ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 53 เจ้าเป็นดังน้องสาวแท้ๆ ของข้า!
เว่ยฉางอิ๋งมีท่าทีกระตือรือร้นเช่นนี้ อีกทั้งคนของจือเปิ่นถังก็กำลังถูกพวกของฮูหยินซูมองดูอยู่ด้วยรอยยิ้มแช่มชื่น พวกนางจึงไม่มีหน้าจะสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปได้ และต้องเข้าพบปะเว่ยฉางอิ๋งอย่างฝืนใจยิ่ง… เมื่อทั้งสองฝ่ายพบปะกันเรียบร้อยแล้ว เว่ยลิ่งจือที่คราก่อนออกหน้าแทนท่านย่าของตนเช่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งยังถูกเว่ยฉางอิ๋งจัดการเสียจนเกือบร้องห่มร้องไห้ออกมา คาดว่านางคงจะอดรนทนไม่ไหว จึงอาศัยจังหวะที่ฮูหยินซูกำลังสนทนากับจางอวิ้นชิว ขยับเข้าไปใกล้ๆ และแอบกระซิบเยาะหยันเว่ยฉางอิ๋งคำหนึ่งว่า “วันนี้ แต่ละตระกูลเข้าวังมาถวายพระพรองค์หญิงหลินชวน เจ้าระวังตัวไว้ให้ดีเถิด!”
“คำกล่าวของน้องลิ่งจือนี้” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มจางๆ พลางมองนาง เอื้อมมือไปจับข้อมือนางด้วยท่าทีกระตือรือร้น แล้วกล่าวอย่างสนิทสนมว่า “ข้าเองเมื่อเห็นน้องแล้วก็รู้สึกว่าสนิทสนมกับน้องยิ่งนัก ประหนึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้าเช่นนั้น…. ในเมื่อน้องสาวก็ว่ามาดังนี้ แล้วข้าจะตัดใจปฏิเสธน้องสาวได้อย่างไร?”
นางกล่าวสิ่งใดกัน! เว่ยลิ่งจือมองนางอย่างประหลาดใจ กำลังจะโต้ตอบ ข้างนางหลิวมองเห็นพวกนางจับมือกัน จึงเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ลิ่งจือแอบกระซิบสิ่งใดกับน้องสะใภ้สามหรือ? ให้พวกเราฟังบ้างมิได้หรือ?”
ทุกคนจึงพากันมองมา เพราะเว่ยลิ่งจือแอบเข้าไปยั่วยุเว่ยฉางอิ๋ง ยามนี้เมื่อถูกคนพบเห็นเข้าจึงอดจะมีท่าทีเลิ่กลั่กไม่ได้ นางคิดอยากดึงมือออกแล้วเดินไป ปากก็พูดจากลบเกลื่อนไปว่า “มะ…ไม่มีสิ่งใดเจ้าค่ะ”
ทว่าเรี่ยวแรงของคุณหนูบ้านใหญ่ที่บอบบางเช่นนางหรือจะทานแรงของเว่ยฉางอิ๋งได้? เว่ยฉางอิ๋งกำมือแน่น ยิ้มตาหยีพลางกล่าวกับนางหลิวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ทราบ เมื่อครู่นี้น้องลิ่งจือเข้ามาพูดกับข้าว่า นางเห็นข้าก็รู้สึกสนิทสนมยิ่ง ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน น้องลิ่งจืออยากจะเดินไปพร้อมกับข้าด้วยเจ้าคะ ข้าจึงบอกว่าช่างบังเอิญจริงๆ ข้าเพิ่งจะเข้าวังมาเป็นหนแรก ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นทิศใดข้าก็ยังแยกแยะไม่ออกเลย… น้องลิ่งจือยอมเดินเป็นเพื่อนข้าก็เป็นเรื่องที่ดีงามเสียจริงๆ!”
นี่มัน… นี่มันไร่แก่นสารสิ้นดี!!!
เว่ยลิ่งจือถลึงตาโต ยกอีกมือหนึ่งที่ไม่ถูกเว่ยฉางอิ๋งจับไว้มาทาบอก รู้สึกสะอึกหนักจนแทบจะเป็นลมล้มพับไป!
ข้าเข้ามาหาความสุขบนความทุกข์ของเจ้ามิใช่รึ?! ข้าเข้ามาเยาะหยันเจ้ามิใช่รึ? ข้าเป็นคนเข้ามายั่วยุเจ้านี่นา! เจ้าฟังคำข้าเข้าใจหรือไม่กันแน่ ยังกลับมามีท่าทีเช่นนี้…จะ…เจ้า…
นางมองทางพี่สะใภ้ พี่สาวน้องสาวของตน สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองบ้านเสิ่น ล้วนมองนางด้วยสายตาตกตะลึง เห็นชัดว่าทั้งสองฝ่ายล้วนรู้เรื่องความแค้นส่วนตัวระหว่างจือเปิ่นถังและรุ่ยอวี่ถังกันเป็นอย่างดี ตามหลักการแล้วหากบอกว่าเว่ยลิ่งจือไม่หาเรื่องเว่ยฉางอิ๋งก็นับว่าไม่เลวแล้ว เหตุใดยังจะมาแสดงน้ำใจที่อบอุ่นเช่นนี้?
แม้แต่อาสะใภ้จางอวิ้นชิวก็ยังแสดงสีหน้าสงสัยออกมา…
เว่ยลิ่งจือเบิกตาโตพูดจาติดอ่าง ในขณะที่กำลังไม่รู้ว่าจะตอบโต้เช่นไร ฮูหยินซูกลับหัวเราะขึ้นมา “เดิมทีพวกเจ้าก็เป็นคนร่วมตระกูลกัน ความสัมพันธ์ของฉางซานกงและจิ่งเฉิงโหวลึกซึ้งนัก ล้วนเป็นเรื่องที่ใครๆ ต่างรู้กันดี วันนี้พอหลานสาวทั้งสองมาพบกันก็สนิทสนมดังรู้จักกันมานาน ก็นับว่าเป็นเรื่องดีงาม” พลางแสดงท่าทีว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่จำเป็นต้องประคองตนแล้ว เปลี่ยนให้นางตวนมู่ขึ้นมาแทน แล้วกล่าวว่า “ข้ากำลังเป็นกังวลเรื่องฉางอิ๋ง เด็กผู้นี้เพิ่งเข้าวังเป็นคราแรก กลัวว่านางจะประหม่าอยู่เชียว! เมื่อมีลิ่งจือคอยอยู่ด้วย ข้าก็วางใจแล้ว วันนี้ สะใภ้ข้าผู้นี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว!”
“…ท่านป้าซูเกรงใจแล้วเจ้าค่ะ ขะ…ข้าจะคอยอยู่เป็นเพื่อนนางเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” ปากน้อยๆ ของเว่ยลิ่งจือเปิดๆ หุบๆ หุบๆ เปิดๆ สองสามครั้ง รู้สึกขัดเขินเหลือทนที่จะพูดความจริงออกมาในสถานการณ์เช่นนี้ จำต้องกัดฟัน…ยอมรับไปโดยปริยาย!
รอจนฮูหยินซูและจางอวี้นชิวพลางสนทนา พลางเดินไปทางตำหนักฉางเล่อตามที่นางในที่อยู่ใกล้ๆ ชี้ทางไป และคนรุ่นหลังของทั้งสองคนเดินตามหลังเข้าไปตามลำดับ ถึงยามนี้เว่ยลิ่งจือก็ยังดึงมือตนให้หลุดออกมาไม่ได้ จึงไม่อาจไม่ถูกเว่ยฉางอิ๋งดึงตัวเดินไป… แม้จะเป็นหญิงเช่นกัน ทั้งยังอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย แต่เรี่ยวแรงที่ส่งมาจากมืองามซึ่งกำข้อมือของนางอยู่นั้นมากมายนักจนนางไม่อาจขัดขืนได้ และยังทำให้นางรู้สึกขึ้นมาตามสัญชาตญาณว่าตนกำลังถูกคุกคาม
เว่ยลิ่งจือใจเต้นไม่เป็นส่ำ ขบริมฝีปากเอ่ยเสียงต่ำว่า “จะ…เจ้าคิดจะทำการใดกันแน่?”
“เมื่อครู่มิใช่เจ้าบอกว่า ให้ข้าระวังตัวไว้ให้ดีหรือ? ข้าจึงสงสัยนักว่าต้องระวังตัวไว้ให้ดีเรื่องใด?” เว่ยฉางอิ๋งดึงนางเดินไปพลาง ยิ้มและพูดเสียงต่ำๆ ไปพลาง “ดีชั่วเจ้าก็อยู่ใกล้ข้าเพียงนี้ ข้าจึงรู้สึกว่าดึงเจ้าเข้ามาถามให้ละเอียดก็สะดวกดี”
“…” เว่ยลิ่งจือแทบกระอั่กเลือด บอกว่า “เพื่อเรื่องนี้รึ? นี่เจ้าเลอะเลือนจริงๆ หรือแกล้งเลอะเลือนกันแน่?” เจ้ามีเรื่องใดที่ต้องเตรียมรับผลยามอยู่ต่อหน้าตระกูลต่างๆ เวลายังไม่ทันถึงปี หรือเจ้ากลับลืมไปเสียแล้ว?!
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มตาหยีมองนาง “ยังมีน้ำเสียงที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้ก็ทำให้ข้าไม่สบายใจนัก เมื่อข้าไม่สบายใจ ดังนั้นก็อยากให้เจ้าไม่สบายใจด้วยเช่นกัน… เจ้าว่าวันนี้เจ้ามา ‘สนิทสนม’ กับข้าเช่นนี้ เมื่อกลับไปแล้วจะไปอธิบายกับผู้ใหญ่และคนรุ่นเดียวกับเจ้าว่าอย่างไรกันเล่า? บอกว่าเจ้าถูกข้าดึงไป หรือจะบอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนไม่อาจไม่ฝืนใจยอมรับผิดได้? ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเจ้าก็จะยิ่งเสียหน้า! เมื่อเจ้าเสียหน้า คิดไปก็จะไม่สบายใจ เมื่อคิดถึงตรงนี้ ข้าก็สบายใจแล้ว!”
เว่ยลิ่งจือรู้สึกแต่เพียงว่าตนไม่เคยพบเห็นคนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อนเลย! นางพยายามดิ้นรน “ดีชั่วอย่างไรข้าก็เป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของตระกูลสูงศักดิ์ มีชาติกำเนิดสูงส่ง แล้วจักเป็นคนไร้เหตุผลก่อกวนไม่เลิกเช่นหญิงบ้านนอกได้อย่างไร? เจ้ามียางอายบ้างหรือไม่?”
“โธ่ คนไร้เหตุผลก่อกวนไม่เลิกนั้นเป็นเจ้าต่างหาก!” เว่ยฉางอิ๋งพลันออกแรงที่มือหนักลงไปอีก เว่ยลิ่งจือรู้สึกเพียงว่ามีความเจ็บปวดแสนสาหัสแผ่ซ่านขึ้นมาจากข้อมือตน จึงอดจะร้องอ่ะออกมาไม่ได้!
คนที่อยู่ทั้งหน้าหลังพลันหันมองมา กลับได้ยินเว่ยฉางอิ๋งพูดเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่ร้อนรนใดๆ ว่า “น้องลิ่งจืออย่าได้เป็นกังวล ข้าเพียงบอกว่าแมวสิงโตตัวนั้นคาบนกแก้วไป แต่ก็มิได้บอกว่ามันกินนกแก้วไปในทันใดนี่… เจ้าฟังข้าพูดต่อก่อนสิ!”
เว่ยลิ่งจือ “…!”
เมื่อแสดงท่าทีกลบเกลื่อนความสนใจของคนทั้งหน้าและหลังแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ดึงนางเข้ามาแล้วพูดเสียงเบาต่อไปว่า “วันนี้แม่สามี พี่สะใภ้ และน้องสาวของสามีข้าล้วนอยู่ด้วย ข้าจึงไม่คิดจะทำสิ่งใดกับพวกเจ้า แต่เจ้ากลับยังเข้ามายั่วยุข้า! เจ้าว่าเรื่องนี้เป็นผู้ใดไม่มีเหตุผลก่อกวนไม่เลิกกันแน่? ฮึ?”
เว่ยลิ่งจือดิ้นไม่หลุดทั้งยังไม่กล้าทำให้ตนเสียหน้าด้วยการบอกต่อหน้าทุกคนว่าตนถูกเว่ยฉางอิ๋งใช้วรยุทธควบคุมตัวไว้ ดวงตาของนางพลันมีน้ำตาขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างคนถูกรังแกว่า “คราก่อน…คราก่อนพวกเจ้าทำกับท่านย่าข้าเพียงนั้น ข้าว่าเจ้าไปคำหนึ่ง และมิได้พูดสิ่งใดเกินเลย เจ้ากลับมาทำกับข้าเช่นนี้!”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวด้วยความจริงใจยิ่งว่า “เห็นการกระทำและวาจาของเจ้า ทุกอย่างล้วนดูมีกฎเกณฑ์ ข้ายังหลงนึกว่าเจ้าจะเป็นคนที่รู้กฎเกณฑ์ดีเสียอีก วันนี้ดูไปแล้วจากที่คิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาดดี แต่เหตุไฉนความจริงแล้วกลับเป็นคนเลอะเลือนไปเสียได้? เจ้าลองคิดดู เรื่องบาดหมางของผู้ใหญ่ เป็นสิ่งที่พวกเราสามารถก้าวก่ายได้หรือ?”
เว่ยลิ่งจือตกตะลึง บอกว่า “แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่คราก่อน…”
“คราก่อน ก็มิใช่เป็นเรื่องบาดหมางของพวกผู้ใหญ่หรือ?” เว่ยฉางอิ๋งพูดฉะฉานมีเหตุมีผล “เช่นนั้นแล้ว แม้แต่พบหน้า ข้าก็ยังไม่เคยพบเจ้ามาก่อน เมื่อนับแล้วทุกคนล้วนถือกำเนิดในตระกูลเว่ยแห่งเฟิงโจว นับเป็นคนในตระกูลเดียวกัน ต่างคนต่างอยู่กันดีๆ เหตุใดต้องมามองกันเป็นศัตรู? ว่ากันตามตรงแล้วเรื่องนี้ล้วนเป็นเรื่องบาดหมางในรุ่นของท่านย่าของพวกเรา วันนั้นเจ้าก็อยู่ด้วย เจ้าลองว่ามาตามตรง หากไม่ใช่เพราะท่านย่าเจ้าต่อว่าข้าก่อน ข้าหรือจะออกไปตอบโต้? กอปรกับพวกเจ้าเข้ามาเป็นแขก เมื่อเข้าบ้านมาก็มาลบลู่คนรุ่นหลังในบ้านผู้อื่น แล้วยังจะไม่ให้คนรุ่นหลังออกมากอบกู้สถานการณ์ให้ตนเองอีกหรือ? เจ้าลองบอกมาสิว่า วันนั้น แต่แรกข้าคิดอย่างไรจึงต้องออกมากอบกู้สถานการณ์? หากมิใช่เพราะท่านย่าของเจ้าไม่ได้วางตัวเป็นผู้ใหญ่เลยแม้สักน้อย พูดจาบีบคั้นผู้อื่นไม่ยอมหยุด ทำให้ข้าไม่มีทางลง แล้วท่านแม่ข้าจะต้องถึงกับลุกขึ้นมาขุดคุ้ยอดีตของท่านย่าเจ้าหรือ?
“แต่ว่า…แต่ว่าท่านย่าเจ้าก็มิได้ปฏิบัติต่อท่านย่าของข้าเช่นกำลังต้อนรับแขกนี่!” เว่ยลิ่งจือรู้สึกแต่ว่านางพูดไม่ถูก ทว่าใคร่ครวญไปใคร่ครวญมาก็รู้สึกว่าไม่สามารถหาสิ่งใดมาหักล้างได้ จึงเอ่ยออกมาช้าๆ ว่า “หากมิใช่เพราะพอท่านย่าของเจ้าพบท่านย่าของข้าก็เอ่ยวาจาอย่างไม่เกรงใจ ท่านย่าของข้าก็…”
เว่ยฉางอิ๋งขัดคำขึ้นมา “ข้าจึงบอกแล้วอย่างไร นั่นล้วนเป็นเรื่องบาดหมางของรุ่นท่านย่า แต่พวกเรากลับต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ในฐานะที่เป็นคนรุ่นหลังที่ถูกพาดพิง จึงไม่อาจไม่ออกมาต่อความ ยามนี้ท่านย่าของพวกเราล้วนไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าว่าที่เจ้ามาคอยคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ เพื่อสิ่งใดกัน?”
เว่ยลิ่งจือนิ่งอึ้งไปครึ่งค่อนวัน จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าเองก็มิได้ว่ากล่าวเจ้าเรื่องใด จะว่าไปก็เพียงแค่เตือนเจ้าเท่านั้น! ยามนี้ผู้ที่คิดเล็กคิดน้อยก็มิใช่เจ้าหรอกหรือ?”
“ข้าจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าได้อย่างไร” มุมปากของเว่ยฉางอิ๋งพลันยกขึ้น แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้ามิได้กำลังพูดเหตุผลกับเจ้าอยู่หรอกหรือ?”
เว่ยลิ่งจือกล่าวอย่างมีโทสะว่า “เจ้าจับข้าไว้ไม่ยอมปล่อย นี่มันเป็นการพูดด้วยเหตุผลอย่างไรกัน?!”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว มือพลันเพิ่มแรงหนักเข้าไปอีก บีบข้อมือนางจนแทบหัก แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าถึงกับกล้าไม่ยอมรับเหตุผลที่ข้าพูด! ดูท่าแล้วเจ้าผู้นี้เป็นคนที่ไม่เข้าใจเหตุผลใดเลยแม้แต่น้อย ข้ารู้แล้ว พูดเหตุผลกับเจ้านั้นไร้ประโยชน์ คงทำได้เพียงต้องให้บทเรียนกับเจ้าเสียแล้ว!”
คนที่เดินอยู่ข้างหน้าพวกนางคือนางฮั่วฮูหยินน้อยใหญ่แห่งจือเปิ่นถึง ที่เดินอยู่ข้างหลังคือเว่ยลิ่งเยวี่ยและเสิ่นจั้งหนิง พวกนางพลันได้ยินเสียงเว่ยลิ่งจือสะอึกสะอื้นขึ้นมา จึงอดจะหยุดเดินเพื่อสอบถามด้วยความสงสัยไม่ได้
เว่ยฉางอิ๋งเอื้อมมือไปโอบไหล่เว่ยลิ่งจือเอาไว้ แล้วอธิบายแทนนางด้วยสีหน้าจนใจว่า “เป็นข้าไม่ดีเอง สองวันก่อนข้าไปเยี่ยมลูกผู้พี่ พอดีว่าแมวสิงโตตัวหนึ่งที่นางเลี้ยงเอาไว้คาบเอานกแก้วไปกิน ลูกผู้พี่ของข้ารีบตามแมวตัวนั้นไปด้วยตนเอง เมื่อง้างปากมันออกมาดู มาเสียดายเอายามนี้ก็สายเสียแล้ว… จะว่าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะกับเรื่องนี้ดี แต่ข้ากลับไม่คิดว่าน้องลิ่งจือจะเป็นคนอ่อนไหวเพียงนี้ ฟังๆ ไปก็กลับร้องไห้เสียแล้ว”
นางฮั่วมองดูฮูหยินจางและฮูหยินซูทั้งสองคนที่กำลังสนทนากันอย่างสนุกสนานอยู่ข้างหน้า จึงยิ้มอย่างเกรงใจว่า “ที่แท้เป็นเรื่องนี้ ฮูหยินน้อยเว่ยท่านไม่ทราบ น้องสาวบ้านข้าผู้นี้เป็นคนอ่อนไหวมาแต่ไร ทนฟังเรื่องหลั่งเลือดเช่นนี้ไม่ได้เป็นที่สุด…”
“ต้องขอโทษจริงๆ ข้าคิดจะพูดเรื่องตลกเย้าน้องลิ่งจือต่างหาก! คิดไม่ถึงว่ากลับทำให้นางร้องไห้เสียแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งแสดงท่าทีขอโทษขอโพยไม่หยุด
รอจนนางฮั่วพูดจาปราศรัยกับนางเสร็จและหันหน้ากลับไป นางก็หันกลับมายิ้มให้กับเว่ยลิ่งเยวี่ยและเสิ่นจั้งหนิงที่อยู่ข้างหลัง และขยับตัวเข้าใกล้เว่ยลิ่งจืออีกครั้ง พลางข่มขู่เสียงเบาไปว่า “ใช่ เป็นดังนี้… อีกสักพักเจ้าไปอธิบายกับพี่สะใภ้และน้องสาวเอาเอง คิดให้ดีว่าจะพูดเรื่องนกแก้วตัวนั้นอย่างไร จึงจะพิสูจน์ได้ว่าเจ้าฟังแล้วต้องน้ำตาร่วงออกมาจริงๆ เมื่อครู่นี้เจ้าไม่กล้าพูดความจริงออกมา เห็นชัดว่ากลัวจะเสียหน้าใช่หรือไม่? ข้าจะบอกกับเจ้า ดีชั่วอย่างไร สามีของข้าก็มีหน้ามีตายิ่งเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ ทั้งข้าเองก็เพิ่งเข้าวังมาหนแรก หากไม่รู้กฎเกณฑ์บ้างก็นับเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก หากเจ้ากล้าเอ่ยปากว่าข้าทำร้ายเจ้า ข้าก็จะทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาเสียเลย ทุกผู้ทุกคน ผู้ใดล้วนอย่าได้คิดว่าจะลงเอยด้วยดี! เจ้าคิดให้ดี เจ้ายังมิทันออกเรือน แต่ข้าเป็นภรรยาในตระกูลเสิ่นแล้ว หากพวกเราสองคนเกิดเรื่องน่าขันขึ้นมาพร้อมกัน … เจ้าว่าผู้ใดจะยิ่งขายหน้า ผู้ใดยิ่งได้รับผลกระทบมากกว่ากัน?”
เว่ยลิ่งจือฟังไปฟังมา นางอยากบอกกับคนทั้งข้างหน้าและข้างหลัง แต่อีกใจก็กลัวว่าเว่ยฉางอิ๋งจะก่อเรื่องกับตนที่นี่ ซึ่งนับเป็นการก่อกวนงานวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน… แม้ทั้งสองคนต่างก็ต้องเสียหน้า และแม้จะถูกสอบถามเอาความผิดก็ยังเป็นเรื่องรอง แต่หากตนเองกลายเป็นตัวตลกที่มาเสียมารยาทในงานวันประสูติขององค์หญิง แล้วการเรื่องหมั้นหมายที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้จะดีไปได้อย่างไร? แต่หากต้องทนต่อไปอยู่เช่นนี้ ก็รู้สึกว่าตนน่าสงสารเกินไป! คิดๆ ไป ก็ยิ่งเจ็บปวดใจ…
เมื่อได้ยินเสียงที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเสียงสะอื้นเบาๆ และเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ระหว่างกลางก็จงใจให้คนทั้งข้างหน้าและข้างหลังได้ยินคำปลอบโยนและคำตำหนิตนเองของนาง คนข้างกายนางฮั่วจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าน้อยมองว่าไม่เหมือนคุณหนูสามจะร้องไห้เพราะฟังเรื่องเล่านะเจ้าค่ะ”
นางฮั่วเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าไปยุ่งสิ่งใดมากมาย? น้องสามเองก็ยังไม่เอ่ยสิ่งใดเลย วันนี้ก็มิใช่การเข้าเฝ้าฯ ธรรมดา แต่เป็นการมาถวายพระพรองค์หญิงหลินชวน หากทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตในงานพิธีเช่นนี้ก็จะส่งผลที่หนักหนาจนคาดไม่ถึง! ปล่อยให้น้องสามทนถูกรังแกสักหน่อย พอไปถึงที่ปลอดคนค่อยแยกพวกนางออกและไถ่ถามให้ละเอียดดีกว่า… เมื่อเป็นดังนี้ อย่างมากเมื่อข้ากลับไปก็จะไปขออภัยกับท่านแม่ว่าเมื่อครู่นี้ข้ามิได้พบเห็นความผิดปกติของน้องสาม หาไม่ หากซักไซ้กันขึ้นมาแล้วรู้ว่าน้องสามถูกรังแก แล้วเจ้าว่าข้าควรทำอย่างไร? ให้ไล่เรียงเอาความกับเว่ยฉางอิ๋งยามนี้เลย? นางเองก็มิได้เข้าวังมาแต่ผู้เดียว ข้างหน้านั่นก็มิใช่ว่าแม่สามีนางกำลังสนทนากับท่านอาสะใภ้อย่างสนิทสนมหรอกรึ? ข้างหลังก็มีน้องสาวสามีนางที่สนิทสนมกับองค์หญิงหลายพระองค์ด้วย… ถึงคราวขึ้นมากลับจะหาทางลงไม่ได้เสียอีก!”
“ฮูหยินน้อยใหญ่กล่าวถูกต้อง เป็นข้าน้อยที่เลอะเลือนเองเจ้าค่ะ”
___________________________________