรากฏขึ้นมา จากนั้นพักใหญ่จึงบอกว่า “ข้ารู้แล้ว… เดิมทีก็รู้สึกว่าหนิงเอ๋อร์เป็นคนซุกซนเกินไป กลัวว่าหากนางแต่งเข้าบ้านอื่นก็จะถูกรังแก ท่านอาหญิงของเจ้าเป็นน้าสะใภ้สามแท้ๆ ของนาง ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม อย่างไรก็คงจะอภัยให้นางได้มากสักหน่อย แต่เจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้การเอง.. เรื่องนี้ก็เอาเช่นนี้เถิด” แม้นางจะรู้สึกชื่นชมในอนาคตของหลานชายซูอวี๋อู่ และรู้สึกเมื่อเว่ยเจิ้งอินเป็นแม่สามีก็ยังพอไหว แต่บิดาของตนก็พูดมาดังนี้แล้ว เห็นชัดว่าไม่สนับสนุนให้มีการแต่งงานในหมู่ญาติในครานี้ แม้ฮูหยินซูเองก็เป็นย่าคนแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าขัดคำบิดาของตน
เว่ยฉางอิ๋งต้องเอ่ยคำเพื่อรักษาน้ำใจไปอย่างขาดไม่ได้ว่า “ท่านอากลับรู้สึกว่านิสัยแท้จริงของน้องสี่ที่มิได้เป็นคนเสแสร้งนั้นน่ารักมากนะเจ้าคะ วันนี้ท่านอาต้องรับปิ่นหยกเขียวนกเป็ดน้ำด้ามนั้นกลับไปอย่างไม่เต็มใจเป็นนักเป็นหนา ทั้งยังบอกหลายครั้งหลายหนว่านางก็ดูน้องสี่เติบโตมา และเอ็นดูนางด้วยใจเสมอมา หากมาเป็นสะใภ้ได้ก็คงไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้เจ้าค่ะ”
“เฮ่อ เด็กทั้งคนล้วนดีกันทั้งนั้น น่าเสียดายก็แต่เพียงมีวาสนาไม่พอ” ฮูหยินซูรู้ว่าคำพูดนี้ก็เพียงช่วยให้นางว่างตัวได้ง่ายขึ้น ดีชั่วอย่างไรเรื่องก็ไม่อาจเป็นไปได้แล้ว แม้นางจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ยังดีที่เสิ่นจั้งหนิงเพิ่งจะอายุสิบห้าปี เป็นเวลาที่เพิ่งจะเริ่มโตพอดิบพอดี กลับไม่จำเป็นต้องร้อนใจนัก
คราวนี้จึงเอ่ยถามถึงสุขภาพของแม่เฒ่าเติ้ง “เมื่อครู่นี้เฟิงเอ๋อร์บอกว่ายามนี้ท่านยายของพวกเจ้าอาการดีขึ้นมาก?”
“สะใภ้ไม่เคยพบท่านยายมาก่อน จึงไม่ทราบว่าที่ท่านยายผายผอมไปคราก่อน เวลานี้กลับมาเหมือนเดิมแล้วหรือไม่เจ้าค่ะ? แต่ดูจากท่าทางแล้ว ท่านยายดูมีสุขภาพดียิ่งเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเอามือมาปิดปากบอกว่า “วันนี้…ยังเอาเรื่องของสะใภ้และท่านพี่ไปพูดล้อเล่นเสียตั้งหลายครั้งด้วยเจ้าค่ะ…” ระหว่างพูดนางก็มีท่าทีเขินอายยิ่ง
ฮูหยินซูหัวเราะแล้วบอกว่า “แต่ไรมาท่านยายของพวกเจ้าก็ชอบพูดล้อเล่น แต่หากมิใช่ลูกหลานที่นางชอบแล้วล่ะก็ นางจะไม่ไปหยอกล้อง่ายๆ หรอกนะ เมื่อพูดเล่นเรื่องของพวกเจ้า ก็เป็นเพราะรักใคร่พวกเจ้าทั้งนั้น”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยปากออกมาเองว่า “ท่านแม่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ แม้วันนี้สะใภ้จะได้พบท่านยายเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกว่าท่านยายเป็นคนใจดีมีเมตตา ให้ความสนิทสนมและรักใคร่กับลูกหลานยิ่งเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูยังเอ่ยถามถึงคนอื่นในบ้านฝั่งมารดาอีกสองสามคำ จึงปล่อยให้นางกลับไป “วันนี้พวกเจ้าออกไปข้างนอกมา คงจะเหน็ดเหนื่อย เวลานี้ฟ้าก็มืดแล้ว ข้าก็ไม่รั้งเจ้าอยู่ต่ออีก กลัวว่าเฟิงเอ๋อร์จะกลับไปก่อนแล้ว เจ้าก็ไปเถิด”
เว่ยฉางอิ๋งลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยขอร้องไปว่า “ตอนสะใภ้ยังไม่ได้ออกเรือน ได้ยินว่าครั้งลูกผู้พี่ในบ้านของท่านลุงกลับมาที่เมืองหลวงเกิดเรื่องขึ้น คิดว่ายามนี้ก็ครบเดือนแล้ว อย่าจะหาวันไปเยี่ยมนางสักหน่อย หวังว่าท่านแม่จะอนุญาตเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูขมวดคิ้ว เว่ยฉางอิ๋งนึกว่านางไม่พอใจที่ตนเพิ่งจะแต่งงานครบเดือน ทั้งยังเพิ่งจะกลับมาจากจวนตระกูลซูก็อยากจะออกจากบ้านอีกแล้ว ในขณะที่กำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น กลับได้ยินฮูหยินซูถอนหายใจหนหนึ่งแล้วบอกว่า “เป็นเด็กตระกูลซ่งผู้นั้นกระมัง? น่าสงสารจริงๆ คทาหยกหรูอี้ก็คืนให้ราชสำนักไปแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้หญิงก็มิใช่ใบหน้าหรอกหรือ? แล้วกลับมาทำให้เสียโฉมเสีย… แม้ข้าจะไม่เคยพบนาง ทว่ามารดาของนาง เมื่อนับไปแล้วก็คล้ายว่าจะเป็นท่านอาของเจ้าด้วย? ยามนางยังสาวก็เป็นสาวงามที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง คิดว่านางจะต้องงดงามดังบุปผาผุดผ่องดังดวงจันทร์เช่นกัน ยามนี้…”
นางส่ายหน้าไปมา บอกว่า “เจ้าเป็นลูกผู้น้องฝั่งมารดาโดยตรงของนาง ไปดูนางสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร เพียงแต่เวลานี้เรือนของเจ้าเพิ่งจะจัดระเบียบเรื่องต่างๆ ยังต้องให้เจ้าคอยดูแลจัดการสักหน่อย กลับไม่ควรจะไปค้างอ้างแรมข้างนอก อย่างมากที่สุดก็ทานอาหารเย็นที่บ้านตระกูลซ่ง และกลับมาก่อนเวลาห้ามออกจากบ้าน”
เว่ยฉางอิ๋งยินดีนัก รีบเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ! ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ!”
เพราะได้รับอนุญาตจากฮูหยินซู วันพรุ่งก็จะสามารถไปพบซ่งไจ้สุ่ยที่จวนตระกูลซ่งแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เมื่อกลับมาที่เรือนจินถงมุมปากนางก็ยังคงอมยิ้มอยู่
พอเข้าประตูมานางเฮ่อก็ออกมารายงานว่า “คุณชายกลับมาแล้ว ฮูหยินน้อยก็กลับมาแล้ว เช่นนั้นก็ตั้งอาหารยามนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ?”
“ตั้งอาหารเถิด” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าพลางว่า
หลังจากอาหาร อาบน้ำเสร็จ และเข้าไปในห้องแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงเบียดตัวเข้ามาใกล้เช่นเคย วันนี้เว่ยฉางอิ๋งไม่เพียงไม่ทำให้เขาลำบากใจเช่นเคยเป็น แต่กลับเงยหน้าขึ้นมาแล้วเป็นฝ่ายจูบแก้มเขาหนแล้วหนเล่า
เสิ่นจั้งเฟิงอดตกตะลึงไม่ได้ มือหนึ่งโอบตัวนาง อีกมือหนึ่งประคองแก้มนางแล้วพูดอย่างสงสัยว่า “เจ้าคงไม่ใช่ปีศาจตนใดจำแลงกายมาเป็นภรรยาข้าหรอกกระมัง?”
“เชอะ!” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำ พลันถีบเขาไปหนหนึ่งด้วยความโกรธ แล้วบ่นว่า “เจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นวันหน้าข้าจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเป็นพอ!”
“ไม่ใช่” เสิ่นจั้งเฟิงรีบยิ้มให้นางแล้วว่า “สามีถูกเอาใจจนตกใจ! ถูกเอาใจจนตกใจต่างหาก!” แล้วก้มลงไปจูบนาง หลังจากรุกเร้ากันอยู่พักใหญ่ เขาสงสัยเสียเหลือเกินจนทนไม่ไหว จึงถามว่า “วันนี้เหตุใดอิ๋งเอ๋อร์จึงดีกับสามีเพียงนี้? หรือว่าท่านน้าสะใภ้สามหรือท่านแม่ช่วยสามีพูดเรื่องดีๆ เรื่องใดให้เจ้าฟัง?”
เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่ยอมบอกเขา เหตุที่วันนี้นางเป็นฝ่ายเขาหาเขาเช่นนี้ นอกจากเพราะดีใจที่วันพรุ่งก็จะได้พบลูกผู้พี่แล้ว ก็เป็นยังเพราะท่านอาเว่ยเจิ้งอินบอกกับนางเองว่า ด้วยเหตุที่ตนเองจะแต่งเข้าบ้าน เสิ่นจั้งเฟิงจึงได้จงใจไล่สาวใช้หน้าตาสะสวยออกไปจากเรือนจนหมด นางเอียงตามองสามีหนหนึ่ง ทำท่างอนพลางปัดมือเขาออก “พอข้าดีกับเจ้าก็ยังต้องมาซักไซ้ไล่เลียงน่ารำคาญเช่นนี้ ดูท่าว่าข้าต้องไม่ใยดีเจ้าต่อไปจึงจะดี!”
เสิ่นจั้งเฟิงรวบแขนเข้ามากอดนางไว้แน่น แล้วหัวเราะเสียงดังพลางบอกว่า “อิ๋งเอ๋ออร์พูดถูกแล้ว อิ๋งเอ๋อร์ดีกับสามีก็ดีแล้ว รีบให้สามีรักใคร่เจ้าดีๆ เสียทีเถิด…”
“อุ๊ย!” เว่ยฉางอิ๋งถูกเขาอุ้มขึ้นมา แล้วพาเข้าไปในมุ้ง…
เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาตื่นมาอย่างอารมณ์ดียิ่ง เสิ่นจั้งเฟิงยังลงมือช่วยนางแต่งหน้าเองด้วย เว่ยฉางอิ๋งนั่งตัวตรงให้เขาเขียนคิ้วให้ ปากก็พร่ำบ่นอย่างทีเล่นทีจริงว่า “เจ้าก็ทำเป็นแค่เขียนคิ้ว อย่างมากก็ช่วยข้าแต้มจุดแดงที่หว่างคิ้ว แต่กลับต้องใช้เวลาเสียตั้งนาน แล้วก็ต้องให้ท่านอาหวงช่วยทำต่ออีก… ประเดี๋ยวก็ทำให้ข้าไปคารวะท่านแม่ช้าหรอก!”
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะพลางว่า “ใบหน้าของอิ๋งเอ๋อร์ ไม่ว่าจะตกแต่งอีกหรือไม่ก็เหมือนกัน อีกประการตอนนี้ยังเช้าอยู่ หรือต่อให้สายแล้ว เจ้าก็บอกท่านแม่ไปว่าถูกสามีรั้งตัวไว้ คราหน้าให้ท่านแม่เอาเรื่องสามีเป็นพอแล้ว”
นางหวงรีบเข้าไปช่วยรอมชอมว่า “คุณชายกล่าวถูกต้องที่สุดเจ้าค่ะ แม้ข้าน้อยจะแต่งหน้าทาแป้งเป็น แต่สายตาก็ไม่เทียบเท่าคุณชายเจ้าค่ะ คุณชายแต่งให้อย่างเรียบๆ ง่ายๆ เช่นนี้ แต่ดูไปแล้วฮูหยินน้อยกลับดูทั้งสดชื่นทั้งงดงามเจ้าค่ะ ไม่มีดีไปกว่านี้แล้วเจ้าค่ะ มิน่าเล่าคนโบราณจึงบอกว่า ‘ให้ตัดทอนแป้งน่ารังเกียจและสีทาหน้าสกปรกทิ้งไป’ หากทาชาดแดงและทาแป้งอย่างที่ข้าน้อยเคยทำฮูหยินน้อยเมื่อก่อนนี้ ก็จะบดบังความงามดั้งเดิมในตัวของฮูหยินไปเสีย เห็นทีว่าวันหน้าข้าน้อยต้องทำตามที่คุณชายแต่งหน้าให้ฮูหยินน้อยจึงจะดีเจ้าค่ะ!”
บ่าวทั่วหล้าบอกว่างามไหนเลยจะสำคัญเท่าสามีบอกว่างามเล่า? เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานที่สูงส่งนี้ นางหวงจึงมิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะกดฝีมือการแต่งหน้าที่ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินซ่งล้วนเอ่ยชมเป็นเสียงเดียวกันให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินไปเสีย…
เสิ่นจั้งเฟิงวางหอยไส้ดำลง ยิ้มพลางไล้แก้มของภรรยา แล้วบอกว่า “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่?”
“ท่านอาหวงก็เพียงช่วยเจ้าพูดเท่านั้น!” เว่ยฉางอิ๋งหยิกเขาหนหนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงตาเร็วมือไวคว้าเอามือนางมาบีบเอาไว้แล้วจึงคลายออก ทั้งสองคนสบตากันหนหนึ่ง ท่าทางที่อบอวลไปด้วยไอรักเช่นนั้น ดูแล้วทำเอาสาวใช้ทั้งหมดพากันหน้าแดงและต้องหันเหสายตาไปทางอื่น นางหวง นางว่านที่เป็นคนระดับท่านอากลับมีสีหน้าปลื้มปิติยิ่ง จิตใจแทบจะเบิกบานไร้กังวลใดๆ แล้ว
สองสามีภรรยาทานอาหารด้วยกันอย่างหวานชื่น เว่ยฉางอิ๋งไปส่งเสิ่นจั้งเฟิงที่หน้าประตูด้วยตนเองเป็นครั้งแรก ทั้งยังพิรี้พิไรสั่งความกันอีกพักหนึ่ง เมื่อส่งเขาด้วยสายตาไปไกลแล้ว จึงกลับมาในเรือนจัดเตรียมของต่างๆ สักพัก และเตรียมตัวไปคารวะฮูหยินซู
นางหวงตามเข้าห้องไปช่วยนางจัดผ้าคล้องแขน พลางกล่าวอย่างเปรมปรีดิ์ว่า “เหตุใดจู่ๆ ฮูหยินน้อยก็มาดีกับคุณชายเช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ? ข้าน้อยเห็นภาพนี้ ก็นับว่าวางใจแล้ว สามารถไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าได้แล้วเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งมองนางอย่างไม่พอใจหนหนึ่ง “ท่านอาพูดสิ่งใดกัน! ข้าก็มิใช่แค่… แค่เป็นเช่นนี้กับเขาเสมอมาหรือ?”
นางหวงรู้ว่านางเขินอาย จึงไม่ได้กระเซ้าต่อ พลางยิ้มแล้วว่า “เจ้าค่ะๆๆ ฮูหยินน้อยเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว วันหน้านั้น ก็ให้ทำเช่นนี้กับคุณชายเป็นดีเจ้าค่ะ!”
“ไม่พูดกับท่านเรื่องพวกนี้แล้ว ช่วยข้าเลือกดอกไม้ลูกปัดสักสองอัน เช้านี้เขาเขียนคิ้วให้ เงอะๆ งะๆ อยู่เช่นนั้น ทำเสียจนปักดอกไม้ลูกปัดได้ดอกเดียวก็ต้องออกไปแล้ว เมื่อไปอยู่ต่อหน้าท่านแม่ก็จะดูธรรมดาเกินไป ท่านอาดูซิว่าอันทีเป็นดอกไห่ถังนี้เป็นเช่นไร?” มุมปากของเว่ยฉางอิ๋งยกขึ้นมา แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่สนใจและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสีย
นางหวงมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า บอกว่า “มีคนบอกว่าไม่ว่าฮูหยินน้อยจะทำเช่นไรก็ดีไปเสียหมด ข้าน้อยรู้สึกว่าถูกต้องยิ่งนัก”
“โธ่เอ๊ย ท่านอา! พูดสิ่งใดกัน! เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นมา วางดอกไม้ลูกปัดลง กำลังจะพูดบางสิ่ง ท่าทีที่ยอมตายก็ไม่ยอมรับของนางทำเอานางหวงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คำพูดนี้มิใช่นายท่านใหญ่เป็นคนพูดหรอกหรือเจ้าคะ? ข้าน้อยได้ยินหลี่ว์ฉวนพูดมา บอกว่านายท่านใหญ่เคยชมว่าฮูหยินน้อยมีหน้าตางดงามนัก ไม่ว่าจะสวมใส่สิ่งใดล้วนดูดีไปหมด! ฮูหยินน้อยคิดไปถึงที่ใดแล้วเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งจึงได้รู้ว่าถูกนางหวงเย้าแหยเอาเสียแล้ว พลันหน้าแดงและอาละวาดอย่างไม่ยอมใจ สองนายบ่าวเอะอะกันอยู่พักหนึ่ง จนนางเฮ่อต้องเข้ามาเตือนว่าใกล้จะถึงเวลาไปคารวะฮูหยินซูแล้ว จึงพากันช่วยเว่ยฉางอิ๋งปักดอกไม้ลูกปัดสองอันและปิ่นอุบะ เมื่อตรวจดูแล้วไม่มีที่ใดเสียมารยาท จึงพากันตามนางไปที่เรือนหลัก
__________________________________