ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 51 นกแก้วและปลา
เมื่อฟ้าเริ่มมืด เว่ยฉางอิ๋งก็กลับถึงจวน คาดว่าเวลานี้ฮูหยินซูคงกำลังทานอาหารอยู่ จึงให้คนนำนกแก้วและอ่างปลากลับไปที่เรือนจินถงก่อน แล้วตนเองก็ไปดูสถานการณ์ที่เรือนหลักสักหน่อย
เมื่อไปถึงเรือนหลัก บ่าวชราที่เฝ้าอยู่หน้าประตูได้รับคำสั่งมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อเห็นนางจึงกล่าวว่า “ฮูหยินสั่งเอาไว้เจ้าค่ะ ว่าวันนี้ฮูหยินน้อยออกไปข้างนอก หากกลับมาแล้วก็ให้กลับไปที่บ้านสามได้เลยเจ้าค่ะ วันพรุ่งค่อยมาปรนนิบัติฮูหยินเถิด เพลานี้ก็ไม่จำเป็นต้องมารบกวนแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งขอบคุณพวกนาง และให้ฉินเกอมอบถุงเงินให้พวกนางคนละถุง เมื่อเห็นบ่าวชราทั้งสองพากันรับไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังเกรงใจและเคารพตน จึงคาดคะเนว่าฮูหยินซูคงไม่รู้สึกว่าตนไม่เชื่อฟังและกลับมาช้าเกินไป จึงจงใจไม่ให้ตนมาพบเพื่อเป็นการแสดงว่าไม่พอใจ หากแต่คงเพราะรู้สึกว่าค่ำมากแล้ว ไม่อยากถูกรบกวนจริงๆ นางจึงลอบโล่งใจ และกลับไปที่เรือนของตนอย่างวางใจ
พอเข้าไปในลานบ้านในเรือนของตน ก็ได้ยินเสียงเสนาะหูของหญิงสาวดังมาก่อนว่า “คารวะคุณชาย” “คำนับคุณหนูใหญ่” เว่ยฉางอิ๋งกำลังคิดจะหันไปล้อเล่นกับบ่าวทั้งซ้ายขวาว่าซ่งไจ้สุ่ยสอนสั่งนกแก้วสองตัวนี้ได้น่าสนใจจริงๆ ก็ปรายตาไปเห็นเสิ่นจั้งเฟิงที่ยามนี้สวมชุดอยู่บ้านตัวยาวสีน้ำเงินเข้ม มือคีบดอกกุหลาบสีชมพูดอกหนึ่ง กำลังยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน หยอกล้อกับนกแก้วหลากสีคู่นี้อยู่
เมื่อเหลือบไปเห็นว่านางกลับมาแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงจึงทิ้งนกแก้วเอาไว้แล้วเดินเข้ามารับ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เอามาแต่ที่ใด? คงเป็นลูกผู้พี่ของเจ้าให้มา?”
“ก็มิใช่รึ?” เว่ยฉางอิ๋งโอดครวญไปด้วยท่าทีกึ่งขัดเคืองกึ่งกล่าวโทษ “นางเลี้ยงนกแก้วและปลาไว้มากมาย แต่ปรากกฎว่าไม่รู้ว่าคิดอย่างไร จึงไปเลี้ยงแมวสิงโตไว้ด้วยตัวหนึ่ง วันนี้ยามข้าเพิ่งจะเข้าไปในเรือนของนาง ก็เห็นว่าแมวตัวนั้นคาบนกแก้วไปกินตัวหนึ่ง ด้วยกังวลว่าแมวตัวนั้นจะจัดการนกแก้วจนหมด นางจึงขืนเอาพวกมันยัดใส่รถข้ามา”
เสิ่นจั้งเฟิงเอื้อมมือเอาดอกกุหลาบไปแซมไว้บนผมนาง ยิ้มแล้วบอกว่า “เช่นนี้ก็ดี เรือนของเราเพิ่งจะจัดเสร็จ แม้จะเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว แต่กลับไม่ครึกครื้นเท่าใด มีนกแก้วคู่หนึ่งอยู่ในระเบียงทางเดินก็น่าสนใจดี จัดคนสองคนไปคอยดูแลเป็นพอ จะว่าไปแล้วของประเภทนี้ก็ดูแลไม่ยากนัก
บนระเบียงทางเดินในยามนี้ก็มีสาวใช้ตัวน้อยถูกนกแก้วดึงดูดเอาเสียแล้ว นกแก้วคู่นี้ถูกสอนสั่งมาจนรู้จักประจบประแจงยิ่งนัก รู้จักพูดไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบรู้จักทักทาย ทั้งยังมีขนสีสันฉูดฉาดงดงาม ทำให้คนหลงรักได้โดยง่าย เมื่อสาวใช้ตัวน้อยในวัยเช่นจูหลานและจูสือได้มาเห็นมีผู้ใดบ้างจะไม่ชอบ เมื่อได้ยินคำจึงพากันแสดงเจตจำนงว่าตนยินยอมจะมาดูแลพวกมัน
เว่ยฉางอิ๋งเลือกไปส่งเดชว่าให้จูสือและจูหลานเป็นคนดูแลเรื่องนี้ สาวใช้ตัวน้อยสองคนขอบคุณนางด้วยความยินดี แล้วรีบล้อมเข้าไปหยอกล้อกับพวกมันครั้งแล้วครั้งเล่า
ทั้งเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้สนใจของเล่นนี้อีก เมื่อเข้าไปภายในเรือนแล้ว เว่ยฉางอิ๋งไม่เห็นอ่างปลาที่ซ่งไจ้สุ่ยมอบให้จึงถามว่า “ปลาเล่า?”
“ข้าให้คนเอาไปไว้ในห้องหนังสือเล็กแล้ว วางไว้ข้างๆ ชั้นหนังสือ” เสิ่นจั้งเฟิงบอก
“อ่ะ เช่นนั้นก็ดี” เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งคิดจะเอาวางไว้ในระเบียงทางเดินตามที่ซ่งไจ้สุ่ยบอก จะได้เอาไว้ดูเวลาเข้าออกเรือน แต่หากในห้องหนังสือมีอ่างปลาสักอ่าง และภายในอ่างก็ยังมีต้นบัว วันหน้าเอาไว้ดูเวลาอ่านหนังสือก็ดีเช่นกัน
คราวนี้นางว่านเข้ามาสอบถามว่าจะให้ยกอาหารมาเลยหรือไม่ เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกประหลาดใจ แล้วถามเสิ่นจั้งเฟิงว่า “เจ้ายังไม่ได้ทานข้าวหรือ?”
“เจ้าทานที่บ้านลูกผู้พี่เจ้าแล้วรึ?” เสิ่นจั้งเฟิงเข้าใจแล้ว จึงบอกว่า “เช่นนั้นเจ้าไปพักสักหน่อยเถิด รอข้าสักพัก”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าเขารอตนจนค่ำเช่นนี้ ก็เพื่อจะได้ทานอาหารด้วยกัน แต่ตนเองกลับไปทานอาหารที่เรือนของซ่งไจ้สุ่ยและเพิ่งจะกลับมา จึงอดจะรู้สึกผิดไม่ได้ กล่าวว่า “ข้ารีบทานข้าวที่เรือนของลูกผู้พี่มาเล็กน้อย เช่นนั้นก็มาทานกับเจ้าอีกสักหน่อยเถิด”
หลังจากทานข้าวและอาบน้ำแล้ว สองคนก็รุกเร้ากันอย่างเคยยกหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งคิดว่าอีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันประสูติขององค์หญิงหลินชวนแล้ว และด้วยเรื่องต่างๆ ที่ซ่งไจ้สุ่ยวิเคราะห์ในวันนี้… จึงเอ่ยถามเสิ่นจั้งเฟิงว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันประสูติขององค์หญิงหลินชวนแล้ว ข้าต้องเข้าวังไปพบกับพระสนมเอก เจ้าเข้าวังอยู่ทุกวัน มีที่ใดต้องระวังบ้าง และมีเรื่องใดต้องกำชับข้าก่อนหรือไม่?”
เสิ่นจั้งเฟิงนอนหนุนแขนตน อีกมือหนึ่งโอบเอวนางไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไปหรอก ท่านยายของพวกเราเป็นท่านอาร่วมตระกูลของพระสนมเอก ทั้งโดยปกติแล้วบ้านเราก็ไม่เคยล่วงเกินพระสนมเอกที่ใด พระสนมเอกจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก ข้ามาคิดดูภายหลังว่าอาจเป็นเพราะตอนนั้นอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ แล้วพระสนมเอกอยากเอ่ยเรื่องขององค์หญิงหลินชวน จึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ เพื่อเกริ่นนำเท่านั้น”
เว่ยฉางอิ๋งพอจะเข้าใจแล้ว “ข้าได้ยินลูกผู้พี่บอกว่า ฮองเฮาและพระสนมเอกเติ้งต้องการจะให้หลานชายสมรสกับองค์หญิงหลินชวน?” ตอนที่สนมเอกเติ้งนำผลไม้ไปถวายฮ่องเต้ เพราะนางต้องการเอ่ยถึงเรื่องอภิเษกขององค์หญิงหลินชวน เมื่อเห็นเสิ่นจั้งเฟิง ก็ประจวบเหมาะที่จะได้อาศัยเรื่องที่นางอยากจะเชิญภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่ของเขาให้เข้าวังมาในวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อไปที่ตัวองค์หญิงหลินชวนแทน?
คราก่อนเสิ่นจั้งเฟิงพูดขึ้นมาลอยๆ แต่กลับทำให้เว่ยฉางอิ๋งสงสัยมาจนถึงยามนี้ ทั้งยังไปวิเคราะห์กับซ่งไจ้สุ่ยเสียเป็นจริงเป็นจัง… เวลานี้นึกขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เป็นดังนั้น” เสิ่นจั้งเฟิงบอก “ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวสิ่งใดกับบ้านเรา ก่อนนี้ข้าเป็นคนนำราชโองการไปสอบถามจางผิงซวี แต่ยามนี้เมื่อเขาล้มป่วย ทางเจ้ากรมปฏิทินก็มาทูลกับฮ่องเต้เป็นการส่วนตัว บอกว่าดวงชะตาของจางผิงซวีไม่สูงศักดิ์พอ เกรงว่าจะรับเกียรติของราชบุตรเขยไม่ไหว เมื่อฮ่องเต้ได้ยิน จึงตรัสว่าไม่ต้องพิจารณาเขาแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “นี่เพราะจางผิงซวีเปลี่ยนใจไม่อยากเป็นราชบุตรเขยแล้ว จึงได้ไปซื้อตัวเจ้ากรมปฏิทิน หรือว่า?” เดิมทีเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงเพิ่งจะเอ่ยถึงเรื่องของจางผิงซวีนั้น นางก็ยังสงสัยว่าจางผิงซวีเป็นคนเปลี่ยนใจเอง แต่ซ่งไจ้สุ่ยก็บอกอีกว่าอาจเป็นเพราะฮองเฮาหรือพระสนมเอกต้องการให้หลานชายของตนเป็นราชบุตรเขย จึงไปกดดันจางผิงซวี… เรื่องนี้เหมือนการชมดอกไม้ท่ามกลางหมอก สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งดูยิ่งไม่เข้าใจ
“ไม่ใคร่แน่ใจ” เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งคิดอยู่เป็นนาน แต่กลับเอ่ยออกมาเช่นนั้น “ท่านพ่อบอกให้ข้าอย่าได้เข้าไปก้าวก่ายในเรื่องนี้ ข้าเองจึงไม่ได้ไปสอบถามอีก” แล้วก็ก้มหน้าลงมาจูบนางหนแล้วหนเล่า พลางปลอบประโลมว่า “ยามเจ้าเข้าวังก็ไปพร้อมกับท่านแม่และพวกพี่สะใภ้ ทั้งยังมีจั้งหนิงไปเป็นเพื่อนด้วย มีเรื่องใดก็จะมีท่านแม่ช่วยจัดการให้เจ้า จั้งหนิงเคยเข้าวังมาแต่เล็ก สนิทสนมกับองค์หญิงหลายพระองค์ ข้าจะกำชับนางให้อยู่กับเจ้าตลอด”
“ข้าก็เพียงถามไปเช่นนั้น แต่เจ้ากลับพูดเสียอย่างกับว่าข้าเป็นคนขี้ขลาดอย่างนั้น” เว่ยฉางอิ๋งพูดไปอย่างไม่พอใจเขา “ข้ารู้แล้ว…เข้านอนเถิด วันพรุ่งเจ้ายังต้องตื่นแต่เช้า”
วันต่อมา เว่ยฉางอิ๋งไปปรนนิบัติที่เรือนหลัก เมื่อพบฮูหยินซูก็กำลังจะกล่าวคำขอบคุณที่วันก่อนอนุญาตให้ตนไปคารวะที่จวนตระกูลซ่ง แต่เมื่อฮูหยินซูพบหน้านางก็เอ่ยถามว่า “ลูกผู้พี่ของเจ้ายามนี้สุขสบายดีอยู่หรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งคำนับอย่างนอบน้อมแล้วว่า “เรียนท่านแม่ ท่านพี่รู้สึกขอบพระคุณท่านแม่เป็นอย่างยิ่งที่อนุญาตให้สะใภ้ไปเยี่ยมเยือนที่จวนวานนี้เจ้าค่ะ ยามนี้ท่านพี่…ล้วนสุขสบายดีเจ้าค่ะ”
อย่างไรก็ไม่อาจพูดไปตามตรงกระมังว่า หลังจากถูกราชสำนักถอนหมั้นแล้ว ซ่งไจ้สุ่ยก็ดีอกดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น จะเหลือก็แต่ไม่ได้ฉลองติดต่อกันสามวันสามคืนเท่านั้น ทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างชุ่มชื่นใจหาใดเปรียบ แม้แต่มีพี่สะใภ้ไม่ดีงามก็ยังไม่ถือสาเท่าใดเลย?
ทว่าท่าทีเช่นนี้ของเว่ยฉางอิ๋งเมื่อมาอยู่ในสายตาของฮูหยินซู กลับมีคำอธิบายที่แตกต่างออกไป… ตำหนักตะวันออกไม่ดีงาม ซ่งไจ้สุ่ยสูญเสียฐานะพระชายาองค์รัชทายาท ด้วยชาติกำเนิดคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซ่งของนางเรื่องนี้กลับไม่นับว่าเป็นสิ่งใด ปัญหาอยู่ที่นางเสียโฉมและฮ่องเต้คิดวานางเป็นตัวอัปมงคล
ทั้งยังเป็นหญิงสาวที่อายุสิบเก้าปีแล้ว เรื่องคู่ครองในวันหน้าจะทำฉันใด? สาวสะพรั่งรูปโฉมงดงามทั้งมีชาติกำเนิดสูงส่ง เมื่อต้องมาลงเอยเช่นนี้ก็นับว่าน่าสงสาร ฮูหยินซูคิดถึงเรื่องนี้ด้วยความเห็นใจนัก นางถอนหายใจหนหนึ่งและปลอบเว่ยฉางอิ๋งไปว่า “ท่านเสนบดีตรวจการซ่งมีบุตรสาวผู้นี้เพียงผู้เดียว ทั้งยังเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกที่เสียไปแล้ว จักต้องไม่ปล่อยปละนางเป็นแน่ วันหน้าแม้ต้องแต่งกับคนที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าสักน้อย แต่สามีนั้น ขอเพียงมีความเอาใจใส่ต่อนาง เรื่องอื่นใดล้วนเป็นเรื่องรอง”
สำหรับคำพูดนี้ของแม่สามี เว่ยฉางอิ๋งยังรู้สึกซาบซึ้งนัก จึงคำนับขอบคุณ แล้วบอกว่า “ลูกผู้พี่อยู่แต่ในเรือนดูท่าว่าเหงานักเจ้าค่ะ นางจึงเลี้ยงนกแก้วและปลาไว้จำนวนหนึ่ง วานนี้ยังก็ให้สะใภ้นำนกแก้วและปลาหนึ่งอ่างกลับมาด้วย แต่เพราะฟ้ามืดแล้ว คนของท่านแม่ที่นี่บอกว่าท่านแม่ไม่ให้มารบกวนแล้ว สะใภ้จึงนำกลับไปที่เรือนจินถง สะใภ้เห็นว่าที่เรือนของท่านแม่ก็ไม่มีของเหล่านี้อยู่… นกแก้วคู่นั้นแม้จะเป็นเพียงนกแก้วที่มีสีสันธรรมดา ทว่าลูกผู้พี่ก็สอนมันจนพูดเป็นแล้ว ในอ่างปลาก็มีต้นบัวและปลาทอง น่าสนใจทั้งนั้นเจ้าค่ะ ซึ่งยามนี้ล้วนอยู่ข้างนอก ท่านแม่อาจลองดูว่าจะจัดวางไว้ที่ใดจึงจะเหมาะสมเจ้าคะ?”
คำพูดนี้เป็นนางหวงเอ่ยเตือนนางเมื่อเช้านี้ นางหวงรอให้เสิ่นจั้งเฟิงไปแล้ว จึงกระซิบบอกว่า “วานนี้ข้าน้อยก็ไม่เหมาะจะไปขัดความสนใจของคุณชาย เพียงแต่แม้คุณหนูไจ้สุ่ยจะมอบของกำนัลอื่นให้แก่ฮูหยินแล้ว ทว่านกแก้วและปลานี้ อย่างไรก็ควรไปเอ่ยปากกับฮูหยินสักคำ นับเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่เจ้าค่ะ เดิมทีฮูหยินน้อยเองก็มิใช่ว่าไม่มีเหล่านี้ไม่ได้ แล้วไยต้องให้โอกาสฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองพูดเรื่อยเปื่อยเจ้าคะ?”
ปรากฏว่าเมื่อฮูหยินซูได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้านี่มีน้ำใจนัก เพียงแต่เจ้าไม่รู้ว่าเหตุใดทางนี้จึงไม่มีนกแก้ว ก็เพราะข้าไม่ชอบเสียงเอะอะ อย่างไรเสียพอข้าอายุมากขึ้นก็ไม่เทียบกับพวกเจ้าที่เป็นคนหนุ่มสาว… ส่วนปลานั้นดูสงบดี จึงพอจะย้ายมาไว้ที่ระเบียงทางเดินให้ข้าได้ ว่างๆ จะได้ไปดู”
เว่ยฉางอิ๋งแอบปาดเหงื่อในใจ ทั้งยังร่ำร้องว่าโชคดีหนแล้วหนเล่า หากมิได้นางหวงเตือน ภายหลังนางหลิวและนางตวนมู่ก็จะมาพูดจาเรื่อยเปื่อยต่อหน้าฮูหยินซูลับหลังตนเอาได้ ว่าซ่งไจ้สุ่ยมอบนกแก้วและปลาให้ตน ตนได้รับมาก็นำไปชื่นชมในเรือนสามเสียเลย แม่สามีทางนี้ก็ไม่รู้จักมาเอ่ยคำตามมารยาทแม้สักคำ!
แม้ดูไปแล้วฮูหยินซูก็นับว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีใจเมตตาและมีเหตุผล แต่หากได้ยินคำพูดนี้แล้ว ในใจจะไม่รู้สึกไม่พอใจได้หรือ?
ในระหว่างที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังรู้สึกสะท้านใจอยู่นั้นนางก็เตือนตนเองว่า เป็นสะใภ้นั้นไม่เหมือนเป็นบุตรสาวเลยจริงๆ ครั้งนางยังเป็นคุณหนูใหญ่ในบ้านของตน นับตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่าไปจนถึงพี่น้องชายหญิงในรุ่นเดียวกัน มีเรื่องใดที่ไม่คำนึงถึงนางก่อน ลำพังแค่นกแก้วคู่หนึ่งและปลาอ่างหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งกลับมิได้ตัดใจไม่ขาด เพียงแต่ไม่เห็นว่ามันจะสลักสำคัญอันใด ก็มิใช่ว่าซ่งไจ้สุ่ยขืนเอายัดใส่รถนางมา และนางก็คร้านจะเอากลับคืนไปเท่านั้น
และนางก็คิดว่าหากฮูหยินซูคิดอยากได้นกแก้วอยากได้ปลา แล้วจะไม่มีได้อย่างไร? กอปรกับคืนก่อนยามกลับไปถึงเรือนจินถง เสิ่นจั้งเฟิงก็บอกแล้วว่าเขาหาที่จัดวางนกแก้วและอ่างปลาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ยอมรับโดยปริยาย จึงไม่ได้คิดว่าต้องนำเรื่องนี้มาบอกกล่าวกับแม่สามีสักคำ…
ครานี้ฮูหยินซูขอปลา สายตาของนางหลิวและนางตวนมู่พลันมีความผิดหวังเผยออกมา เห็นชัดว่าพวกนางรออยู่นานแล้ว หากเว่ยฉางอิ๋งไม่เอ่ยเรื่องนี้ออกมาก่อน พวกนางก็จะเป็นคนพูดเอง
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งแก้สถานการณ์ได้เอง นางหลิวและนางตวนมู่ก็ไม่เหมาะจะไปวิจารณ์เรื่องนี้อีก จึงเอ่ยอย่างราบเรียบว่าไปประโยคหนึ่งว่าน้องสะใภ้สามช่างกตัญญูจริงๆ ไปเรือนของลูกผู้พี่ก็ยังไม่ลืมท่านแม่ และล้มเลิกความคิดที่จะเสนอให้เว่ยฉางอิ๋งยกนกแก้วให้พวกนางคนละตัวไปเสีย จากนั้นก็ให้คนยกสมุดบัญชีเข้ามา… นี่เป็นเรื่องที่ฮูหยินซูเอ่ยเมื่อวันก่อน ว่าจะให้สะใภ้สามเริ่มมาดูแลจัดการบ้านเรือน แม้ว่าในใจของนางหลิวและนางตวนมู่จะไม่สบายใจเพียงใด แต่ก็ไม่อาจทำเป็นว่าไม่ได้ยิน และไม่เอาสิ่งของนานาออกมา เพื่ออธิบายเรื่องต่างๆ ในจวนแก่เว่ยฉางอิ๋งได้
ฮูหยินซูแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองมีท่าทีไม่พอใจ แล้วชมเชยด้วยสีหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้มไปสองสามคำว่าพวกนางมีน้ำจิตน้ำใจอันดี แล้วว่า “ตอนนี้ข้ารู้สึกเพลีย อยากจะไปเอนหลังสักหน่อย พวกเจ้าทั้งสองคนพาฉางอิ๋งไปดูบัญชีที่อื่นเถิด”
เหล่าสะใภ้ย่อมต้องแสดงท่าทีว่าจะอยู่คอยปรนนิบัติต่อ ฮูหยินซูยืนกรานให้พวกนางไป ทั้งสามคนจึงไถ่ถามอาการของฮูหยินซูตามมารยาท และอำลาไปพร้อมกัน
เมื่อออกไปจากเรือน นางหลิวก็เสนอว่า “ไปคุยกันที่เรือนข้าดีหรือไม่? วันนี้ข้าให้ห้องครัวเล็กทำน้ำแข็งใสใส่บัวลอยและน้ำหวานเกล็ดหิมะใส่ไข่มุกด้วย”
นางตวนมู่ลูบที่ตีนผมหนหนึ่ง ยิ้มอ่อนๆ พลางบอกว่า “เช่นนั้นพวกเราก็มีลาภปากแล้ว”
พวกนางล้วนเห็นด้วย เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่คัดค้าน บอกว่า “แล้วแต่พี่สะใภ้ทั้งสองเจ้าคะ”
เช่นนี้ไปจนถึงเรือนซินอี๋ คุณหนูหลานใหญ่เสิ่นซูจิ่งมารอรับมารดาที่หน้าประตู เมื่อเห็นอาสะใภ้ทั้งสองจึงรีบเข้าไปคารวะ
ทุกคนบอกนางว่าอย่างได้เกรงใจ เมื่อเข้าไปนั่งภายในเรือน จึงนำบัญชีออกมา นางหลิวเห็นเสิ่นซูจิ่งยังไม่ขอตัวออกไป รู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “มีสิ่งใด?”
เสิ่นซูจิ่งรีบบอกว่า “เรียนท่านแม่ ทางบ้านของท่านน้าเกาส่งข่าวมา บอกว่ามารดาของนางเสียแล้ว ท่านน้าเกาอยากจะกลับไปดูสักหน่อยเจ้าค่ะ”
นางหลิวขมวดคิ้ว บอกว่า “เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้?” แล้วจึงเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้มว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ บ้านของท่านน้าเกาก็อยู่ใกล้เพียงแค่นอกเมืองหลวง ย่อมต้องกลับไปอยู่แล้ว เพียงแต่งานราชการของท่านพ่อพวกเจ้ากำลังยุ่งนัก จึงไม่ว่างจะกลับไปกับนาง เจ้าเอาเงินก้อนหนึ่งให้นาง และให้คนไปส่งนางเถิด หากทางบ้านมีเรื่องขัดสนใด ก็เพียงขอให้บอกมา”
เสิ่นซูจิ่งพยักหน้า แล้วหันไปกล่าวคำอำลากับนางตวนมู่และเว่ยฉางอิ๋ง แล้วจึงถอยออกไปด้วยกริยาสำรวม
นางตวนมู่จึงบอกว่า “พี่สะใภ้ใหญ่อบรมซูจิ่งได้ดีจริงๆ เจ้าค่ะ เมื่อเทียบกันแล้ว ลูกสาวทั้งสามคนในเรือนข้าไม่มีสักคนที่เทียบนางได้เลย”
นางหลิวภูมิอกภูมิใจในบุตรและธิดาของตนเสมอมา เมื่อได้ยินคำของนางตวนมู่ครานี้ จึงนึกได้ใจอยู่ในใจ แต่ปากกลับบอกว่า “คำกล่าวของเจ้านี้ คราก่อนที่น้องสะใภ้สามมาที่เรือนข้า พอเห็นซูโหรวก็ชมไม่หยุดปากว่านางเคร่งครัดในกฎระเบียบและยึดมั่นในคุณธรรม ยังชมเจ้าว่ามีวิธีอบรมบุตรสาวได้ดีจริงๆ อีกด้วย!”
“ข้าเห็นว่าพวกหลานๆ ล้วนดีกันทั้งนั้นเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้มีความประทับใจที่ไม่ดีต่อหลานๆ สองสามคนของตนเลย แม้แต่เสิ่นซูเหยียนที่คราก่อนดึงปิ่นทองของนางไปไม่ยอมปล่อย แต่อย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กเล็กๆ จึงมิได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด กลับเป็นจิตใจของพี่สะใภ้ทั้งสองเสียอีกที่ยากแท้หยั่งถึง ทั้งยามนี้ก็มิได้อยู่ต่อหน้าฮูหยินซู นางคร้านจะแสดงละครตบตาอีก จึงเอ่ยไปตรงๆ ว่า “ท่านน้าในเรือนของพี่สะใภ้ใหญ่เกิดเรื่อง พวกเราไม่อาจทำให้พี่สะใภ้ใหญ่เสียเวลามากจนเกินไป อย่างไรก็พูดเรื่องธุระกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
__________________________