ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 47 นกแก้วที่น่าสงสารอีกตัวหนึ่ง...
ระหว่างสนทนากันก็เดินมาถึงนอกเรือนเจียนเจีย[1]ที่ซ่งไจ้สุ่ยอาศัยอยู่แล้ว ยังไม่ทันเข้าไป ก็ได้ยินเสียงนกร้องดังลอดออกมาจากประตูกั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ระหว่างนั้นคล้ายมีเสียงร้องของสาวใช้และบ่าวแทรกอยู่ด้วย… เว่ยฉางอิ๋งกำลังคิดจะบอกว่า ‘เรือนของท่านพี่นี่ช่างครึกครื้นดีจริง’ ไม่คิดว่าสีหน้าของซ่งไจ้สุ่ยพลันเปลี่ยนไปทันใด รีบพูดไปประโยคหนึ่งว่า “แย่แล้ว คงไม่ใช่ว่าเสวี่ยฉิวคิดจะไปคาบเอานกแก้วอีกแล้วนะ?” และไม่ทันได้อธิบายกับเว่ยฉางอิ๋งให้กระจ่างก็พลันยกชายกระโปรงแล้ววิ่งเข้าไปข้างใน
เว่ยฉางอิ๋งเห็นสถานการณ์ดังนี้จึงรีบวิ่งตามไป
เมื่อเข้าไปภายในประตู สิ่งที่เข้ามาปะทะใบหน้าก็คือเสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้ ทั้งลานและเรือนจัดเก็บอย่างเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน อิฐหินครามที่ปูอยู่บนพื้นก็ถูกขัดอย่างถี่ถ้วนจนไม่มีฝุ่นดินติดอยู่แม้แต่น้อย แม้แต่ใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นก็ยังไม่มี รอบทิศแน่นขนัดไปด้วยต้นไม้ ตรงกลางมีดอกไม้หลายหลากสีสันกำลังเบ่งบาน บนกิ่งของต้นไม้ที่สูงกว่าตัวคนเล็กน้อยมีคอนสูงบ้างต่ำบ้างเอาไว้ให้นกเกาะอยู่สิบคอน แต่ละคอนมีนกแก้วที่มีปีกหางหลากสีเกาะอยู่หนึ่งตัว
ในนั้นมีนกแก้วหลายตัวพูดเป็นแล้ว เวลานี้กำลังร้องเจื้อยแจ้วออกมาด้วยเสียงของหญิงสาวว่า “ช่วยด้วย” “ช่วยด้วย” และมีนกแก้วที่เห็นชัดว่าถูกสอนมาดีกว่านั้น พวกมันกระพือปีกไปร้องไปว่า “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว” คอนนกถูกชนเสียจนเอียงกะเทเร่ กิ่งก้านต้นไม้สั่นไหวไปหมด ทั้งดอกไม้และขนนกปลิวว่อน ไม่เหมือนกับความครึกครื้นปกติธรรมดาเอาเสียเลย…
เว่ย[2]ฉางอิ๋งกำลังรู้สึกว่ามองตามไม่ทัน กลับมองเห็นสาวใช้กลุ่มใหญ่ที่ม้วนแขนเสื้อขึ้นมากำลังวิ่งไล่แมวสิงโตจากระเบียงทางเดินฝั่งตะวันออกไปฝั่งตั้งวันตก แล้วก็วิ่งจากระเบียงทางเดินฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออกอีกรอบ
แมวสิงโตตัวนี้มีลักษณะเหมือนกับที่ซ่งไจ้สุ่ยอธิบายไม่ผิดเพี้ยน ทั้งตัวของมันขาวเหมือนหิมะ อ้วนท้วนจนเป็นก้อนกลม แต่ท่าทีของมันกลับคล่องแคล่วเหลือหลาย เห็นว่ามันเกือบจะถูกจับได้หลายครั้ง แต่มันพุ่งตัวหนีออกไป… สับสนอลม่านกันอยู่เช่นนี้ พวกของเว่ยฉางอิ๋งกำลังรู้สึกอึ้งหมดคำพูด ก็เห็นว่าซ่งไจ้สุ่ยเองก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นมา… อย่างไรเสียนางก็เป็นนาย ซ่งไจ้สุ่ยจึงมิได้ยื่นมือยื่นไม้กระโจนเข้าไปด้วย แต่กลับเดินเข้าไปใกล้ๆ ตัวแมวสิงโตตัวนั้น เท้าสะเอวและตะเบ็งเสียงไปคราวหนึ่งว่า “เสวี่ยฉิว! ยังไม่รีบไสหัวออกมารับโทษกับข้าอีก!”
แมวสิงโตที่น่าจะมีชื่อว่าเสวี่ยฉิว[3]ตัวนั้นเงยหน้าอ้วนๆ ขึ้นมามองนายของมัน เว่ยฉางอิ๋งนึกว่ามันจะร้องเหมียวออดอ้อนสักหน แต่กลับไม่มี พอมองอย่างละเอียดจึงได้เข้าใจว่า ใบหน้าอ้วนๆ ของเจ้าตัวนี้กำลังขยับอยู่น้อยๆ และที่มุมปากยังมีขนนกสีเขียวสดโผล่ออกมาด้วย มันกำลังอมนกแก้วตัวหนึ่งที่ไปคาบมาจากคอนก่อนหน้านี้ คราวนี้ปากของมันจึงกำลังยุ่งอยู่ แล้วจะร้องออกมาได้ที่ใดกัน?
เสวี่ยฉิวขยับปากสองสามหนแล้วกลืนนกแก้วตัวนั้นลงไป จึงค่อยวิ่งมาตรงหน้าซ่งไจ้สุ่ย แล้วเอาปากของมันมาไซ้ที่กระโปรงของนาง พลางร้องเหมียวประจบ เอาเล็บมาเกาะกระโปรงนางหมายจะปีนขึ้นมา
…ไม่ต้องมองก็เดาได้ว่า หากเอากระโปรงตัวนี้ของซ่งไจ้สุ่ยมามองใกล้ๆ ก็จะต้องมีเส้นด้ายรุ่ยออกมา
ซ่งไจ้สุ่ยรีบคุกเข่าลงอย่างร้อนใจนักหนา แล้วผายมือออกหวังใช้โอกาสที่เสวี่ยฉิวโผตัวเข้ามาอ้อนนางในอ้อมอก จับหัวมันเอาไว้ในมือ แล้วสั่งบ่าวทั้งซ้ายขวาว่า “กดมันเอาไว้! ข้าจะดูว่ายังพอช่วยชุ่ยอินเอ๋อร์ได้หรือไม่!”
ตอนนี้เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะเสียจนเกือบหัวทิ่ม ปาดน้ำตาออกพลางเดินเข้าไปเตือนว่า “ข้าเห็นมันกลืนลงไปแล้ว จะยังช่วยอย่างไร?” นางเอ่ยถามพลางชี้ไปยังคอนว่างเปล่าที่กำลังแกว่งไกลห่างออกไปไม่ไกลนัก “ใช่นกแก้วที่เคยอยู่บนนั้นหรือไม่? ก็เป็นเพียงคอน และก็ไม่ทำกรง ท่านก็มิใช่ไม่รู้ว่าเลี้ยงแมวสิงโตไว้ตัวหนึ่ง มีแมวที่ใดที่ไม่ชอบขโมยกินเล่า มิน่าจึงถูกมันคาบเอาไป!”
ยามนี้ซ่งไจ้สุ่ยกับชุนจิ่งกำลังร่วมแรงร่วมใจกันง้างปากของเสวี่ยฉิว ปรากฏว่าก็ไม่เห็นนกแก้วที่ชื่อว่าชุ่ยอินเอ๋อร์ตัวนั้นแล้ว จึงอดจะเสียใจเป็นหนักหนาไม่ได้ “ชุ่ยอินเอ๋อร์เป็นกแก้วที่ฝึกมาดีที่สุดตัวหนึ่ง รู้จักพูดทักทาย ทั้งยังร้องเพลงสั้นๆ ได้สองเพลงด้วย เดิมทีข้ายังคิดจะเอามาอวดเจ้าเลย ปรากฏว่าช้าไปก้าวเดียวเท่านี้ ก็ถูกมันกินลงท้องไปแล้ว!” เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางจึงยกเสวี่ยฉิวขึ้นมาและโยนลงไปที่พื้นอย่างแรง แล้วตำหนิอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าไปคาบเอาตัวใดไม่คาบ กลับต้องมาคาบเอาชุ่ยอินเอ๋อร์! วันนี้ วันพรุ่งเจ้าห้ามกินข้าว!”
เสวี่ยฉิวถูกเจ้านายโยนลงบนพื้น และก็ไม่รู้ว่าเพราะมันอ้วนเกินไปหรือว่ามันกำลังเสแสร้ง จึงตะเกียกตะกายอยู่สองหนถึงเพิ่งลุกขึ้นได้ แล้วร้องเหมียวเบาๆ พลางเบียดตัวเข้ามาข้างกระโปรงนาง ประจบด้วยท่าทางแสนเชื่องน่าสงสารด้วยอาการสลด
ซ่งไจ้สุ่ยเงยหน้าขึ้นและไม่ไปสนใจมันอีก ยื่นนิ้วเข้าไปสางปลายผม รวบรวมสติแล้วหันมาแนะนำเรือนของตน “คราวนี้พวกนกแก้วถูกทำให้ตกใจยิ่งแล้ว ชุนจิ่งเจ้าพาคนเก็บพวกมันเข้าไป เมื่อปลอบได้แล้วจึงค่อยเอาออกมา …เซี่ยจิ่งเอาเสวี่ยฉิวเข้าไปในห้องและลงกลอนเสีย! ฉางอิ๋งเจ้ามาดูปลาเถิด บัวในอ่างปลานี้เป็นข้าลงมือปลูกเองเชียวนะ หากเจ้าชอบก็ยกไปทั้งอ่างได้เลย เวลานี้ของเหล่านี้เติบโตดีแล้ว จึงไม่ต้องลำบากดูแลแม้แต่น้อย เพียงเอาไปจัดวางไว้ในลานบ้านหรือภายในห้องก็ได้”
เว่ยฉางอิ๋งมองออกไปยังอ่างแปดอ่างที่วางเรียงกันอยู่ไม่ห่างออกไปนัก แล้วพึมพำว่า “ท่านเคยคิดถึงเรื่องหนึ่งหรือไม่?”
ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างตกใจว่า “สิ่งใด?” แล้วมองไปตามสายตาของนาง กลับเห็นว่าข้างอ่างมีรอยน้ำหยด คล้ายว่าใบบัวในอ่างบางตาลงไปมาก… นางพลันร้อนรนขึ้นมา แล้ววิ่งปรี่ไปดู ทันใดนั้นก็โกรธจนกระทืบเท้า และเอ่ยถามเชิงตำหนิเสียเสียงดังว่า “ท่านอาอัน ท่านอาอัน ท่านมานี่! พวกท่านดูแลเรือนอย่างไรกัน? ชุ่ยอินเอ๋อร์ถูกเสวี่ยฉิวคาบไปก็แล้วไป เหตุใดแม้แต่อะ…อ่างปลาและต้นบัวก็ยังถูกมันทำจนเป็นเช่นนี้?”
สตรีในชุดกระโปรงหรูฉวินสีน้ำเงินเข้มเข้ามากล่าวอย่างตื่นตระหนกว่า “ข้าน้อยรู้ผิดแล้ว ขอคุณหนูใหญ่ลงโทษเจ้าค่ะ!”
ซ่งไจ้สุ่ยสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเคือง “เจ้า! เงินเดือนเดือนนี้ของพวกเจ้าไม่มีแล้ว!”
สตรีผู้นั้นแซ่อัน นางตอบรับว่าเจ้าค่ะด้วยท่าทีนอบน้อมยิ่งหนหนึ่ง…ซ่งไจ้สุ่ยเดินไปมาอยู่ที่ข้างอ่างปลา เปิดใบบัวที่อยู่ข้างบนออกอย่างไม่เต็มใจ แล้วก้มมองลงในน้ำอยู่เนิ่นนาน ซึ่งน้ำนั้นถูกจนกวนขุ่นและยังไม่ตกตะกอนจนถึงตอนนี้ ที่สุดก็มองเห็นจุดสีแดงๆ โฉบผ่านตาไป จึงอดจะเอ่ยอย่างยินดีไม่ได้ว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าต่อให้เสวี่ยฉิวเห็นแก่กินเพียงใด แล้วจะกินปลาทั้งแปดอ่างไปจนหมดได้อย่างไร?” จึงเรียกเว่ยฉางอิ๋งมาดูด้วยด้วยกัน
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งเองก็มิได้มีความสนใจดอกบัวและปลาทองมากมายนัก ครานี้จึงถอนหายใจหนหนึ่งและกล่าวว่า “ท่านพี่เจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้ข้าก็บอกแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังเวียนหัวอยู่นะ ท่านให้ข้านั่งก่อน สักพักพอน้ำใสแล้ว ข้าจะได้มองเห็นถนัดตาสักหน่อย ไม่ดีหรือ?”
ซ่งไจ้สุ่ยเอาแต่คิดอยากอวดดอกไม้ต้นไม้และสัตว์เลี้ยงแก่ลูกผู้น้อง จนกลายเป็นลืมไปว่าวันนี้เว่ยฉางอิ๋งเร่งให้รถม้าควบมา สั่นสะเทือนมาตลอดทางจนร่างกายรับไม่ไหว มีแต่นางตื่นเต้นกระตือรือร้นอยู่ผู้เดียวตลอดมา ครานี้จึงรู้สึกขัดเขินขึ้นมา พลันเข้าไปคล้องแขนเว่ยฉางอิ๋งอย่างมีน้ำใจไมตรี “อากาศเช่นนี้อยู่ในห้องหับแล้วอุดอู้ ไม่สู้ให้คนเอาตั่งไม้ออกมาวางที่ข้างอ่างปลา ตรงนี้มีต้นดอกฮวายฮวาบังแดด ทั้งมีลมโชย พวกเราจักได้สนทนากันอย่างสบายอกสบายใจ”
แล้วมีคนเข้าไปยกตั่งไม้ โต๊ะน้ำชาตัวเตี้ยและเตากำยานออกมา เว่ยฉางอิ๋งเห็นเตากำยานจึงว่า “ฤดูนี้กำลังมีกลิ่นดอกไม้หอมอบอวล และในเรือนนี้ก็ปลูกดอกไม้ไว้หลายชนิด ข้างๆ ก็มีดอกบัว จึงไม่ต้องจุดเครื่องหอมแล้วกระมัง?”
“นี่ไม่มีกลิ่น” ซ่งไจ้สุ่ยบอก “มีดอกไม้ต้นไม้มาก ยุงก็ชุมมากด้วย นี่ใช้ไล่ยุง”
จุดธูปไล่แมลง ลูกผู้พี่ลูกผู้น้องทั้งสองคนนั่งบนตั่งไม้โดยมีโต๊ะน้ำชากั้น ชิวจิ่งและตงจิ่งยกเอาผลไม้ตามฤดู น้ำเฉินเซียงหนึ่งกาใหญ่ และน้ำบ๊วยดำหนึ่งกาเข้ามา ซ่งไจ้สุ่ยให้เว่ยฉางอิ๋งหยิบไปตามใจ ทั้งยังถือพัดวงกลมพัดให้นางด้วย พลางยิ้มแล้วว่า “ร้อนหรือไม่? หากว่าร้อนจะให้คนยกน้ำแข็งเข้ามา”
“มิใช่ท่านบอกว่าที่นี่ทิวทัศน์งดงามนักหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งกวักมือ ฉินเกอเข้ามารินน้ำบ๊วยดำให้นาง นางจิบไปอึกหนึ่ง บอกว่า “น้ำบ๊วยดำนี้ไม่เลวเลย หวานกำลังดีเชียว”
ฝ่ายซ่งไจ้สุ่ยคีบผลอิงเถามาชิม แล้วกล่าวว่า “ข้าดื่มแล้วกลับรู้สึกว่าหวานไปหน่อย แต่ข้ารู้ว่าเจ้าทานหวานกว่าข้าเล็กน้อย จึงสั่งให้พวกนางใส่น้ำตาลมากสักหน่อย”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างพอใจว่า “ท่านพี่รักข้าจริงๆ”
“ช่วยไม่ได้นี่ ผู้ใดให้ข้าไม่มีพี่น้องผู้หญิงแท้ๆ เล่า? นี่ถือเป็นน้ำใจจากผู้เป็นพี่ ให้เจ้าได้เพียงเท่านี้แล้ว” ซ่งไจ้สุ่ยถอนหายใจ
เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะพลางว่า “ข้าก็ไม่มีพี่น้องผู้หญิงแท้ๆ นี่นา นี่ก็นับว่าเป็นน้ำใจของน้องสาวเช่นกัน…”
“น้ำใจของน้องอันนั้นของเจ้า บีบบังคับคนจนแทบตาย!” ซ่งไจ้สุ่ยถลึงตาใส่นาง เห็นชัดว่าเวลาเพียงสองสามเดือนในเฟิ่งโจวนั้น ทำให้พวกนางจดจำได้อย่างลึกซึ้งทีเดียว “โชคดีที่เจ้าไม่มีพี่สาวแท้ๆ หาไม่แล้วหากนางไม่ได้ตีเจ้าวันละสามหน แต่ละวันคงจะไม่มีชีวิตรอดหรอก!”
“หากเป็นพี่สาวแท้ๆ ของข้าแล้วจะใจแข็งตีข้าลงอย่างไรเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะฮิๆ ออดอ้อน “ท่านพี่ ท่านก็ยังใจแข็งตีข้าไม่ลงเลยนี่”
ซ่งไจ้สุ่ยบ่นว่า “ ข้าคิดว่าตนเองไร้เรี่ยวแรงบอบบาง สู้เจ้าไม่ได้! หาไม่ข้าคงชกเจ้าไปนานแล้ว! อีกประการ ครานั้นครั้งเมื่ออยู่เฟิ่งโจว ข้าไม่เคยตีเจ้ารึ?”
เว่ยฉางอิ๋งยันตัวอยู่บนโต๊ะ เท้าคางยิ้ม “โธ่เอ๊ย ท่านพี่ ท่านทำบางเบาเพียงนั้นเรียกว่าตีคนรึ? ข้าก็นึกว่าท่านหยอกข้าเล่นน่ะสิ!”
ซ่งไจ้สุ่ยเอาพัดวงกลมตีที่แขนนางหนหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าพูดอีกสิ ข้าจะตีเจ้าให้ดู!”
ทั้งสองคนหัวเราะเอะอะกันอยู่พักหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามเรื่องของตวนมู่อู๋เซ่อด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านพี่จัดการนางเยี่ยงไร?”
ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า “แล้วจะจัดการเยี่ยงไรเล่า? ข้าก็เล่าทุกเรื่องแต่ต้นจนจบให้แก่ท่านพ่อและพี่รองฟังน่ะสิ แล้วบอกว่าข้าอยากจะกลับไปเฝ้าท่านปู่ท่านย่าของข้าที่เจียงหนาน จะไม่อยู่ขวางหูขวางตาตวนมู่อู๋เซ่อไปชั่วชีวิต!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบถามกลับไป “แล้วภายหลังเล่า?”
“จะว่าไปก็รู้สึกผิดต่อพี่รอง” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ท่านพ่อไม่สะดวกไปคิดบัญชีเอากับสะใภ้ จึงเอาบัญชีนี้ไปคิดที่ตัวพี่รองแทน ด้วยการลงโทษพี่รองด้วยกฎบ้าน และบอกให้เขาจัดการภรรยาของตนให้ดี!”
“แล้วภายหลังลูกผู้พี่รอง?”
มุมปากของซ่งไจ้สุ่ยโค้งขึ้น ยิ้มเยาะน้อยๆ พลางว่า “เดิมทีพี่รองก็รักข้ามากอยู่แล้ว เมื่อรู้เรื่องที่ตวนมู่อู๋เซ่อพูดกับข้าแล้วก็โกรธแทบเป็นแทบตาย หลังจากถูกท่านพ่อตีแล้ว พี่รองก็ตรงดิ่งกลับบ้าน ผลักตวนมู่อู๋เซ่อขึ้นรถม้าโดยไม่แม้จะบอกว่านางมีความผิดใด แล้วให้คนส่งนางกลับไปบ้านตวนมู่เสีย!”
“อ๋า? แล้วไยตอนนี้นางยังอยู่ใจจวน ออกๆ เข้าๆ อยู่เช่นนั้น? ฟังคำที่ท่านว่าเมื่อครู่ นางยังดูแลบ้านเรือนอยู่ด้วย?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างตกใจ
ที่ซ่งไจ้เจียงทำเช่นนี้ ก็คือไล่ตวนมู่อู๋เซ่อกลับบ้าน ไม่ต้องการนางแล้วนี่!
“พี่รองติดสินใจว่าไม่ต้องการนางอีกแล้วจริงๆ แต่บ้านตวนมู่มาหาถึงบ้านแล้วพูดนั่นพูดนี่ มารดาของตวนมู่อู๋เซ่อยังมาหาข้าที่นี่ด้วยตนเอง จนเกือบจะคุกเข่าอยู่นอกเรือนเจียนเจียเสียแล้ว… พี่รองใจอ่อน จึงอนุญาตให้นางกลับมาอีก” ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มเยาะแล้วบอกว่า “แต่เมื่อนางกลับมาก็มิได้อยู่ดี ด้วยฐานะของท่านพ่อไม่อาจจัดการนางได้โดยตรง จึงอ้างว่าจนยามนี้พี่รองยังไม่มีบุตรชาย ให้พี่สะใภ้ใหญ่คอยดูแลเรื่องนี้สักหน่อย พี่สะใภ้ใหญ่จึงไปหาซื้อหญิงงามจากบ้านสกุลดีๆ ข้างนอกมาให้พี่รองหลายคน… ต้องรู้เสียก่อนว่าตวนมู่อู๋เซ่อเป็นคนขี้หึง พี่รองเป็นคนพูดง่าย แต่ไรมาจึงไม่รับอนุตามความต้องการของนาง ทั้งยังให้สาวใช้ที่เคยดูแลปรนนิบัติเขาออกไปจนหมด แต่ยามนี้ในบ้านสองกลับครึกครื้นเสียยิ่งนัก!”
เว่ยฉางอิ๋งจึงกล่าวว่า “ก็สมน้ำหน้าตวนมู่อู๋เซ่อแล้ว! แต่เมื่อครู่ท่านพี่เพิ่งจะพูดเรื่องดูแลบ้านเรือนกับนาง?”
“สองสามวันก่อนพี่สะใภ้ใหญ่แท้งบุตร เดิมทีคิดจะฝากเรื่องนี้ให้ข้าดูแลสองวัน” ใบหน้าของซ่งไจ้สุ่ยก็หม่นลงอีกครั้ง แล้วว่า “ข้ายังไม่ทันเอ่ยปากเลย! ตวนมู่อู๋เซ่อก็อดรนทนไม่ไหวและบอกว่ายามนี้ข้าเสียโฉม เข้าออกล้วนต้องใส่งอบ ดูแลบ้านเรือนไม่สะดวก ให้นางจัดการดีกว่า”
“สตรีผู้นี้เหตุใดจึงน่ารังเกียจเพียงนี้นะ?” เว่ยฉางอิ๋งขบฟันอย่างเดือดดาล เสนอความคิดว่า “สักประเดี๋ยวข้าจะหาเรื่องไปชกนางสักตั้ง?”
[1] เจียนเจีย แปลว่า ดอกหญ้า
[2] แมวสิงโต คือ แมวเมนคูน
[3] เสวี่ยฉิว แปลว่า ก้อนหิมะ