ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 46 พี่น้องพบกันอีกครา
เพราะวันก่อนฮูหยินซูอนุญาตเว่ยฉางอิ๋งแล้ว หลังจากรอให้พวกสะใภ้เข้ามาคารวะเรียบร้อยแล้ว จึงถามสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในบ้านไปสองสามคำ และสอนสั่งพวกหลานสาวหลานชายอีกสักพักจึงว่า “ฉางอิ๋งจะไปเยี่ยมลูกผู้พี่จวนท่านเสนาบดีตรวจการ ตอนนี้ก็ไปได้แล้ว จำไว้ว่าต้องกลับมาก่อนเวลาห้ามออกนอกบ้าน”
เว่ยฉางอิ๋งรีบลุกขึ้นคำนับ “สะใภ้รับคำสั่งเจ้าค่ะ!”
ในเมื่อมีนางหลิวและนางตวนมู่อยู่ด้วย พวกนางจึงต้องพูดจาคลุมเครือใส่เว่ยฉางอิ๋งไปสองสามคำอย่างขาดเสียไม่ได้ บอกว่าที่แท้ฮูหยินซูก็ดีต่อเว่ยฉางอิ๋งนัก นี่เพิ่งจะครบหนึ่งเดือนไปสองวันก็อนุญาตให้สะใภ้ไปโน่นมานี่ได้ทั่วแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วตอบว่า “หาไม่แล้วจะบอกว่าพวกเราโชคดีได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ? คนข้างนอกมีบ้านใดที่ไม่อิจฉาว่าบ้านเรามีผู้ใหญ่เช่นท่านแม่ ที่เอ็นดูสะใภ้เช่นพวกเราเป็นที่สุด? ไม่ปิดบังพี่สะใภ้ทั้งสอง เมื่อวานที่ไปหาทานยาย ระหว่างทางท่านพี่ยังล้อเล่นกับข้าอยู่เลยว่าเห็นท่านแม่เอ็นดูข้าเช่นนี้ เขาเองก็อิจฉาแล้วเจ้าค่ะ”
นางผลักทุกเรื่องให้กับฮูหยินซู นางหลิวและนางตวนมู่จึงไม่อาจพูดสิ่งใดได้อีก ทำได้เพียงเอ่ยชมฮูหยินซูว่ามีเมตตากรุณา จึงทำให้สะใภ้ของนางโชคดีกันเพียงนี้… ฮูหยินซูมองดูบรรดาสะใภ้ที่ก่อวิวาทะกันใต้น้ำในตอนนี้ด้วยสายตาเกียจคร้าน แล้วบอกว่ากับเว่ยฉางอิ๋งว่า “เจ้ายังมีญาติพี่น้องใดต้องไปหา สองวันนี้ก็เร่งรีบไปคารวะเสียเถิด บ้านเราคนมาก พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองล้วนมีลูกๆ ต้องดูแล จึงไม่มีแก่ใจมากมายไปดูแลจัดการบ้านเรือน วันหน้าเจ้าก็จะแอบขี้เกียจไม่ได้แล้ว”
ฮูหยินซูพูดออกมาเพียงผ่านๆ เช่นนี้ แต่สะใภ้ทั้งสามคนกลับพากันนิ่งอึ้งไปเสียแล้ว ในโถงพลันไม่มีเสียงไปพักใหญ่ๆ หลายอึดใจจากนั้นจึงเป็นเว่ยฉางอิ๋งที่เอ่ยปากออกมาอย่างตื่นๆ ว่า “ท่านแม่เจ้าคะ สะใภ้เพิ่งจะเข้าบ้านมาไม่นาน ทั้งในบ้านก็ยังมีสะใภ้ถึงสามคน ด้วยสะใภ้มีอายุน้อยที่สุด ล้วนยังไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ในเวลาที่ยังต้องเรียนรู้จากท่านแม่และพี่สะใภ้ทั้งสองคนอีกมากเช่นนี้ แล้วจักไปดูแลบ้านได้ที่ใดเจ้าคะ? จึงต้องขอให้ท่านแม่ทบทวนคำสั่งด้วยเจ้าค่ะ”
นางหลิวยิ้มออกมาอย่างผิดธรรมชาติ นิ้วที่นางออกแรงทึ้งผ้าเช็ดหน้าอยู่พลันกลายเป็นสีซีดเล็กน้อย ยามนี้จึงพูดออกมาได้แต่เพียงว่า “น้องสามพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกแล้ว ผู้ใดจักไม่เคยผ่านวัยแรกรุ่นมาก่อน? ยิ่งไปกว่านั้นน้องสะใภ้สามก็เฉลียวฉลาดมาแต่ไร เรื่องดูแลบ้านนี้ มิใช่ว่าแค่เรียนรู้ก็ทำเป็นในทันใดหรอกหรือ?”
ด้วยฐานะในตระกูลของเสิ่นจั้งเฟิง กำหนดเอาไว้แล้วว่าหลังจากภรรยาของเขาเข้าบ้านมาก็จะต้องเป็นคนดูแลทุกเรื่องในบ้าน แต่วานนี้บ้านสามเพิ่งจะแต่งงานใหม่ครบเดือน ฮูหยินซูไม่แม้จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ นางหลิวยังนึกว่าฮูหยินซูคิดจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเรื่องการดูแลบ้าน คิดไม่ถึงว่ากลับมาประกาศในวันนี้เสียแล้ว
ผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ที่พอเข้าบ้านมาก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลและจัดการเรื่องต่างๆ ในบ้านเสิ่นมาสิบกว่าปีแล้ว แม้นางหลิวเตรียมจะส่งมอบอำนาจในมือให้กับเว่ยฉางอิ๋งมานานแล้ว แต่เมื่อวันนี้มาถึงจริงๆ นางหลิวก็ยังรู้สึกไม่พอใจมาจากขั้วหัวใจ เมื่อพูดจบมุมปากของนางก็อดจะตกลงไม่ได้ จนแม้แต่รอยยิ้มก็ยากจะทำให้มีต่อไปได้อีก
นางตวนมู่กระแอมไอหนหนึ่ง บอกว่า “เพิ่งจะบอกไปว่าท่านแม่รักใคร่น้องสะใภ้สาม ท่านแม่ก็หันมารักใคร่พวกเราด้วยแล้ว ข้ากำลังคิดว่าซูเหยียนดื้อรันเกินไป อยากจะบอกแก่ท่านแม่สักหน่อยว่าให้ข้าดูแลเรื่องต่างๆ น้อยลงสักนิด จักได้มีเวลามาอบรมนางอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”
แม้จะบอกว่านับตั้งแต่เว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านมานางตวนมู่ก็หาเรื่องกับน้องสะใภ้ผู้นี้ในทันใด แต่ในเรื่องการดูแลบ้านเรือนนี้ นางกลับได้รับผลกระทบน้อยกว่านางหลิวมากนัก เดิมทีอำนาจในมือนางก็ไม่ได้มากมายอะไร ก็เพียงแค่ช่วยงานนางหลิวบ้างเท่านั้น อย่างไรเสียเสิ่นเหลี่ยนสือก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของฮูหยินซู แม้เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินซูนางก็นับว่าพอจะมีหน้ามีตาบ้าง แต่หากว่ากันถึงเรื่องความเชื่อถือแล้วจะเทียบเท่าสะใภ้ในบุตรชายแท้ๆ ได้อย่างไร?
ดังนั้นคำพูดนี้ของนางจึงพูดออกมาอย่างราบเรียบปราศจากอารมณ์ใดๆ
ฮูหยินซูล้วนมองท่าทีของบรรดาสะใภ้อยู่ในสายตา แล้วกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ และก็ยังมิได้ให้เจ้ารับเรื่องทุกเรื่องไปทำในทันทีทันใด มิใช่ว่ายังต้องให้พวกพี่สะใภ้สอนเจ้าหรอกหรือ? หากเจ้ายังไม่วางใจ ก็ให้ไปขอเรียนรู้กับพวกพี่สะใภ้ของเจ้าให้มากๆ เข้าไว้ แค่นี้ก็มิสิ้นเรื่องแล้วรึ?”
เมื่อแม่สามีพูดก็มาเช่นนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงได้แต่โน้มตัวลงแล้วบอกว่า “สะใภ้รับคำสั่งเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็หันไปฝากตัวกับนางหลิวและนางตวนมู่ บอกว่าตนเองอายุยังน้อยอ่อนประสบการณ์ ทั้งยังแต่งงานใหม่ได้ไม่นาน วันหน้ายังหวังให้พวกพี่สะใภ้ชี้แนะด้วย
เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินซู นางหลิวและนางตวนมู่ย่อมมีท่าทีเป็นมิตรเกรงใจ บอกซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าให้นางวางใจได้
กว่าจะขอตัวออกจากบ้านมา ยามนี้อากาศก็ร้อนแล้ว เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าข้างในเสื้อเปียกชุ่มไปหมด เมื่อมองซ้ายขวาหน้าหลังแล้วมีเพียงตนเอง จึงอดจะทอดถอนใจออกมาไม่ได้ “ในเวลาเช่นนี้ หากคิดจะอยู่อย่างสงบช่างไม่ง่ายดายเสียเลยจริงๆ!”
นางหวงยิ้มพลางว่า “หากฮูหยินไม่ว่ามาดังนี้ นั่นล่ะจึงจะไม่สงบเจ้าค่ะ! คุณชายของเราได้รับความสำคัญจากตระกูล ดังนั้น ความจริงแล้วหลังจากแต่งงานครบเดือนฮูหยินน้อยก็สมควรมาดูแลบ้านเรือนได้แล้ว ที่วันนี้ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองไม่พอใจ แล้วจะทำสิ่งใดกับฮูหยินน้อยได้?”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ข้ากลับมิได้กลัวพวกนาง เพียงแต่ว่าต้องมาคอยขัดแข้งขัดขากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่ามันไม่เข้าทีเอาเสียเลย”
“เรื่องหลังบ้านในคฤหาสน์ใหญ่ การอยู่ร่วมกันของสะใภ้ ก็เป็นเช่นนี้ล่ะเจ้าค่ะ” นางหวงปลอบนาง “ฮูหยินน้อยก็ไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจ ที่วันนี้ฮูหยินออกปากสั่งออกมาด้วยตัวเองว่าให้ฮูหยินน้อยเป็นคนดูแลบ้านเรือน ก็เป็นดังคำของฮูหยินว่า บ้านใหญ่และบ้านรองล้วนมีบุตรธิดาให้ต้องดูแล ฮูหยินน้อยเป็นสะใภ้ใหม่ ยามนี้ในเรือนของเราก็ยังไม่มีเรื่องให้ฮูหยินน้อยต้องเป็นกังวล อาศัยโอกาสนี้ตั้งระเบียบกฎเกณฑ์ออกมาให้ชัดเจน เป็นการสร้างรากฐานที่ดี วันหน้าเมื่อฮูหยินน้อยมีบุตรธิดา จักได้ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกคนอาศัยจังหวะมาชิงอำนาจไปเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำว่ามีบุตรธิดาก็อดจะหน้าแดงขึ้นมาทันใดไม่ได้ “ท่านอาพูดสิ่งใดกัน!เรื่องอีกตั้งไกล… วันนี้ไปเยี่ยมท่านพี่ไจ้สุ่ย ของกำนัลที่ต้องนำไปเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
นางหวงหัวเราะพลางบอกว่า “หลังจากฮูหยินอนุญาตเมื่อวานนี้ ฮูหยินน้อยก็กำชับกำชานักหนา พวกข้าน้อยจะไม่เตรียมได้หรือเจ้าคะ?”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี วันนี้ไม่คิดว่าจู่ๆ ท่านแม่ก็พูดเรื่องดูแลบ้านขึ้นมา จึงทำให้เสียเวลา หากมีเรื่องใดมาถ่วงเวลาอีก ก็เกรงว่าจะไม่ทันได้คุยกับท่านพี่ไจ้สุ่ยสักกี่คำแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งโล่งอก กล่าวว่า “ฟังน้ำเสียงของท่านแม่ ก็คือให้ข้าออกมาเยี่ยมญาตินอกบ้านในวันสองวันนี้เท่านั้นนะ!”
นางหวงปลอบว่า “ดีชั่วอย่างไรยามนี้ฮูหยินน้อยก็อยู่เมืองหลวง ต่อให้วันหน้าต้องดูแลจัดการบ้านเรือน อาจจะมีเรื่องมากมายต้องทำจนไม่ว่างไปเยี่ยมลูกผู้พี่ที่จวนท่านเสนาบดีตรวจการได้บ่อยๆ แต่เว้นไปอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันตรุษแล้ว อย่างไรก็ต้องมีโอกาสได้พบกันเจ้าค่ะ”
ระหว่างการสนทนาพวกนางก็กลับมาถึงเรือนจินถง ทุกคนรีบเปลี่ยนชุดออกไปข้างนอก ยกของกำนัลที่จะมอบให้ตระกูลซ่งมาไว้ที่ด้านหลังของรถ และกำชับคนขับรถให้รีบเดินทางไปให้ทันเวลา
เมื่อถูกเว่ยฉางอิ๋งเร่งเป็นนักเป็นหนา รถม้าจึงวิ่งควบไปอย่างรวดเร็ว แม้ถนนในเมืองหลวงจะราบเรียบ แต่เพราะวิ่งเร็วเกินไป จึงอดจะทำให้รถสั่นสะเทือนอย่างหนักไม่ได้ เมื่อไปถึงจวนเสนาบดีตรวจการ ทุกคนล้วนมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ซ่งไจ้สุ่ยที่รอรับอยู่ข้างรถ เดิมทียังยิ้มแย้มแจ่มใส แต่เมื่อเห็นว่าลูกผู้น้องที่แต่ไรมาเป็นคนมือไม้คล่องแคล่ว ร่าเริงจนออกนอกหน้า ยามนี้กลับต้องให้คนประคองลงมาด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ก็อดจะตกใจขึ้นมาไม่ได้ แล้วกล่าวว่า “เหตุใดจึงเป็นเสียเช่นนี้เล่า??”
เว่ยฉางอิ๋งเงยหน้ามองดูนางอย่างโรยแรงหนหนึ่ง กลับเห็นซ่งไจ้สุ่ยสวมหมวกคลุมหน้าเล็กๆ อันหนึ่ง คาดว่าคงเพราะต้องการจะปิดบังบาดแผลบนใบหน้าเอาไว้ ครึ่งหน้าของปีกหมวกเย็บผ้าแพรเพื่อใช้สำหรับปิดใบหน้า ผ้าแพรไม่ยาว ลงมาเพียงถึงปลายจมูกของนางเท่านั้น เผยให้เห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งที่เนียนงามดังหยกมันแพะ ริมฝีปากไม่ได้แต่งแต้มแต่กลับมีสีแดงสด เห็นชัดว่าสีหน้าของนางดีอย่างยิ่ง
ดูท่าแล้วเรื่องที่หนีห้าวมารายงานก่อนหน้าจะไม่ผิด ลูกผู้พี่ผู้นี้ไม่ได้น่าสงสารน่าเวทนาเช่นคำลือที่คนภายนอกว่ากันเลยแม้แต่น้อย กลับดูเปล่งปลั่งเสียยิ่งนัก
“ข้ารีบมาหาท่าน เร่งให้รถควบมาให้ไวสักหน่อย” เวลานี้คนขับรถก็มาคุกเข่าของขมาอยู่ที่ข้างรถ เว่ยฉางอิ๋งสะบัดมือ บอกกับเขาว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
หันกลับมาทางซ่งไจ้สุ่ย เพราะตอนที่อยู่เฟิ่งโจวนั้นสองพี่น้องทำตามใจเสียจนชินแล้ว หนนี้นางหัวหมุนตาลายจึงไม่ได้มาห่วงหน้าตาอะไรมากมาย บอกว่า “พาข้าเข้าไปพักในบ้านท่านสักหน่อยเถิด คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพื้นที่ปูด้วยหินครามก็ยังสะเทือนได้ถึงเพียงนี้”
“ดูเจ้าสิเลอะเลือนปานนี้เชียว!” ซ่งไจ้สุ่ยยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปาก แต่ก็ยังยากจะปิดบังความสุขบนความทุกข์ของเว่ยฉางอิ๋งได้ บอกว่า “ต่อให้เป็นถนนที่ดีเพียงใด เมื่อวิ่งเร็วๆ ก็จะไม่สั่นสะเทือนได้หรือ? อีกประการหนึ่งยามนี้เจ้าก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว ยังกลัวว่าจะไม่ได้พบข้าหรือ? รีบร้อนเช่นนี้ทำสิ่งใดกัน” เมื่อมีความสุขบนความทุกข์ของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว ก็เข้าไปประคองนางอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันตอบ บนระเบียงทางเดินไม่ไกลออกไป ผู้ที่ถูกสองพี่น้องมองข้ามไปเนิ่นนาน ที่สุดก็ทนไม่ไหว จึงได้กระแอมไอดังๆ “น้องเว่ยไม่สบายหรือเจ้าคะ? เช่นนั้นก็รีบเข้าไปนั่งก่อนเถิด”
เสียงนี้หวานนัก แต่เพลานี้กลับมีน้ำเสียงไม่พอใจอยู่บางๆ…
เว่ยฉางอิ๋งหันมองตามไปโดยได้ตั้งใจ กลับเห็นสาวใช้หน้าตางดงามสี่ห้านางอยู่กับหญิงงามในชุดเหลืองผู้หนึ่งที่กำลังยืนพิงอยู่ระเบียงทางเดิน ลมพัดเสื้อผ้านางโปกปลิวไหว เพียงแต่สีหน้าของหญิงงามในชุดเหลืองผู้นี้ค่อนข้างจะไม่สบอารมณ์ เห็นชัดว่านางรู้สึกไม่พอใจที่ลูกผู้พี่และลูกผู้น้องเอาแต่พูดคุยกันโดยไม่สนใจตน
ความจริงแล้วซ่งไจ้สุ่ยก็อาจจะเจตนามองผ่านนางไป แต่นี่กลับเป็นการให้ร้ายเว่ยฉางอิ๋ง ด้วยเหตุที่นอกราวระเบียงปลูกดอกกุหลาบเอาไว้เต็มไปหมด และยามนี้กำลังมีดอกกุหลาบเบ่งบานสีสันจัดจ้าน คล้ายคลึงกับสีเสื้อผ้าของนางพอดิบพอดี บวกกับซ่งไจ้สุ่ยเอาชุนจิ่ง เซี่ยจิ่ง ชิวจิ่ง ตงจิ่ง[1] ทั้งสี่ฤดูมาด้วยจนครบ นอกจากสาวใช้ข้างกายที่ในชื่อมีคำว่าจิ่งทั้งสี่นางนี้แล้ว ก็ยังมีสาวใช้ตัวน้อยอีกจำนวนหนึ่งเดินตามขบวนมาด้วย เมื่อร่างของนางถูกบดบัง ทั้งเว่ยฉางอิ๋งเองก็ถูกแรงสะเทือนของรถม้าทำเสียจนเวียนหัว เมื่อสาวงามผู้นี้ไม่ออกเสียง นางก็ไม่ได้สังเกตเห็นจริงๆ
ครานี้จึงมองไปหนหนึ่ง คนผู้นี้อายุประมาณยี่สิบกว่าปี สวมชุดเสื้อผ้าอย่างหญิงที่แต่งงานแล้ว คิ้วงามตาคม…เป็นสตรีตระกูลสูงที่ดูกินดีอยู่ดีผู้หนึ่ง หน้าตาดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงไม่แน่ใจว่าเป็นนางฮั่วพี่สะใภ้ใหญ่หรือเป็นนางตวนมู่พี่สะใภ้รองซึ่งเป็นภรรยาของลูกผู้พี่ทั้งสองคนกันแน่?
จึงสอบถามไปด้วยความลังเลว่า “พี่สะใภ้ผู้นี้คือ?”
หญิงงามในชุดสีเหลืองกำลังจะเอ่ยปาก ซ่งไจ้สุ่ยกลับเอ่ยออกมาโดยที่ไม่แม้จะหันหน้ากลับไปว่า “โอ้ เป็นพี่สะใภ้รอง” จากนั้นก็พูดต่อไปอย่างเร็วว่า “เช้าวันนี้พี่สะใภ้รองตื่นขึ้นมาก็โวยวายเสียงดังว่าปวดหัว พี่ชายรองมิใช่บอกให้ท่านนอนพักอยู่ในห้องไม่ต้องออกมาหรือ? เหตุใดพี่สะใภ้ก็มาด้วยเล่า? ทั้งยังย่องมาเบาๆ เช่นนี้ ข้าเองยังไม่เห็นเลยว่าท่านตามมาข้างหลัง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของฮูหยินรองตระกูลซ่งผู้นี้ก็พลันถมึงทึงขึ้นมา มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่นแล้วกล่าวว่า “ความหมายของน้องที่ว่ามานี้ จะบอกว่ารังเกียจที่ข้ามาต้อนรับน้องเว่ยด้วยเช่นนั้นรึ?”
“พี่สะใภ้รองกล่าวมาเช่นนี้” ซ่งไจ้สุ่ยหันหน้ากลับไป เหลือบมองนางอย่างเฉยชาหนหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ก็มิใช่ว่าข้ากลัวว่าพอพี่ชายรองกลับมา เมื่อรู้ว่าพี่สะใภ้ไม่ได้กำลังนอนอยู่ แล้วจะมาไม่พอใจว่าข้าทำไม่ถูกต้อง และบอกว่าข้าไม่สงสารพี่สะใภ้เอาได้?”
ฮูหยินรองขบริมฝีปากล่างอย่างแรง… ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวไปอีกว่า “อีกประการ สองวันมานี้พี่สะใภ้ใหญ่สุขภาพไม่ใคร่ดี วันนี้แม้แต่ลูกผู้น้อง นางก็ยังออกมาพบไม่ได้ เรื่องในเรือนก็ยังต้องให้พี่สะใภ้ใหญ่คอยดูแลจัดการ ลูกผู้น้องก็มิใช่คนอื่นคนไกล จึงไม่ลำบากให้พี่สะใภ้รองต้องวุ่นวายใจ ข้าต้อนรับเองก็พอแล้ว” เมื่อพูดจบก็ไม่แม้จะมองสีหน้าของฮูหยินรอง พลันสะบัดแขนเสื้อทักทายเว่ยฉางอิ๋ง “ข้าเลี้ยงนกแก้วไว้สิบตัว ปลาทองแปดตัว ทั้งยังเลี้ยงแมวสิงโตที่เหมือนก้อนหิมะไว้ตัวหนึ่งด้วย… ตอนนี้ในลานบ้านครึกครื้นเชียวล่ะ! เจ้ารีบตามข้ามาดู หากชอบตัวใดก็เอาไปได้เลย!”
รอจนเดินไปถึงที่ที่มองไม่เห็นฮูหยินรอง เว่ยฉางอิ๋งจึงได้กระซิบถามซ่งไจ้สุ่ยว่า “นี่มันเรื่องใดกันเจ้าคะ?”
ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มเยาะแล้วว่า “เจ้าสนใจนางรึ? คราก่อนตอนหนีห้าวมา ข้าก็สอบถามถึงพี่สะใภ้ทั้งสองคนของเจ้า ตวนมู่เยี่ยนอวี่ซึ่งเป็นสะใภ้รองเช่นกัน ก็เป็นบุตรสาวของตระกูลตวนมู่ด้วย เจ้าเพิ่งเข้าบ้านมานางก็ขัดแข้งขัดขาเจ้าเสียแล้วมิใช่รึ? ที่แท้ตระกูลตวนมู่ล้วนมีบุตรสาวเช่นนี้! วานนี้พี่รองของข้าโมโหขึ้นมาก็ยังบอกว่าแต่แรกนั้น เหตุใดเขาจึงไม่ลืมหูลืมตาเพียงนี้ ถึงแต่งภรรยาเช่นนี้เข้าบ้านมา! หากมิใช่ว่าสองสามวันก่อนพี่สะใภ้ใหญ่บังเอิญแท้งลูกจนลุกจากตั่งไม่ได้ แล้วนางก็มาเอะอะโวยวายเสียจนทั้งจวนไม่เป็นอันสงบ ใจจริงข้าก็ไม่คิดจะไปปรามเลย! แล้วปล่อยให้พี่รองไล่นางกลับบ้านไปเสียให้สิ้นเรื่อง!”
“เรื่องหยกนกกระจอกเหลือง…เอ่อ นกกระเรียนเซียนแต่ก่อนนั้น หลังจากพี่ใหญ่กลับมาก็บอกกับพี่รอง พี่รองย่อมต้องโทษว่านางทำการบุ่มบ่าม ปรากฏว่านางกลับมาชังข้าเสียนี่!” ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะเยาะหนหนึ่ง พลางเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ริมทางมาหนึ่งดอก แล้วเอามันพันรอบข้อมือไว้ เดินไปพลางพูดไปพลางว่า “ในช่วงที่ข้ารักษาแผล นางมาเยี่ยมข้าทุกวันวันละสามครั้ง ทุกครั้งล้วนไม่ลืมจะบอกว่า ‘น่าสงสารจริงๆ รูปโฉมที่งดงามปานนี้ แต่ยามนี้กลับยับเยินเสียแล้ว ราชสำนักยังจะยอมรับเจ้าได้ที่ใดกัน’ ‘บาดเจ็บที่ใดไม่บาดเจ็บ ต้องมาบาดเจ็บที่ใบหน้า ราชสำนักไม่ต้องการเจ้า เกรงว่าผู้อื่นก็คงจะไม่ต้องการคุณหนูหน้าพังหรอก น้องสาวผู้น่าสงสาร เกรงว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าคงได้แต่อยู่โดดเดียวลำพังแล้ว’ คล้ายกลัวว่าข้าจะไม่คิดไม่ตกเช่นนั้น!”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินแล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปโดยพลัน แล้วกล่าวอย่างมีโทสะว่า “นังหญิงชั่ว! เคราะห์ดีที่ท่านพี่จิตใจมั่นคง หากเป็นน้องสามีคนอื่น ไม่ถูกนางเค้นจนตายก็คงแปลก!” พลันรู้สึกว่าซ่งอวี่วั่งกับซ่งไจ้เถียนและซ่งไจ้เจียงช่างแล้งน้ำใจเกินไปแล้ว “ท่านลุงและลูกผู้พี่ทั้งสองปล่อยให้นางรังแกท่านพี่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? นี่มันเกินไปแล้วกระมัง?”
ซ่งไจ้สุ่ยเห็นนางบันดาลโทสะ กลับดีใจขึ้นมา เก็บท่าทีเย็นชากลับไปแล้วยิ้มน้อยๆ พลางว่า “เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป เจ้าก็มิใช่ไม่รู้ว่าข้าเป็นน้องสามีที่ยอมปล่อยให้พี่สะใภ้รังแกรึ?” นางยกมุมปากขึ้นอย่างได้ใจ “อย่าว่าแต่รังแกข้าเลย ต่อให้ถากถางข้า หากข้าเป็นคนใจน้อยเพียงนั้น พอไม่มีสิ่งใดทำก็คงไม่อาจไม่กลับไปแล้ว! พี่สะใภ้ก็หาใช่พี่สาวน้องสาวของข้าไม่ ไม่นับเป็นคนร่วมสายเลือดด้วยซ้ำ ถือดีอันใดมาให้ข้าอดทนต่อพวกนาง?”
พูดถึงตรงนี้ก็อดจะถลึงตาใส่เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ พลางเอาดอกไม้ไปปักบนผมนาง แล้วพูดแรงๆ ไปว่า “ข้าน่ะ ชั่วชีวิตนี้เสียเปรียบให้แต่เจ้ามากที่สุดแล้ว เป็นต้องถูกเจ้าทำให้โกรธจนเต้นเร่าๆ แล้วก็ทำสิ่งใดเจ้าไม่ได้มันเสียทุกทีไป! ก็เพราะเจ้าเป็นลูกผู้น้องแท้ๆ ของข้าอย่างไรเล่า หากเป็นผู้อื่น หึๆ”
เว่ยฉางอิ๋งฟังนางว่าตนมิได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ โทสะจึงค่อยคลายลง แล้วครานี้จึงเอ่ยออกมาอย่างโกรธเคืองว่า “แม้ข้าจะทำให้ท่านพี่โกรธ แต่ข้าก็ทำเพื่อช่วยท่านนะเจ้าคะ! ท่านพี่ท่านเล่าให้ฟังหน่อยเถิดว่าท่านทำเช่นใดจึงมิต้องเสียเปรียบแก่พวกนาง หากข้ารู้สึกว่าท่านยังเสียเปรียบอยู่ ข้าจักไปเอาความกับนางตวนมู่ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย จะได้กอบกู้หน้าตาของท่านคืนมา”
__________________________________
[1] ชุน เซี่ย ชิว ตง เป็นสี่ฤดูของจีน คือ ใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง และหนาว