ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 49 จงลี่
“เติ้งวานวานก็คือน้องสาวร่วมท้องของเติ้งจงฉี?” เว่ยฉางอิ๋งถาม “ในจดหมายที่หนีห้าวนำกลับไป ท่านเคยเอ่ยถึงนาง”
ซ่งไจ้สุ่ยพยักหน้า บอกว่า “จะว่าไปแล้วก็บังเอิญนัก เติ้งจงฉีพี่น้องอาศัยอยู่ใกล้ๆ นี่เองในระหว่างที่ข้ากำลังว่างเคยได้ยินมาเล็กน้อย คล้ายว่าบิดาของพวกเขาเข้ากับคนในตระกูลไม่ใคร่ได้ จึงเป็นเหตุให้เติ้งจงฉีพี่น้องอาศัยอยู่ในตระกูลอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลังจากเติ้งจงฉีได้เป็นราชองครักษ์อี้แล้ว จึงขอร้องให้พระสนมเอกเติ้งช่วยพูด ว่าให้ท่านลุงของเขารับปากให้เขาย้ายออกมาอยู่ข้างนอก ซึ่งเหตุผลก็ย่อมบอกว่าเพื่อให้เขาไปทำงานได้อย่างสะดวก ส่วนที่ให้น้องสาวเขามาอยู่ด้วยกัน ก็เพื่อจะได้ช่วยพี่ชายดูแลบ้าน”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “บังเอิญจริงๆ… คุณหนูตระกูลเติ้งผู้นี้ เห็นจากในจดหมายที่ท่านเขียนดูท่าท่านจะชอบนางมาก แล้วนางเป็นคนเช่นไร? ข้ากลับไม่ยักจำได้ว่าท่านเคยชมข้าเช่นนี้เลย”
ซ่งไจ้สุ่ยยกมือขึ้นกุมขมับ บอกว่า “เจ้านี่ก็ยังกล้าเอาตนเองไปเปรียบกับเติ้งวานวานนะ? พอข้าพบเจ้าก็ปวดหัวแล้ว!”
“พูดสิ่งใดกัน! ข้าเป็นลูกผู้น้องแท้ๆ ของท่านเชียวนะ!” เว่ยฉางอิ๋งพูดใหญ่พูดโตไม่ลดละว่า “ต่อให้ข้าไม่ดีเพียงใด เลือดย่อมต้องข้นกว่าน้ำ! ดังเช่นท่านว่า ต่อให้ท่านชังข้าเพียงใดก็ไม่อาจไม่อดทนเอาไว้ได้! ก็ผู้ใดให้พวกเราเป็นคนสายเลือดเดียวกันเล่า?”
“เจ้า…” ซ่งไจ้สุ่ยเอาพัดชี้ไปหานางแล้วพูดอย่างขัดเคืองว่า “แล้วเหตุใดข้าต้องเป็นคนคอยอดทนตลอด แต่ไม่ใช่เจ้า?”
เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะพลางว่า “เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้ข้าดื้อรั้นเอาแต่ใจทั้งถูกเอาใจจนเคยตัว ส่วนท่านพี่กลับเป็นกุลสตรีเรียบร้อยเปี่ยมคุณธรรมทั้งอ่อนโยนเล่า? ข้าเองก็อยากจะอดทนลูกผู้พี่เช่นกัน แต่ลูกผู้พี่จะมีสิ่งใดให้ข้าต้องอดทนเล่า?”
ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งเงียบไปเป็นนาน จึงเอาพัดตีหัวนางหนหนึ่ง พลางเอ่ยอย่างขัดเคืองว่า “ข้าน่ะ ต้องเคยติดค้างเจ้ามาแต่ชาติก่อนเป็นแน่แท้!”
“เช่นนั้นชาตินี้ท่านก็ต้องพยายามชดใช้เสียนะ หากไม่แล้วชาติหน้ายังต้องมาอดทนกับข้าอีก แล้วจะทำเช่นใด?” เว่ยฉางอิ๋งได้ทีขี่แพะไล่พลางหัวเราะฮิๆ ทำเอาซ่งไจ้สุ่ยโกรธเสียจนถลกแขนเสื้อขึ้นมา โน้มตัวข้ามโต๊ะตัวเล็กแล้วทุบนางไปหนหนึ่ง “ข้าเพียงพูดไปเท่านี้ แต่เจ้ากลับได้คืบแล้วเอาศอก! เจ้ามันคนแล้งน้ำใจ!”
เว่ยฉางอิ๋งหลบซ้ายหลบขวา หัวเราะแล้วว่า “โธ่เอ๊ยๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ท่านพูดเรื่องพี่น้องตระกูลเติ้งต่อเถิด… คุณหนูบ้านเติ้งมีสัมพันธ์อันดีกับท่าน แล้วเหตุใดพระสนมเอกต้องถามถึงข้าด้วย? หรือว่าความจริงแล้วพระสนมเอกต้องการจะเรียกท่าน เพียงแต่ไม่สะดวก เป็นเหตุให้ต้องใช้ทางอ้อมโดยเรียกข้าไปพบก่อน?”
ซ่งไจ้สุ่ยลงมานั่งตัวตรง พลางเอื้อมมือไปจัดเสื้อผ้าที่เกิดรอยยับ แล้วกล่าวอย่างขัดเคืองว่า “ตอนนี้ข้าเกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ไม่อยากบอกเจ้าแล้ว!”
“ท่านพี่ผู้แสนดี!” เว่ยฉางอิ๋งเข้าไปจัดปิ่นดอกไม้ให้นางอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังเอาใจด้วยการรินน้ำเฉินเซียงให้จอกหนึ่ง ประคองสองมือยกให้นาง “ท่านเอ็นดูข้ามาแต่ไร แล้วจะใจแข็งเห็นข้าน่าสงสารได้อย่างไรกัน? อีกประการเมื่อครู่นี้ท่านก็ไม่ใช่พูดแล้วหรือว่า? วันๆ อยู่แต่ในบ้านน่าเบื่อนัก อุตส่าห์มีเรื่องให้ท่านได้ร้อนใจ… ท่านก็สงสารลูกผู้น้องของท่านผู้นี้เถิด เพิ่งจะเคยมาเมืองหลวง ล้วนไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งใด ต้องรอให้ท่านชี้แนะนำทาง! หากท่านไม่สนใจข้า ท่านว่าเมื่อข้าเข้าวังทั้งความงวยงงเช่นนี้ หากทำการใดพลั้งพลาดไป แล้วเกิดต้องโทษทัณฑ์ เมื่อนึกย้อนกลับมา คนที่เสียใจก็จะมิใช่ท่านหรือ?”
ซ่งไจ้สุ่ยแค่นเสียงออกมา รับน้ำเฉินเซียงมาดื่มอึกหนึ่ง แล้ววางท่าขึงขังบอกว่า “ข้าอยากกินผลอิงเถา!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบคีบผลอิงเถาส่งให้ เมื่อซ่งไจ้สุ่ยกินผลอิงเถาหมดแล้วจึงเงยหน้าขึ้น แล้วว่า “ดูแล้วนับว่าเจ้าก็ยังรู้จักเอาอกเอาใจ ข้าก็จะสงเคราะห์บอกเจ้าก็แล้วกัน!”
“รีบพูดสิ!” เว่ยฉางอิ๋งดึงแขนเสื้อนางไปมา
“ปล่อยมือๆ! เจ้าก็ไม่คิดเสียบ้างว่าเจ้ามือหนัก! เจ้านึกว่าเจ้าเป็นเสวี่ยฉิวหรือไร! จะต้องทึ้งจนเสื้อข้าขาดให้จงได้!” ซ่งไจ้สุ่ยผลักนางออกด้วยความโมโหพลางจัดแจงแขนเสื้อให้เรียบร้อย จึงบอกว่า “เติ้งจงฉีและเติ้งวานวานสองพี่น้องนี้ บิดามารดาล้วนเสียไปหมดแล้ว ด้วยเหตุที่นับแต่ครั้งบิดาของพวกเขายังอยู่ ผู้คนในตระกูลต่างมีทางทีเย็นชากับพวกเขายิ่ง แต่ที่ไม่ได้ทำการใดไม่ดีต่อพวกเข้า ก็ด้วยเห็นแก่ความเป็นสายเลือดเดียวกัน แล้วจะให้คนในตระกูลคำนึงเรื่องอื่นใดให้พวกเขาได้อีก?”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “มิใช่ว่าพระสนมเอกต้องการใช้งานหลานชายผู้นี้?”
“ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่ว่านางต้องการจะพบเจ้าแล้วหรือ?” ซ่งไจ้สุ่ยหรี่ตา บอกว่า “เติ้งจงฉีอยู่ในวัยสวมหมวกแล้ว วานวานเองก็อายุสิบห้า สองพี่น้องล้วนยังมิได้ถูกทาบทามเรื่องแต่งงาน พระสนมเองอยู่แต่ภายในวังหลวง หากต้องการจะหาคนมีหน้ามีตาให้แก่หลานชายและหลานสาว ย่อมต้องไปลองสอบถามเอาจากบรรดาสตรีแต่งงานแล้วที่เข้ามาในวัง ฝั่งเจ้าก็มิใช่ว่ามีน้องชายของสามีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน? เติ้งวานวานไร้บิดามาแต่เล็ก ตำแหน่งราชการของพี่ชายก็ไม่โดดเด่น ลำดับตระกูลเติ้งนับว่าเป็นตระกูลใหญ่แต่ก็ห่างไกลกว่าตระกูลเสิ่นนัก แต่น้องชายสามีเจ้าก็มีตั้งมากมาย ทั้งจากภรรยาเอก ทั้งจากอนุ หากว่ามีบุตรชายของอนุที่มิได้โดดเด่นนัก ดีชั่วอย่างไรวานวานก็เป็นบุตรจากภรรยาเอก ทั้งมีพระสนมเอกเป็นแม่ ก็มิใช่ว่าจะคู่กันไม่ได้”
“เหตุใดจึงมิใช่เป็นการหาตัวเลือกภรรยาดีๆ ให้แก่เติ้งจงฉี?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัย “หากนับไปแล้วเติ้งจงฉียิ่งมีอายุมากกว่านี่? ข้ายังมีน้องสาวของสามีหนึ่งคน! อีกประการข้าก็ไม่ใช่ว่ายังมีพี่สาวน้องสาวอยู่ที่เฟิ่งโจวอีก? หรืออาจเป็นเพราะเหตุนี้?”
ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวว่า “เจ้าเพิ่งแต่งงานครบเดือนจึงยังไม่รู้…. ก็คือองค์หญิงหลินชวนที่เจ้าจะเข้าวังไปถวายพระพรครานี้ เมื่อพ้นวันประสูติก็จะอายุครบสิบหกแล้ว ราชสำนักเริ่มหาราชบุตรเขยที่มีความโดดเด่นให้แก่องค์หญิงตั้งแต่ปีที่แล้ว เวลานี้ฮองเฮากู้และพระสนมเอกล้วนช่วยกันจับตาเรื่องนี้ให้แก่หลานชายตน! ก่อนนี้มีเสียงร่ำลือจากในวังออกมาว่า เป็นองค์หญิงเองที่มีความรู้สึกดีกับจางผิงซวีของตระกูลจาง ทว่าเมื่อต้นเดือนสี่ ซึ่งก็คือช่วงที่เจ้าเพิ่งจะแต่งงานนั้น จางผิงซวีเกิดล้มป่วยขึ้นมาดื้อๆ จนยามนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นฝีมือของฮองเฮาหรือว่าพระสนมเอกเติ้ง… ในบรรดาหลานชายสองสามคนของพระสนมเอกเติ้งนางรักใคร่และให้ความสำคัญกับเติ้งจงฉีมากที่สุด เว้นเสียแต่ว่ามีการตกลงเรื่องงานอภิเษกขององค์หญิงหลินชวนเรียบร้อยแล้ว หาไม่พระสนมเอกก็จะไม่พิจารณาตัวเลือกอื่น!”
เว่ยฉางอิ๋งพลันประหลาดใจ “ข้าได้ยินว่าเพราะในรัชสมัยนี้ให้อภิสิทธิ์ต่อองค์หญิงเป็นอย่างมาก ดังนั้นบรรดาราชนิกุลเหล่านี้จึงวางอำนาจบาตรใหญ่นัก ราวกับว่าทุกพระองค์ล้วนใช้อำนาจกดขี่ราชบุตรเขย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องจะเคารพกตัญญูกับแม่สามีเลย! ดังนั้นบรรดาบุตรหลานตระกูลเลื่องชื่อต่างๆ เมื่อได้ยินว่าราชสำนักกำลังคัดเลือกราชบุตรเขย ต่างคนจึงรีบหลบกันจ้าละหวั่น! หรือจางผิงซวีมิได้เป็นเช่นนี้?” ก่อนนี้เสิ่นจั้งเฟิงก็เคยบอกว่าจางผิงซวีแกล้งป่วยด้วยการใช้ผงไร้เยียวยา
ซ่งไจ้สุ่ยบอกว่า “บุตรหลานตระกูลใหญ่กลัวจะไปเป็นราชบุตรเขยนั้นก็มีอยู่ แต่อย่างไรองค์หญิงก็ยังเป็นราชนิกุลแล้วจะไม่มีผู้ใดต้องการเลยจริงๆ ได้อย่างไร? เจ้าอาจเคยได้ยินที่ว่ากันว่า ‘แต่งเมียได้องค์หญิง บ้านมีขุนนางเพิ่ม[1]’ กระมัง? ฮ่องเต้ให้อภิสิทธิ์แก่องค์หญิง แต่ก็มิได้เอาแต่เอาอกเอาใจองค์หญิงเสียจนเหลิง ผู้เป็นนายโดยทั่วไปก็ยังมีที่มีเมตตา ประสาอะไรกับองค์หญิงหลินชวนที่เป็นที่รักใคร่ขององค์ฮ่องเต้ยิ่งนัก ว่ากันว่าเรื่องใดที่องค์หญิงกราบทูล ฮ่องเต้ไม่เคยไม่ทรงอนุญาต! เจ้าว่าเป็นพระสวามีของนาง อนาคตยังมีเรื่องให้ต้องเป็นทุกข์หรือ?”
แล้วว่า “เดิมทีในวันชูอิกปีก่อน เมื่อจัดลำดับหลังจากการประลองหน้าพระพักตร์แล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงวางแผนจะส่งคนเหล่านี้ไปเพิ่มกำลังให้แก่กองทัพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฮ่องเตทรงตัดสินพระทัยเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทว่าก็ยังทรงคำนึงถึงว่าในจำนวนคนเหล่านี้ นอกจากสามีเจ้าที่กำหนดแล้วว่าจะไปรับเจ้ามาแต่งงานและคนที่เพิ่งจะหมั้นหมายหรือแต่งงานแล้ว นอกเหนือจากนั้น ทุกคนล้วนเกิดในตระกูลเลื่องชื่อ ซึ่งเพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและความสามารถ ล้วนแล้วแต่สามารถเป็นตัวเลือกพระสวามีขององค์หญิงหลินชวนทั้งสิ้น จึงทำให้เรื่องส่งคนไปกองทัพถูกยื้อเอาไว้จนถึงยามนี้ หากองค์หญิงยังเลือกพระสวามีไม่เรียบร้อย พวกเขาก็ไม่อาจเข้ากองทัพได้ หาไม่แล้วหลังจากเสิ่นจั้งเฟิงครบกำหนดลาและแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนเจ้าในเมืองหลวง และจักต้องไปสั่งสมความดีความชอบที่เมืองซีเหลียง”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างคาดไม่ถึงว่า “นี่เป็นเรื่องใดกัน? ข้าเพิ่งจะแต่งเข้าบ้าน จึงไม่กล้าสอบถามให้ละเอียด…ยังหลงนึกว่าผลการประลองเมื่อวันชูอิกปีก่อนของเขาไม่ดีเสียอีก จึงไม่ได้รับตำแหน่ง!”
“สามีเจ้าได้ที่หนึ่งด้วยซ้ำ!” ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มแล้วว่า “หากลำดับนี้ไม่ดี แล้วจักมีลำดับใดดีอีก? จะว่าไป เดิมทีผู้ที่ได้ลำดับรองจากสามีผู้นั้นของเจ้า หลิวซีสวิน คุณชายสิบหกแห่งตระกูลหลิว ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดกลับถดถอยไปอย่างมาก แม้แต่สิบอับดับแรกก็ยังไม่ได้! ยามนี้ดูไป หรือว่าเพราะเขาไม่ชอบองค์หญิงหลินชวนเอาการ จึงกลัวว่าตนจะถูกเลือก เป็นเหตุให้หาทางหลบเลี่ยงกระมัง?”
เว่ยฉางอิ๋งขยับเข้ามากระซิบข้างหูนาง “เรื่องนี้ข้ากลับรู้… หลิวรั่วเหยียคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวบอกกับข้าแล้วว่าเป็นการต่อสู้ภายในของตระกูลหลิว หลิวซีสวินได้รับผลกระทบจึงทำให้ฝีมือของเขาผิดปกติไป”
“หลิวรั่วเหยีย?” ซ่งไจ้สุ่ยได้ยินคำก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าระวังนางเอาไว้สักหน่อยเถิด! อย่าได้เห็นว่านางดูน่ารักไร้เดียงสา ทั้งรู้ความและช่างฉอเลาะ ความจริงแล้วใจคอกลับอำมหิตนัก นางเป็นคนที่ไม่ละเว้นแก่ผู้ใด ข้าไม่สนับสนุนให้เจ้าไปสมาคมกับนางอย่างลึกซึ้ง”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวผู้นี้เฉลียวฉลาดเหนือคนจริงๆ เพียงแต่ไยท่านพี่จึงรังเกียจนางเช่นนี้? คงมิใช่ว่านางเคยล่วงเกินท่านพี่?”
ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวว่า “ข้าเฝ้าอยู่แต่ในเรือนทั้งวันไม่ได้ออกไปไหน ทั้งไม่เคยเชิญนางมาที่จวน แล้วนางจะล่วงเกินข้าได้อย่างไร? ข้ากลับได้ยินวานวานเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน” จึงว่า “เจ้าอาจรู้จักจงเจี๋ยกระมัง?”
เว่ยฉางอิ๋งงุนงง “ผู้ใด?”
“น้องชายของสนมเสี่ยวอี๋แซ่จง” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยเตือน “เพราะสนมจงเป็นที่โปรดปราน ก่อนนี้ฮ่องเต้มิใช่ส่งพวกของเจิ้งจงฉีไปรับครอบครัวของนางจากชิงโจวมาเมืองหลวง เพื่อมาอยู่พร้อมหน้ากันกับสนมจงหรอกหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “โธ่เอ๊ย เป็นเขารึ? คนผู้นี้ข้าก็มิเคยพบมาก่อน มิน่าเล่าข้าจึงไม่รู้จัก”
“ข้าเองก็บังเอิญร่วมเดินทางขึ้นเหนือมากับพวกเขาจึงได้รู้จัก” ซ่งไจ้สุ่ยโบกพัดวงกลมสองหนแล้ววางลง บอกว่า “หลังจากจงเจี๋ยผู้นี้เข้าเมืองหลวง เพราะสนมจง เขายังได้รับโอกาสให้เข้าเฝ้าฯ ฮ่องเต้ครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้พระราชทานยศเจิ้นเวยเสี้ยวเว่ยซึ่งเป็นตำแหน่งหนึ่งในขุนนางฝ่ายกลาโหม และเป็นขุนนางขั้นหก ทั้งยังพระราชทานคฤหาสน์และเงินก้นถุง… โปรดเกล้าฯ ให้เขาและภรรยา รวมทั้งน้องสาวมาอยู่ในเมืองหลวง เพื่อให้พี่สาวน้องชายมีโอกาสพบปะกันได้บ่อยครั้ง”
“จากนั้นเล่า?”
“จากนั้นน่ะหรือ เป็นเช่นนี้ ถัดลงไปจากสนมจงและจงเจี๋ยยังมีน้องสาวคนเล็ก คล้ายมีนามว่าจงลี่” ซ่งไจ้สุ่ยนึกย้อนกลับไปพลางว่า “ดูจากอายุก็ควรจะทาบทามเรื่องแต่งงานแล้ว ได้ยินว่าเดิมทีครั้งอยู่ที่ชิงโจวก็เกือบจะได้หมั้นหมาย แต่เพราะพวกของเติ้งจงฉีไปถึง จงเจี๋ยจึงยกเลิกเรื่องแต่งงานที่นั่นและพาน้องสาวมาเมืองหลวง ในเมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว ทั้งได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขาย่อมต้องเลือกสรรการแต่งงานที่ดีสักหน่อยให้แก่จงลี่ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา”
เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะแล้วว่า “แล้วเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องใดกับหลิวรั่วเหยีย? คงไม่ใช่ว่ามองไปมองมา จงเจี๋ยก็ไปหมายตาเอาบิดาหรือไม่ก็พี่ชายน้องชายของหลิวรั่วเหยียเข้าเสียเล่า?”
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว?” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างรู้สึกเหนือคาด
เว่ยฉางอิ๋งเองยิ่งรู้สึกเหนือคาดเสียยิ่งกว่านาง “จริงรึ? จงเจี๋ยไปหมายตาบิดาหรือไม่ก็พี่ชายน้องชายของหลิวรั่วเหยีย?”
“ย่อมเป็นพี่ชายน้องชายของนางสิ” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “นายท่านห้าของตระกูลหลิวผู้นี้… มีทั้งภรรยาและบุตร จงเจี๋ยจะไปหมายตาเขาได้อย่างไรกัน?”
“ข้าได้ยินว่าบิดาของหลิวรั่วเหยียดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรมออกประกาศ เป็นขุนนางขั้นสี่ และเป็นขุนนางที่มีความสำคัญในราชสำนัก จงเจี๋ยรักใคร่น้องสาวก็ส่วนรักใคร่ แต่เอาความกล้าที่ใดไปหมายตาเขา?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง
ซ่งไจ้สุ่ยตบมือบอกว่า “เรื่องมันเป็นเช่นนี้ เจ้าฟังข้าว่า สนมชั้นเสี่ยวอี๋เพียงอยู่ในขั้นหก ฮ่องเต้เห็นแก่หน้าสนมจง จึงแต่งตั้งให้จงเจี๋ยรับตำแหน่งเจิ้นเวยเสี้ยวเว่ยซึ่งเป็นขุนนางขั้นหก ดีชั่วอย่างไรคนตระกูลนี้ก็วนเวียนอยู่เพียงขั้นหก เมื่อเทียบกับหลิวไห้แล้ว ในสายตาของพวกเราย่อมไม่ควรค่าไปเอ่ยถึง ต่อให้จงลี่ไปเป็นอนุของหลิวไห้ พวกเราก็ยังรู้สึกว่าหลิวไห้ยอมรับนางก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่เพราะเดิมทีจงเจี๋ยมีชาติกำเนิดเป็นชาวบ้านธรรมดา ได้ยินว่าแม้แต่หนังสือก็ยังไม่รู้สักตัว เขาจึงไม่คิดเห็นเช่นนี้!”
หลิวไห้ก็คือบิดาของหลิวรั่วอวี้และหลิวรั่วเหยีย
เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เขาคิดเห็นเช่นใดหรือ?”
“เขารู้สึกว่าพี่สาวของตนเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ตัวเองก็คือน้องภรรยาของฮ่องเต้ ขั้นสี่ขั้นหกอันใด เขาล้วนไม่เข้าใจทั้งคร้านจะไปสอบถามให้ชัดเจนด้วย ดีชั่วอย่างไรก็รู้สึกว่าในเมื่อตนเป็นพระญาติของฮ่องเต้ เช่นนั้นแล้วเมื่อครานี้จะจัดแจงเรื่องการแต่งงานให้น้องสาวทั้งที บุตรหลานตระกูลต่างๆ ที่มีอยู่เต็มเมืองหลวง ขอเพียงไม่ใช่พระญาติของฮ่องเต้ ก็ล้วนไม่เป็นปัญหาใด” ซ่งไจ้สุ่ยพูดถึงตรงนี้ก็แสดงสีหน้าเยาะหยันออกมา แล้วกล่าวว่า “จากนั้นมีหนหนึ่งจงลี่ผู้นั้นนั่งรถอยู่บนถนน และมองเห็นหลิวรั่ววั่วน้องชายร่วมท้องของหลิวรั่วเหยียผ่านม่านหน้าต่างรถ เห็นว่าเขาทั้งหนุ่มทั้งหล่อเหลา สวมอาภรณ์หรูหรา เมื่อกลับมาจึงนำความในใจไปเอ่ยอย่างตะกุกตะกักต่อพี่ชาย… จงเจี๋ยให้คนไปสอบถามดู ได้ความว่าเป็นบุตรชายของหลิวไห้ แล้วก็มิได้ไปบอกกับสนมจง หากแต่ส่งคนไปพูดเรื่องแต่งงานเองโดยตรงเลย!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยความอึ้งว่า “มีแม่สื่อยอมรับทำงานนี้ด้วยรึ?” แม้จงเจี๋ยไม่เข้าใจ แต่แม่สื่อก็ไม่น่าถึงกับไม่เข้าเรื่องนี้กระมัง?
ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มน้อยๆ พลางว่า “เมื่อชาวบ้านทั่วไปเจรจากันเรื่องแต่งงาน ก็ล้วนหาคนที่เสมอกันไปพูดให้สักหน่อย หากผ่านแม่สื่อล้วนต้องใช้เงินทอง แม้จะบอกว่าจงเจี๋ยได้รับพระราชทานเงินก้นถุงมา คนทั้งบ้านล้วนมีกินไม่ใช้ไม่ต้องกังวล แต่ก็ยังตัดใจใช้จ่ายเงินในเรื่องนี้ไม่ได้ จึงสั่งให้บ่าวสูงวัยที่ดูสุขุมเรียบร้อยไปพูดจากับตระกูลหลิว”
_______________________________
[1] บ้านมีขุนนางเพิ่ม หมายถึง ตัวองค์หญิงเองที่ถือเป็นผู้มีตำแหน่งสำคัญซึ่งเพิ่มเข้ามาในครอบครัว